Masukณ แคว้นหลิวอวิ๋น จวนเจ้าเมืองตระกูลหลี่
ยามจื่อ*เรือนชิงหวา
'อึก'
หายใจไม่ออก หญิงสาวดิ้นพล่านพยายามหลุดออกจากมือเรียวที่กำอยู่รอบคอของนาง ปากเล็กอ้ากว้างเพื่อสูดอากาศหายใจ แต่ก็ไม่สำเร็จ สองมือน้อยๆ ยกขึ้นผลักสตรีที่อยู่ด้านบนลำตัวอย่างสุดแรง นางพยายามส่งสายตาเว้าวอน หวาดกลัว ท้อแท้ และสิ้นหวัง แต่ที่มากกว่านั้นคือความไม่เข้าใจ เหตุใดสตรีนางนี้ถึงต้องการให้นางตาย หัวใจดวงเล็กๆ เจ็บแปลบเหลือแสน พวงแก้มทั้งสองข้างเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
"นางสารเลว ทำไมไม่ตายๆ ไปสักที เลี้ยงเจ้าไปก็เสียข้าวสุก แพศยาไร้ค่าอย่างเจ้า ควรจะตายๆ ไปซะ! " เสียงแหลมสูงดังขึ้นราวกับคนไร้สติอยู่ข้างหูของสาวน้อย ใบหน้าที่เคยอ่อนหวาน เคยมองนางด้วยความอ่อนโยน ยามนี้กลับบิดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าความงามอีกต่อไป
หลี่หลิงเฟิ่งเด็กสาวอายุราวๆ สิบสองสิบสามปีไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน ก่อนหน้านี้เด็กสาวก็ป่วยติดเตียงมาสามวันเนื่องจากถูกผลักตกน้ำ กำลังอันน้อยนิดไหนเลยอาจหาญสู้กับหญิงผู้มีเรี่่ยวแรงเต็มเปี่ยมนี้ได้ นางได้แต่หวังว่าเสี่ยวเซียงสาวใช้คนสนิทจะเข้ามาพบและดึงสตรีเสียสติผู้นี้ออกไปเสีย
"ฮ่าๆๆ เจ้าควรจะไปอยู่ในปรโลกตั้งนานแล้ว ข้าทนเลี้ยงดูเจ้ามาเพื่อหวังพึ่งพา แต่เจ้ามันก็แค่สวะที่ถูกทิ้ง ฮ่าๆๆๆๆ " เสียงหัวเราะของแม่สามราวกับคนบ้าและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ใช่แล้ว สตรีคลุ้มคลั่งคนนี้คืออนุสาม มารดาแท้ๆ ของนางนั่นเอง มารดาที่กำลังสังหารบุตรสาวในอุทร
'ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงฆ่าข้า ท่านเกลียดข้านักหรือ'นางอยากถามออกไปเหลือเกิน แต่นางไม่สามารถพูดออกไปได้ ได้แต่มองมารดาอย่างท้อแท้
'ทรมานเหลือเกิน ความหวังของข้าไม่คงเหลืออีกแล้ว' ดวงตาบวมเป่งเหลือกตามองมุ้งเก่าสกปรก รอบๆมุ้งมีรูที่ขาดผ่านรอยปะชุนนับครั้งไม่ถ้วนเหล่านั้นก็ให้ขมขื่นในใจ ชีวิตคุณหนูห้าในจวนเจ้าเมืองย่ำแย่ยิ่งกว่าสาวใช้ส่วนตัวของพี่ใหญ่เสียอีก
ผู้คนในจวนนี้มีใครบ้างไม่อยากให้นางตาย แม้กระทั่งผู้ให้กำเนิดที่นางหลงคิดไปว่ารักนางยังต้องการที่จะสังหารนาง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางไร้พลังยุทธ์ เป็นตัวไร้ค่าของตระกูล เหมือนขยะที่รอวันย่อยสลาย หลี่หลิงเฟิ่งน้ำตารินไหลไม่ขาดสาย ไม่นานร่างกายของนางก็กระตุกไม่หยุด หนังตาหนักอึ้งค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
"เจ้าไม่ต้องห่วงไป เจ้าล่วงหน้าไปก่อน ข้าจะไม่รอให้เจ้าต้องอยู่อย่างเดียวดายในปรโลกแน่" น้ำตามากมายหยดลงบนใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง ทว่ามือที่กำรอบคอของนางไม่ได้ผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย
'หากข้าตาย ทุกคนคงจะสมปรารถนา ตัวขยะอย่างข้าอยู่ไปก็มีแต่ทำให้ตระกูลต้องอับอาย' เด็กสาวไม่รับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้ว นางฝืนไม่ไหวแล้ว สติสุดท้ายดับวูบสู่ความเวิ้งว้างอันมืดมิด
" เฟิ่งเอ๋อร่์ ฮึก ไม่ต้องกลัวนะลูก อีกไม่นานแม่จะตามเจ้าไปแล้ว" เสียงร่ำไห้ของอนุสามครวญครางอย่างสิ้นหวัง นางเดินไปจับเชือกใต้ขื่อคานใกล้ปลายเตียง เอี้ยวศรีษะหันกลับมามองเด็กสาวผอมบางที่นอนอยู่บนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นอีกครั้ง สองขาก้าวขึ้นบนตั่งช้าๆ มือเรียวกำเชือกไว้แน่น สองตาพลันว่างเปล่าราวกับปล่อยวางทุกอย่าง ขาเตะตั่งให้ล้มลงเบาๆ ร่างของสตรีที่่เคยงดงามดิ้นอยู่สองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป
'ข้าขอโทษ'
เปรี้ยง!
ท้องฟ้ามืดครึ้มยามราตรี มองไม่เห็นดวงดาว หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มมือข้างหนึ่งถือโคมไฟ อีกข้างถือถังน้ำ สองเท้าเร่งรีบกลับเรือนด้วยกลัวฝนจะตกลงมา
"เสี่ยวเซียงนั่นเจ้ากำลังจะไปไหน" เสียงนุ่มนวลด้านหลังดังขึ้นแผ่วเบา เสี่ยงเซียงหันไปมองพบว่าเป็นหญิงหน้าตาสะอาดสะอ้านนางหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้
"พี่จิ่นอวี้ ข้ามาตักน้ำไปเช็ดตัวให้คุณหนูห้า ท่านมีธุระเร่งด่วนอะไรหรือ" สาวใช้นามจิ่นอวี้ผู้นี้เป็นสาวใช้ข้างกายอนุสาม เสี่ยวเซียงมองนางยิ้มๆ หยุดยืนรอนางให้เดินไปพร้อมกัน ถ้านางเดาไม่ผิดฮูหยินต้องอยู่ที่เรือนคุณหนูห้าแน่ๆ
"ข้าตามไปรับใช้ฮูหยิน เจ้าไปพร้อมกับข้าเลยแล้วกัน" จิ่นอวี้ปรายมองเสี่ยงเซียงอย่างเฉยชา เดินนำหน้ามุ่งไปเรือนชิงหวา
"ฮูหยิน คุณหนูเจ้าคะ บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ เมื่อสักครู่บ่าวไปห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูก คุณหนูรองท้องไปก่อนนะเจ้าคะ" เสี่ยวเซียงเดินขึ้นไปบนเรือนพร้อมผลักประตูออก หยิบห่อหมั่นโถวออกมาจากแขนเสื้อ ทันทีที่หันหน้าไปมองในห้องนอน ข้าวของที่อยู่ในมือทั้งสองข้างก็หล่นลงบนพื้นกระจัดกระจาย หน้าตาตื่นตระหนก ร่างกายอ่อนแรงทรุดลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
กรี๊ดดดดด
"ฮูหยิน! " จิ่นอวี้ที่ยืนนิ่งค้างอยู่ด้านนอกประตูรีบเร่งเข้าไปหาเจ้านาย พลางหันหน้าไปมองเสี่ยวเซียงอย่างเกรี้ยวกราด
"เร็วเข้า รีบดึงฮูหยินลงมา! " เสียงตะโกนที่ดังลั่นของสาวใช้ทั้งสอง พลันปลุกให้ผู้คนในจวนสะดุ้งตื่น ทั้งหมดรีบเร่งมาทางเรือนชิงหวาอย่างตื่นตกใจ เสี่ยวเซียงที่โดนจิ่นอวี้ตะคอกใส่พลันได้สติ สองขาน้อยๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเดินไปเบื้องหน้าอนุสามอย่างหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างสั่นไม่หยุด มือยื่นออกไปจับตัวเย็นเฉียบของอนุสาม ทั้งสองค่อยๆ ดึงร่างที่ตัวเริ่มเย็นของผู้เป็นนายลงมา
"ฮือ ฮูหยิน ท่านไม่น่าด่วนจากไปเช่นนี้เลย ไยท่านใจร้ายทิ้งคุณหนูกับบ่าวไว้เพียงลำพัง" จิ่นอวี้ร่ำไห้ราวจะขาดใจข้างศพเจ้านาย
"คุณหนู คุณหนูเล่า" เสี่ยวเซียงพลันได้สติรีบวิ่งตรงไปที่เตียงนอน ฉับพลันเสียงร้องไห้ของนางก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
"ฮือๆๆๆ คุณหนู...ฟื้นสิเจ้าคะ...อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว...ข้ากลัว...ฮึก" เสียงร้องไห้คร่ำครวญของสาวใช้ดังอยู่นานก็ไม่มีวี่แววว่าเด็กสาวบนเตียงจะตื่นขึ้นมา สาวใช้ครวญครางจนลำคอแหบแห้ง มือเล็กๆ หยาบกระด้างเขย่าตัวนางไปมาไม่หยุด แรงเขย่าของเสี่ยวเซียงหนักหน่วงจนทำให้เธอเวียนหัว หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง จนดวงตาสองคู่สบประสานกัน
"คุณ...คุณหนู...คุณหนูฟื้นแล้ว ฮือๆๆๆๆๆ " เสี่ยวเซียงที่กำลังร่ำไห้พลันชะงักเงยหน้าขึ้นสบตากับหลี่หลิงเฟิ่ง เมื่อเห็นว่าสาวน้อยฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ทั้งตกใจระคนดีใจ ร้องไห้หนักกว่าเดิม
"เงียบ! " หลี่หลิงเฟิ่งตลาดเสียงดัง แต่เสียงที่เปล่งออกไปนั้นแหบแห้ง ซ้ำร้ายยังเบาเหมือนยุง แต่ถึงกระนั้นก็มีรังสีเย็นชาแผ่ออกมา ทำให้รอบด้านรู้สึกหนาวยะเยือก เสี่ยวเซียงรีบหุบปากฉับก้มหน้ากลั้นเสียงสะอื้นทันควัน
หลี่หลิงเฟิ่งมองสำรวจไปรอบๆ ห้อง เห็นข้าวของเก่าๆ กระจัดกระจายอยู่เกลื่อนพื้นเต็มไปหมด ราวกับบุคคลในห้องได้ผ่านการต่อสู้กันมา มุ้งหมอนโทรมๆ เสื้อผ้าสีหม่นก่ำคร่ำครึไม่รู้ว่าผ่านการใช้งานมากี่ปีแล้ว ทั่วทั้งห้องเหมือนสิ่งที่ปล่อยถูกทิ้งร้างมาแล้วหลายสิบปี ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไม่มีฝุ่นและหยากไย่ เธอคงคิดว่าอยู่ในบ้านร้าง สุดท้ายสายตาของนางมาตกอยู่ที่หญิงสาวเจ้าของเสียงที่น่ารำคาญและแรงโคนั่น นางเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักใช้ได้คนหนึ่ง อายุราวสิบสามสิบสี่ แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งที่ทำให้เธอสับสนงุนงงคือคนพวกนี้เป็นใคร และ...
เธออยู่ที่ไหน
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้
ห่างจากตำแหน่งของหลี่หลิงเฟิ่งไปไม่กี่ลี้ กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ห้าคนเดินเรียงกันบนทางดินที่ถูกเถาวัลย์กลืนกิน กำลังจะประสบกับเหตุการณ์คล้ายคลึงกับพวกนาง คนที่นำหน้าเป็นชายร่างใหญ่ในชุดเกราะหนา สวมปลอกแขนหนังงูอัสนี เขามีแผลเป็นลากจากขมับจรดปลายคาง ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของความเคยชินกับความตาย ด้านหลังเขาเป็นหญิงสาวสองคน และชายอีกสองคนที่แบกหีบเครื่องมือบนหลัง“ข้าบอกแล้วว่าเส้นทางนี้มีพลังจิตประหลาด เจ้ายังจะเดินเข้ามาอีก” เสียงชายหนุ่มด้านหลังบ่น แต่ก็ไม่ได้หยุดเดินหัวหน้ากลุ่มหันมามองแวบหนึ่ง แววตาเฉียบคม “ในเขตจิตลวงนี้ ทุกย่างก้าวคือโอกาส ถ้าไม่เสี่ยง ก็ไม่มีวันได้อะไรกลับไป”หญิงสาวที่เดินข้างหลังเขายกคิ้ว “หมอกหนาแบบนี้ ขนาดจิตสัมผัสยังถูกสะท้อนกลับ ข้าว่าพวกเราคงโคร้ายมากกว่าโชคดี”“พอ” หัวหน้ากลุ่มพูดขัดเสียงเรียบ “หากกลัวก็กลับ แต่ทรัพยากรของวันนี้จะไม่มีส่วนแบ่งของพวกเจ้า”ครั้นพูดจบ เสียงโต้เถียงจึงหยุดลง ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าที่กระทบดินแฉะเท่าน
ชั่วพริบตา ร่างเงานางพลันแตกแยกออกเป็นห้าสิบภาพในอากาศ แต่ละร่างจับท่าทางเดียวกัน แผ่นหลังตรงดุจคันศร เส้นไหมแดงในมือร่ายวนรอบตน ภาพทั้งหมดเคลื่อนไหวพร้อมกันราวระลอกคลื่นยักษ์“ภาพลวงห้าสิบ!”ระยะเวลาเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น ทว่า พลังสะท้อนที่ส่งออกจากห้าสิบร่างกลับเทียบเท่าร่างจริงทุกประการ ประกายเพลิงจากเงาแต่ละร่างพุ่งเข้าใส่ฝูงยุงเลือดจากคนละทิศ ยุงเลือดหลายสิบตัวถูกแผดไหม้จนกลายเป็นเพียงธุลีธุลี ทว่าอีกนับร้อยกลับพุ่งเข้ามาแทนที่อย่างบ้าคลั่งโม่เจี้ยนหมิงสบช่อง ดวงตาเปล่งประกายบ้าบิ่น โผเข้าประชิดด้านข้าง เสียงฟ้าร้องระเบิดในอากาศอีกครั้ง"พายุเจ็ดดารา!" แรงลมหมุนเจ็ดชั้นกระแทกใส่ฝูงยุงจากด้านหลัง กระบี่ลมสับกลางอากาศเสียงฉึบฉับ"ถ้าจะตายขอให้ข้าตายพร้อมพวกเจ้าละกัน!" เสียงของโม่เจี้ยนหมิงดังขึ้นตามหลัง เขาร่ายกระบี่กวาดเป็นวง ก่อเป็นกระแสพายุอันบ้าคลั่งรอบตัวทั้งสองสายลมบ้าคลั่งพัดหมอกกระจายออก เผยให้เห็นร่างของยุงเลือดนับไม่ถ้วนที่แหวกเข้ามา ทว่า เพียงไม่นาน ฝูงอสูรระดับหกสองตัว พุ่งฝ่าเข้ามาอย่างดุดัน แรงคลื่นพลังของมันทำให้ร่างแยกของนางหายวับไปครึ่งหนึ่งในพริบตา หลี่หลิงเฟิ่







