น่าเสียดายเสียงต่อมาของหลี่ซือซือเบามาก กู้หว่านเยว่ไม่ได้ยินเว้นเสียแต่ขยับขึ้นไปลอบฟังดู แต่ทำเช่นนี้ไม่เพียงถูกจับได้ ยังต้องเห็นฉากเสพสังวาสไม่ชวนพิศของพวกเขาอีกด้วยกู้หว่านเยว่ไม่อยากให้ตาของตนสกปรกเห็นว่าทั้งสองหารือกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังกลับมาทำกิจกรรมใหม่อีกครั้ง เสียงร้องยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ กู้หว่านเยว่รู้สึกเมามายขึ้นมาแล้วซูจิ่งสิงขมวดคิ้วแน่น “จะเก็บหลี่ซือซือไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะหาโอกาสจัดการนาง”“ท่านจะทำเยี่ยงไร?” กู้หว่านเยว่เองก็เกิดจิตสังหารแล้วซูจิ่งสิงใคร่ครวญพลางพูด “ภายในถ้ำลงมือไม่ง่าย รอออกจากถ้ำแล้ว สร้างอุบัติเหตุขึ้นมาอย่างหนึ่งตามสถานการณ์พาไป”เช่นนี้ก็ไม่สร้างปัญหาให้ซุนอู่ มิหนำซ้ำยังไม่เดือดร้อนถึงตนเอง“ท่านพิจารณารอบคอบยิ่งนัก”กู้หว่านเยว่พยักหน้าลง ระหว่างเดินทางซุนอู่ดีต่อพวกเขาไม่เลว นางเองก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้ซุนอู่ทว่านางไม่อยากได้ยินเสียงครวญครางของสองคนนี้อีกแล้ว ซื้องูน้ำตัวหนึ่งจากช่องทางซื้อขาย โยนใส่เท้าซูหัวจวิ้นและหลี่ซือซือสาเหตุที่มิได้ซื้องูพิษ ก็เพราะกลัวงูเลื้อยออกไปทำร้ายคนอื่นที่ภายนอกทว่าเพียงครู่เดียว หล
อย่างไรเสียหลี่ซือซือก็เป็นตัวปัญหาคนหนึ่งได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว กู้หว่านเยว่เองก็ยกมุมปาก ต่อมาสมควรทำเยี่ยงไร นางนับว่าเกิดความคิดภายในใจแล้วกลับไปทางฝั่งบ้านของตน ซูจิ่นเอ๋อร์และนางหยางหาหญ้าแห้งมามากแล้ว วางที่นอนลงไปก็นุ่มสบายเป็นอย่างมาก“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านนอนหลับก่อนสักหนึ่งตื่นเถอะ”ซูจิ่นอ๋อร์เอ่ยทักทาย“ข้าทำมื้อเย็นเอง ในห่อสัมภาระยังมีข้าวกล้องและผักป่าเหลืออยู่เล็กน้อย สามารถต้มโจ๊กผักป่าหม้อหนึ่งได้พอดี”“ต้มมากหน่อย แจกจ่ายให้ผู้อื่นคนละเล็กน้อย”ซูจิ่นเอ๋อร์พยักหน้าลง จุดไฟตั้งหม้อเริ่มทำงานแล้ว“ข้าไปทำธุระก่อน ท่านช่วยข้าดูหน่อยเถอะ”กู้หว่านเยว่นับว่ามีเวลาดูว่าตกลงภายในมิติวิเศษเป็นเช่นไรแล้ว พูดทักทายซูจิ่งสิง ตัวคนก็เข้ามิติวิเศษแล้วชั่วขณะเข้าสู่มิติวิเศษ นางก็ตกตะลึงอึ้งงันอยู่กับที่ นี่ใช่มิติวิเศษอึมครึมในอดีตแห่งนั้นหรือไม่?หอแห่งโอสถและร้านอาหารเลิศรสแต่ละตึกมิได้เปลี่ยนไป แต่หินปูนที่อยู่รอบข้างพวกมันกลับกลายเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไปแล้วเหนือศีรษะคือท้องฟ้าและเมฆขาว ยังมีสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นปะทะใบหน้า แม่น้ำใสสะอาดสายหนึ่งไหลคดเคี้ยวกลางท
เมื่อครู่ทุกคนยังดีๆ อยู่เลย บัดนี้แต่ละคนล้วนนอนบนพื้น กุมท้องของตนเจ็บปวดเจียนตาย“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านมาเสียที”ซูจิ่นเอ๋อร์วิ่งเข้ามาอย่างร้อนใจ จูงมือนางพลางเอ่ยทักทาย“ไม่รู้ทุกคนเป็นอะไรไปแล้ว จู่ๆ ทั้งหมดก็เริ่มปวดท้องขึ้นมา”เหยียนซือหยวนที่อยู่ใกล้กับพวกเขาที่สุดงอตัว ร่างเล็กๆ คุดคู้เข้าหากัน มองกู้หว่านเยว่พลางขอความช่วยเหลืออย่างเจ็บปวดทรมาน“พี่หญิงกู้ เจ็บ ข้าเจ็บมาก...”“ซือหยวนไม่ต้องกลัว ลองหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นส่งข้อมือให้ข้า” กู้หว่านเยว่เอื้อมไปคว้าข้อมือของเขาและจับชีพจรหลังจับชีพจรดีแล้วก็มั่นใจ นี่เขาถูกพิษแล้ว ส่วนทุกคนเกิดอาการเหมือนเขาทุกกระเบียดนิ้ว เห็นได้ชัดว่าถูกพิษหมู่กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่นหลังนางเข้าถ้ำก็ตรวจสอบมาก่อนแล้ว ทุกสารทิศแห้งมาก แหล่งน้ำใต้ดินใสสะอาด คนอยู่ข้างในนี้ปลอดภัยมากนักในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดทุกคนถึงถูกพิษได้?ขณะเดียวกัน สายตาซูจิ่งสิงทอประกาย กระซิบเตือน“ระวัง ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้โจมตีมาที่เจ้า”กู้หว่านเยว่เองก็เดาจุดนี้ได้แล้ว นางหันมองทางหลี่ซือซือ พบว่าหลี่ซือซือกำลังมอบสายตาลำพองใจให้นาง“แม่นางกู้ ตกลงพวกเร
ซูจิ่นเอ๋อร์เป็นใบ้ในทันใดบัดนี้นางอยากให้ตนเองถูกพิษด้วยจริงๆ เท่านี้ก็สามารถล้างมลทินให้พี่สะใภ้ใหญ่ได้แล้วเห็นหลี่ซือซือคนต่ำต้อยบรรลุเป้าหมาย ซูจิ่นเอ๋อร์ร้อนใจมากหลี่ซือซือยกมุมปากนางกลับอยากเห็น กู้หว่านเยว่จะแก้สถานการณ์เยี่ยงไรเป็นวิชาแพทย์แล้วมีอะไรดี สามารถถอนพิษให้ทุกคนได้ สามารถคลายความสงสัยของทุกคนได้หรือไม่เล่า?เพียงทุกคนเกิดความสงสัยต่อกู้หว่านเยว่ เช่นนั้นทั้งหมดที่กู้หว่านเยว่เคยทำมา ก็ล้วนสูญเปล่าแล้ว!มีความสุข มีความสุข!บัดนี้หลี่ซือซือเพียงรู้สึกมีความสุขมากภายในก้นบึ้งของหัวใจ เป็นความน่ายินดีที่ได้ล้างอายให้ตนเองกลับไม่คาดคิดจู่ๆ เสียงแผ่วเบาพลันดังขึ้นอย่างกะทันหันที่ด้านหลัง“ข้ายินดีรับประกันให้แม่นางกู้ นางไม่ใช่คนพรรค์นั้นเป็นอันขาด”ผู้พูดก็คืออวิ๋นมู่ เขาเองก็ถูกพิษแล้ว ใบหน้าเผือดซีดลุกขึ้นยืนโงนเงน มีรัศมีของคนงามยามเจ็บป่วยหลี่ซือซือเห็นแล้วก็เกิดความริษยาขึ้นมาระลอกหนึ่ง ถือสิทธิ์อะไรชายที่ดีล้วนล้อมรอบกายกู้หว่านเยว่ ยิ่งทำให้นางกระอักเลือดก็คือถ้อยคำของอวิ๋นมู่ เขาถึงขั้นเชื่อกู้หว่านเยว่ เสียสติไปแล้วกระนั้นหรือ?คล้ายกับว่าเ
ส่วนประกอบของยาชนิดนี้ก็คือหญ้าต้วนฉาง ในยุคโบราณหญ้าต้วนฉางหาได้ไม่ยาก ไม่ว่าเป็นร้านขายยาสมุนไพร หรือในภูเขาลึกก็สามารถพบเห็นได้ทั้งสิ้นครั้งก่อนละแวกใกล้เคียงกับยอดเขาที่พวกเขาหลบหนีน้ำท่วมก็มีหญ้าต้วนฉางโตอยู่ผืนหนึ่ง ดอกไม้น้อยสีเหลืองเบ่งบานอยู่ด้านบน เมื่อนั้นนางยังเตือนทุกคนมิให้เผลอกินเข้าไปไม่แน่ว่า มีคนเกิดเจตนาไม่ดีตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเซิ่งจวินโมโหดุดัน “ข้ายังคิดว่าเป็นเพราะโจ๊กไส้กรอกไม่สะอาดเสียอีก คิดไม่ถึงมีคนวางยาพิษจริงแม่นางกู้ เจ้ารีบบอกพวกเราสมควรทำเยี่ยงไร รอจนกระทั่งหาตัวคนวางยาพิษพบแล้ว ข้าจะทำให้เขาได้เห็นดีแน่!”คนอื่นต่างพากันพยักหน้า “ใช่แล้ว แม่นางกู้ พวกเราจะให้ความร่วมมือเจ้าหาตัวคนร้ายวางยาพิษเอง”หลี่ซือซือเห็นหมัดกระสอบทรายดังกรอบแกรบของเซิ่งจวิน ตัวสั่นทีหนึ่ง ลอบขยับถอยไปที่ด้านข้าง“ทุกคนอย่าเพิ่งใจร้อนเลย ให้ข้าเตรียมก่อนเล็กน้อย”ขณะเดียวกันกู้หว่านเยว่ให้ซูจิ่นเอ๋อร์ไปยกน้ำสะอาดเข้ามาหนึ่งอ่าง ใส่ยาน้ำหนึ่งขวดเข้าไปภายใน“อันที่จริงอยากรู้ว่าใครเป็นคนวางยานั้นง่ายมาก หญ้าต้วนฉางสามารถผสมเข้ากับยาน้ำในน้ำได้ ในเมื่อคนผู้นั้นใช้หญ้าต้วน
เห็นว่ามือไม่เปลี่ยนสี นางถอนหายใจโล่งอกเฮือกหนึ่งในเวลาเดียวกันก็รู้สึกสงสัยภายในใจเป็นเพราะมือของตนมิได้สัมผัสหญ้าต้วนฉางจริง ดังนั้นมือจึงไม่เปลี่ยนสีหรือเพราะกู้หว่านเยว่หลอกพวกเขาตั้งแต่แรกหลี่ซือซือหันมองฝ่ายหลัง กู้หว่านเยว่ไฉนเลยจะมีความสามารถนี้ ใช่ ต้องหลอกพวกเขาเป็นแน่“ฮึๆ มือของข้าไม่เปลี่ยนสี นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าคนวางยามิใช่ข้า กู้หว่านเยว่ เจ้าระดมคนมาให้ความร่วมมือเจ้า คงมิใช่กำลังเล่นละครตบตาหรอกกระมัง”กู้หว่านเยว่ยิ้มน้อยๆ เป็นฝ่ายถืออ่างน้ำเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าซูหัวจวิ้นที่หดตัวในมุมหนึ่งอยู่ตลอด หรี่ตาลง“รีบร้อนอะไร นี่มิใช่ยังมีซูหัวจวิ้นอีกหรือ ซูหัวจวิ้น เหลือเพียงเจ้าคนเดียวแล้ว”ซูหัวจวิ้นตกตะลึงเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มศีรษะตั้งแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะภายใต้สายตาที่กำลังมองมาของทุกคน ขาทั้งสองข้างสั่นเทา ร่างกายแข็งทื่อกลายเป็นเส้นตรงแม้แต่สายตาที่หลี่ซือซือขยิบให้เขาก็มองไม่เห็น“ท่านอาสี่ ท่านยังเหม่ออันใดอยู่อีก เร็วเข้าเถอะ! ใช่หรือไม่ท่านลองดูก็รู้แล้ว อย่าเสียเวลาเลย”ซูจิ่นเอ๋อร์เองก็ตามมาเร่ง“ข้า ข้า...”ซูหัวจวิ้นตกใจจนหวุดหวิดจะหมดสติลงไปแล้
เพียงได้ยินว่าสามารถออกจากถ้ำได้แล้ว ทุกคนดีใจอย่างบ้าคลั่ง“ในที่สุดก็สามารถออกจากสถานที่บ้านี้ได้แล้ว”“ติดอยู่สามวัน มิหนำซ้ำยังไม่มีต้นไม้ใบหญ้าให้ข้าเก็บ เกือบทำข้าหิวตายแล้ว!”ปกติทุกคนไม่มีเสบียงอาหาร ก็มีเกี๊ยวที่นักการแห่งศาลาว่าการแจกจ่ายแต่ครั้งนี้ภูเขาไฟปะทุอย่างกะทันหัน เสบียงอาหารของนักการแห่งศาลาว่าการเองก็หายไปแล้ว ย่อมไม่มีเสบียงอาหารเหลือแบ่งให้นักโทษดังนั้นทุกคนทำได้เพียงดื่มลมพายัพร่วมกัน หากมิใช่กู้หว่านเยว่ช่วยทุกคนอีกสองสามวัน จะต้องหิวตายไปแล้วเป็นแน่ทว่ากู้หว่านเยว่ไม่สามารถนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายตลอดเวลาได้ หาไม่แล้วจะเรียกความสงสัยจากผู้อื่น ดังนั้นในตอนสุดท้าย นางเองก็ให้ครอบครัวของตนดื่มน้ำข้าว“ทุกคนรีบลุกขึ้น เก็บของให้เรียบร้อย ออกไปหาของกินสักหน่อย”ทุกคนรีบตามซุนอู่ นักการแห่งศาลาว่าการสองคนอยู่เฝ้าทางข้างหลังหลังซูหัวจวิ้นและหลี่ซือซือถูกตี ก็นอนใกล้ตายบนพื้นลงท้ายนางหลิวก็มิอาจทนให้ลูกขาดพ่อไปได้ ก่อนจากไปยังพาซูหัวจวิ้นไปด้วยหลี่ซือซือก็น่าสงสารแล้ว ไม่มีใครสนใจนางตั้งแต่แรกนักการแห่งศาลาว่าการก็ไม่สนใจนาง ถือแส้ฟาดนางปลุกให้ตื่
สายตาเจ้าเล่ห์ของฮูหยินผู้เฒ่าซูตกลงบนห่อสัมภาระของกู้หว่านเยว่ ตั้งใจพูดเสียงดัง“สัมภาระของกู้หว่านเยว่ใหญ่เพียงนี้ คงมิได้ซ่อนของกินไว้กระมัง ให้นางแจกจ่ายออกมาเถอะ คงไม่ปล่อยให้ทุกคนหิวตายหรอกกระมัง”“ท่านหมายความว่ากระไร?”ซูจิ่นเอ๋อร์โมโหกำหมัดแน่นถ้อยคำนี้พูดออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังหาศัตรูให้พวกเขา!“ข้าหมายความว่ากระไร ความหมายของข้าก็คือกู้หว่านเยว่เห็นทุกคนหิวตายก็ไม่นำอาหารมาแจกจ่ายให้ทุกคน ช่างใจดำอำมหิตนัก!”สายตาฮูหยินผู้เฒ่าซูสะท้อนความลำพองใจ ตรงข้ามกันนางบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็คือให้ทุกคนอิจฉากู้หว่านเยว่ ดีที่สุดคือแย่งของกินจากนางมาอาศัยช่วงแย่งของกิน นางเองก็สามารถเข้าไปเอาเปรียบได้บ้างน่าเสียดาย ความหวังของนางต้องสูญเปล่า เพียงนางพูดคำนี้ เหยียนฮูหยินก็เบ้ปาก“ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ตนเองไม่มีกินก็ไปหมายตาของผู้อื่น”“นั่นน่ะสิ แม่นางกู้ช่วยพวกเรามามากพอแล้ว ไฉนเลยยังจะกล้าละโมบเสบียงอาหารของนาง ชาติก่อนเป็นวิญญาณตายเพราะความหิวกระมัง”คนอื่นเองก็ต่างพากันช่วยพูด ฮูหยินผู้เฒ่าซูคิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาถึงขั้นยังเลือกช่วยกู้หว่านเยว่ ทันใดนั
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้