“ไฟกองนั้น ท่านตั้งใจปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรือเป็นคนบงการเองกันแน่?” เสี่ยวถ่านจ้องเขม็งไปทางกษัตริย์ทูเจวี๋ย นางอยากได้ยินคำสารภาพจากเสด็จพ่อด้วยตัวเองกษัตริย์ทูเจวี๋ยรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นสายตาที่จ้องเขม็งของนาง ครั้นเผชิญหน้ากับการซักไซ้ไล่ถามของเสี่ยวถ่าน นัยน์ตาก็ฉายแววประหม่า“ตระกูลกู่ลี่ยกตระกูลของแม่เจ้ามาข่มขู่ข้าในราชสำนักหลายครั้ง ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อความสงบสุขของทูเจวี๋ย”เขารู้สึกละอายใจ “ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวของข้า ก็ยิ่งต้องเข้าใจความยากลำบากของเสด็จพ่อของเจ้า”เขาเอื้อมมือไปทางเสี่ยวถ่าน “เสี่ยวถ่าน มานี่ เจ้าคือสายเลือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยของข้า ก็ควรมีใจเป็นหนึ่งเดียวกับข้า”ครั้นเสี่ยวถ่านเห็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยเดินมาหาตน นางที่ยังจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดจากการเห็นเสด็จแม่ถูกเสด็จพ่อปลิดชีพ ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกในตอนนี้เองได้เกิดแสงเย็นสว่างวาบขึ้นภายใต้ฝ่ามือของกษัตริย์ทูเจวี๋ย กริชด้ามหนึ่งได้พุ่งเข้ามาแทงเสี่ยวถ่านโดยไม่ทันตั้งตัว “เสด็จพ่อ ท่านจะทำสิ่งใด?”รูม่านตาของเสี่ยวถ่ายหดลงอย่างฉับพลัน นางยังรับความจริงเรื่องที่เสด็จพ่อฆ่าเสด็จแม่ไม่ได้ เพียงพ
“ข้า....” เสี่ยวถ่านหวนนึกถึงคืนที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่นั้น เพื่อปกป้องนาง ราชินีทิ้งโอกาสรอดชีวิตของตัวเองในทันที“ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อเจ้าค่ะ”เสี่ยวถ่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “เพื่อเสด็จแม่ ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อ”“ได้”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบนี้ของเสี่ยวถ่าน จากการเฝ้าสังเกตการณ์ในสองวันที่ผ่านมานี้ นางได้พบว่าถึงแม้เด็กคนนี้จะเป็นเพียงเด็กสาว แต่นางมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวมากเพียงแต่เพราะอายุยังน้อยนัก ความสามารถในการจัดการเรื่องราวจึงยังอ่อนต่อโลกนัก ตราบใดที่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดี เมื่อถึงเวลานั้นจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง“เสี่ยวถ่าน เจ้าจงฟังข้า เมื่อครู่เจ้าเองก็เห็นท่าทีที่เสด็จพ่อเจ้ามีต่อเจ้า หากบัดนี้เจ้าปล่อยเสด็จพ่อของเจ้าไป ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในทูเจวี๋ย เสด็จพ่อของเจ้าคงไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่” กู้หว่านเยว่มองเข้าไปในดวงตาของนาง พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากเจ้าอยากมีชีวิตเป็นของเจ้าเอง เพื่อแก้แค้นให้เสด็จแม่ ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะยอมทำหรือไม่”“วิธีอะไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านกล่าวถามด้วยจิตใต้สำนึก“เจ้าตามข้ามา”กู้หว่านเยว่
ในเมื่อกู้หว่านเยว่เสนอเงื่อนไขนี้ นั้นก็หมายความว่านางตอบตกลงแล้วเสี่ยวถ่านแสดงสีหน้าดีใจ จากนั้นก็รีบคำนับโขกดินให้กู้หว่านเยว่สามครั้ง “ท่านอาจารย์ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด”“ได้ ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงตัวของเสี่ยวถ่านขึ้นมา ในเมื่อเสี่ยวถ่านคือลูกศิษย์ของนางแล้ว เช่นนั้นอาจารย์อย่างนางก็ต้องช่วยลูกศิษย์สักหน่อย คงไม่เป็นไร“เจ้ายังมีศิษย์พี่อีกคน นั้นคือลูกศิษย์ของสามีข้า ตอนนี้อยู่ในเจดีย์หนิงกู่ ไว้มีโอกาส ข้าจะพาเขามาพบเจ้า”ครั้นเอ่ยถึงหลี่เฉินอัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่เจดีย์หนิงกู่เป็นอย่างไรบ้าง นัยน์ตาของกู้หว่านเยว่ฉายแววคะนึงหา เสี่ยวถ่านพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ในขณะเดียวกันก็มองกู้หว่านเยว่อย่างเป็นกังวล “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรกันดี?”หากต้องขึ้นครองบัลลังก์ คงไม่ใช่กล่าวเพียงปากเปล่าแล้วจะทำได้“ไม่รีบ”กู้หว่านเยว่มองไปทางอื่น ก่อนที่สายตาจะมาตกอยู่ที่กษัตริย์ทูเจวี๋ย มุมปากยกยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยบางอย่าง“ท่านพี่ ท่านคลายจุดให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่เดินมาตรงหน้าของทั้งสองคน เพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยหนีไปไ
สี่ตระกูลนี้ นอกจากตระกูลกู่ลี่ที่โดนเนรเทศแล้ว อีกสามตระกูลที่เหลือ ไม่ว่าจะตระกูลไหนใครก็ล่วงเกินไม่ได้สามตระกูลนี้ล้วนแต่มีองค์ชายที่อยากจะสนับสนุน ดังนั้นเขาไม่มีทางที่ยอมจำนนต่อพวกเขาอย่างแน่นอนเสี่ยวถ่านเดินมาถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่ พลางวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้ของสองสามีภรรยานางเริ่มกังวลหลังจากที่กู้หว่านเยว่ฟังจบ นางกลับคลี่ยิ้มและขยี้ปลายจมูก “ใครบอกว่าทั้งสามตระกูลนี้ เจ้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากตระกูลไหนได้เลย?”“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”เสี่ยวถ่านยังไม่ได้สติกลับมาแต่ซูจิ่งสิงกลับเข้าใจความหมายของภรรยา จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูสมแล้วที่เป็นภรรยาของเขา และเป็นโจรได้สมบทบาท ชอบปล้นคลังสินค้าของผู้อื่นก็เรื่องหนึ่ง แม้กระทั่งกองกำลังของผู้อื่นที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีนางก็ปล้นชิงไม่มีเหลือ“หากข้าเดาไม่ผิด น้องหญิง เจ้าน่าจะอยากช่วงชิงกองกำลังในมือของกษัตริย์ทูเจวี๋ยมาด้วยสินะ?”ซูจิ่งสิงมองนางด้วยสายตาเปล่งประกาย กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างเก้อเขิน“ตอบถูก แต่ไม่มีรางวัลให้หรอกนะ”ซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “วิธีนี้ได้ผลแน่นอน อีกอย่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยก็อ
หากเปลี่ยนเป็นเหยลวี่เจิง ต่อให้นิ้วจะถูกตัดจนครบทุกนิ้ว เขาก็ไม่มีวันยอมคุกเข่าร้องขอชีวิตอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะร้ายกาจและฉลาดแกมโกง แต่กลับยังคงเย่อหยิ่งกษัตริย์ทูเจวี๋ยผู้นี้ กลับเป็นคนรักตัวกลัวตายกษัตริย์ทูเจวี๋ยหน้าแดงเถือกเมื่อเห็นสายตาเยาะเย้ยของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่อยากตาย ทำได้เพียงฝืนหยิบพู่กันที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดภายใต้แววตาที่เปล่งประกาย ซูจิ่งสิงก็พลันกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก“ข้าว่าทางที่ดีที่สุดท่านควรเชื่อฟังดีกว่า หากกล้าเล่นตุกติกกับข้า โกหกพวกเรา ข้าจะทำให้ท่านทรมานยิ่งกว่าตายเป็นพันเท่า”“พวกเจ้า!”กษัตริย์ทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด กระทั่งหางตาของเขาเห็นเสี่ยวถ่านไม่ได้สนใจเขา คาดว่าเด็กคนนี้คงจะตัดหางปล่อยวัดเขาไปแล้วเพื่อชีวิตของตัวเอง เขาทำได้แต่เขียนจดหมายอย่างว่าง่าย เพื่อเรียกคนสนิทเข้าวัง“ที่แท้ขุนพลเกาเถียนผู้นี้ก็เป็นคนของท่านนี่เอง”กู้หว่านเยว่หยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน ในตอนที่ได้ยินเสี่ยวถ่านเล่าความเป็นมาของทั้งสี่ตระกูล นางได้ยินชื่อของตระกูลเกาเถียนด้วย“กองกำลังของท่านคงมีไม่น้อย”กู้หว่านเยว่หยิบตราประทับกษัตริย์ออ
กษัตริย์ทูเจวี๋ยรู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวกู้หว่านเยว่ตัดนิ้วของเขาอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่กะพริบตานั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันนั้น กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะได้ล้วงหยิบพระราชโองการออกมาจากห้วงมิติ แล้วโยนให้กษัตริย์ทูเจวี๋ย“เขียน แต่งตั้งให้องค์หญิงเก้าขึ้นเป็นรัชทายาทแห่งทูเจวี๋ย”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นกษัตริย์ทูเจวี๋ยแทบจะตะโกนออกมาในทันที“ไม่ได้! จะยกราชบัลลังก์ให้นางไม่ได้!”สองคนนี้ต้องการให้เขาเขียนพระราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาท แล้วออกคำสั่งให้ขุนพลเกาเถียนตกอยู่ภายใต้อำนาจของเสี่ยวถ่าน! เลวทรามยิ่งนัก! เขาไม่มีทางเขียนอย่างแน่นอน!นัยน์ตาของกษัตริย์ทูเจวี๋ยวูบไหว อีกอย่างในใจของเขามีตัวเลือกสำหรับตำแหน่งองค์รักชทายาทแล้วกู้หว่านเยว่เข้าใจความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง “ท่านคงอยากให้องค์ชายสิบขึ้นเป็นองค์รัชทายาทสินะ?”“เจ้า!” กษัตริย์ทูเจวี๋ยตกใจอย่างมาก นางผู้นี้รู้ได้อย่างไร?“ไม่ใช่!”“ข้าเห็นมันในตอนที่เปิดอ่านจดหมายลับของท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่ยื่นจดหมายลับหลายฉบับ
“ดูท่าพระสนมลี่ผู้นี้จะเป็นนางในดวงใจของพระองค์นะเพคะ”น้ำเสียงของกู้หว่านเยว่แฝงไปด้วยการข่มขู่ จากนั้นกริชก็ได้พุ่งเข้ามาใส่หน้าของพระสนมลี่พระสนมลี่เป็นคนขี้ขลาด นางกรีดร้องในทันที“ฝ่าบาท ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วย!”“หยุดร้อง หากดึงดูดทหารเข้ามา ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือน พระสนมลี่ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือดกษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบกล่าว “อย่าทำร้ายนาง พวกเจ้าอย่าทำร้ายนาง นางกำลังตั้งครรภ์!”นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย เสี่ยวถ่านมองท้องของพระสนมลี่อย่างไม่อยากจะเชื่อ“นางกำลังตั้งครรภ์หรือ?”จู่ ๆ นางก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็เปิดจดหมายลับที่กู้หว่านเยว่ให้นางเมื่อครู่ หลังจากที่กวาดสายตาอ่านอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าก็พลันซีดเผือดลงในทันที“ดังนั้น เสด็จพ่อ เพื่อจะได้เปิดทางให้เด็กในครรภ์ของพระสนมลี่ พระองค์ถึงกับยอมเสียสละชีวิตของลูกและเสด็จแม่หรือเพคะ?”เสี่ยวถ่านจำได้ขึ้นใจพระสนมลี่มีฐานะยากจน ตระกูลฝ่ายมารดาไร้ซึ่งอำนาจเพราะเหตุนี้ แม้ว่านางจะได้ความรักอย่างลึกซึ้งจากเสด็จพ่อ แต่เสด็จแม่กลับไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ฐานะที่ต่ำต้อย ต่อให้ได้รับความโปรดปรานเพียง
กู้หว่านเยว่ตัดบทพวกเขาอย่างไร้ความปรานี นางไม่มีทางเห็นใจกษัตริย์ทูเจวี๋ยอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับราชินีทูเจวี๋ยแล้วอย่างไรเล่า เป็นสามีภรรยามานานนับสิบปี นึกจะฆ่าก็ฆ่า ไร้ศีลธรรมยิ่งนัก“ฝ่าบาท พระองค์ห้ามเขียนนะเพคะ”พระสนมลี่ส่ายหน้า “อย่าให้พวกเขาเอาหม่อมฉันมาขู่พระองค์ได้”กษัตริย์ทูเจวี๋ยเกิดความลังเล เขาคิดไว้แล้ว ว่าในอนาคตจะยกบัลลังก์ให้กับบุตรที่อยู่ในครรภ์ของพระสนมลี่ หากร่างพระราชโองการนี้ออกมาจริง ๆ แผนการที่ทำมาทั้งหมดของเขาก็ต้องพังทลายลง“ท่านคิดให้ดี ๆ”กริชของกู้หว่านเยว่ขยับเข้ามาใกล้คอของพระสนมลี่ กระทั่งคมมีดบาดคอของนางจนเลือดไหลซึมความจริงแล้วนางไม่ได้อยากฆ่าพระสนมลี่ ถึงอย่างไรเสียบุตรในครรภ์ของนางก็ยังไร้เดียงสา นางแค่อยากขู่กษัตริย์ทูเจวี๋ยเท่านั้นหากกษัตริย์ทูเจวี๋ยให้ความร่วมมือกับนางอย่างว่าง่าย เรื่องหลังจากนี้ก็จะง่ายมากขึ้นเลือดสีแดงของพระสนมลี่ไหลเปื้อนกริช นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกษัตริย์ทูเจวี๋ยแทบใจสลาย “หยุดนะ อย่าทำร้ายนาง”เขามองใบหน้าของพระสนมลี่อย่างรักใคร่ แม้ว่าเขาจะหลงใหลในอำนาจแห่งกษัตริย์ทูเจวี๋ย แต่หากพระสนมลี่แล
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้