นางส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องมาหาข้า ข้าถูกฝ่าบาทพระราชทานเป็นชายารองให้ท่านอ๋องแล้ว”นางกังวลซูจิ่งสิงจะตำหนิเฉินจื่อวั่ง รีบพูด “ท่านอ๋อง พระชายา พวกท่านจะตำหนิก็ตำหนิข้า ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์”กู้หว่านเยว่เห็นเสียงนางเจือคำวิงวอน ยกมุมปาก “แม่นางเจียง เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ มิสู้ฟังก่อนว่าเฉินจื่อวั่งจะพูดอะไร”เฉินจื่อวั่งมองเจียงอวิ๋นจิ่น ตอนนี้หัวใจแหลกสลายแล้ว“เหตุใดเจ้าโง่งมเพียงนั้น เหตุใดเจ้าต้องกินยาพิษฆ่าตัวตายด้วย?”เจียงอวิ๋นจิ่นคิดว่าแม้ซูจิ่งสิงไม่ให้นางเข้าจวน แต่อย่างไรนางก็เป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมาหากมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเฉินจื่อวั่ง ก็ยากจะรับประกันได้ว่าซูจิ่งสิงจะไม่โกรธ แล้วฆ่าเฉินจื่อวั่งโดยตรงดังนั้นนางขบเม้มกลีบปาก “เพราะเหตุใด ข้าเพียงแค่เข้าจวนอ๋องไม่ได้ รู้สึกกลัวภายในใจ ดังนั้นจึงกินยาพิษฆ่าตัวตาย ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า”“เจ้าพูดเหลวไหล” เฉินจื่อวั่งส่ายหน้า “ตั้งแต่เด็กขอเพียงเจ้าโกหกก็จะไม่กล้าสบตาข้า เจ้าสบตาข้าและบอกข้า เจ้าไม่อยากเข้าจวนอ๋องใช่หรือไม่?”น้ำตาของเจียงอวิ๋นจิ่น ไหลลงมาอย่างสุดระงับนางพูดอย่างสติแตก “เหตุใดเจ้าต้
“เพียงแต่ลงท้ายจะเลือกเยี่ยงไร ยังต้องดูพวกเจ้าทั้งสอง”การเลือกของเฉินจื่อวั่ง นางรู้แล้ว“แม่นางเจียง หากเจ้ายินดี ข้าสามารถทำให้เจ้าและเฉินจื่อวั่งสมปรารถนาได้”“ข้า...” ดวงตาเจียงอวิ๋นจิ่นทอประกาย ขณะต้องการพยักหน้า ก็นึกถึงอะไรขึ้นได้ รีบส่ายหน้า“ข้าไม่สามารถรับปากได้ ท่านแม่ข้ายังอยู่ในเมืองหลวง หากข้าไป ข่าวนี้ส่งไปถึงเมืองหลวง ท่านแม่ข้าก็ไม่มีชีวิตรอดแล้ว”ดังนั้นนางจึงเลือกกินยาพิษ ต่อให้ต้องตาย ก็ไม่กล้าหนี“อวิ๋นจิ่น...” พูดถึงเรื่องนี้ เฉินจื่อวั่งเงียบลงเฉกเช่นเดียวกันเขาไม่มีครอบครัว ไม่มีพันธนาการจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ทว่าเจียงอวิ๋นจิ่นไม่เหมือนกัน ตั้งแต่เด็กนางและมารดาดูแลกันและกัน ไฉนเลยจะสามารถใช้ชีวิตของมารดามาแลกความสุขได้?เจียงอวิ๋นจิ่นพูดอย่างจริงใจ “ท่านอ๋องพระชายา ข้ารู้ทั้งสองท่านรักกันด้วยใจจริง พวกท่านไม่สามารถฝืนทนต่อสิ่งที่ตนไม่ชอบได้ ข้าเองก็ไม่เคยคิดทำลายพวกท่าน”เจียงอวิ๋นจิ่นรู้ ฝ่าบาทส่งนางเข้าไป ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการส่งคนสอดแนมคนหนึ่งเข้าไปอยู่ข้างกายเจิ้นเป่ยอ๋อง ในขณะเดียวกันก็ทำลายความรักระหว่างซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่“หากท่
“ยังไม่นับว่าโง่เกินไปนัก สามารถเข้าใจต้นสายปลายเหตุภายในนี้ได้”กู้หว่านเยว่พูดยิ้มๆ “เพื่อความปลอดภัย เจ้ากินยาแกล้งตายนี้ลงไปแล้ว เจ้าจะไม่สามารถเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาได้เป็นเวลายาวนานสักระยะหนึ่ง”เจียงอวิ๋นจิ่นชะงักพลางพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นทางฝั่งท่านแม่ข้า...”“ข้าจะส่งคนไปที่เมืองหลวง พาแม่ของเจ้ากลับมา ให้พวกเจ้าสองแม่ลูกได้อยู่กันพร้อมหน้า”เจียงอวิ๋นจิ่นได้ยินประโยคนี้แล้ว เบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อในที่สุด ยังคิดว่าตนเองฟังบางอย่างพลาดไป นางคิดไม่ถึงว่า กู้หว่านเยว่จะช่วยนางถึงขั้นนี้“พระชายา ท่าน ท่านพูดจริงหรือ?”“ใช่แล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ว่ากันว่าช่วยคนแล้วก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด ในเมื่อตัดสินใจช่วยคู่รักชะตาอาภัพแล้ว นั่นก็ต้องจัดการให้สมบูรณ์แบบ“ขอบคุณพระชายามาก!”เจียงอวิ๋นจิ่นรีบลุกขึ้นต้องการคุกเข่าให้นาง กู้หว่านเยว่ยิ้มตาหยีพูดว่า“ไม่ต้องขอบคุณข้า ข้าไม่มีความสามารถมากเพียงนั้น เรื่องนี้ย่อมต้องมอบให้ท่านอ๋องเป็นผู้จัดการ”ซูจิ่งสิงเอือมระอา มุมปากยกขึ้นระบายยิ้มอ่อนโยน เดิมทีเขาไม่อยากช่วยสองคนนี้ คิดว่าน่ารำคาญแต่ในเมื่อน้องหญิงต้องการช่วย
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?!”โจวกงกงดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอน เกือบตกใจตาย“รอก่อน ข้าอาจยังไม่ตื่นจากฝัน วิธีการลืมตาผิดไป เจ้าพูดอีกรอบชายารองเจียงเป็นอะไรไป?” สาวใช้มีสีหน้าโศกเศร้า “พูดอีกรอบก็เหมือนเดิมเจ้าค่ะ ชายารองของพวกเราตายไปแล้ว”โจวกงกงไม่ได้สวมรองเท้า ก็วิ่งไปห้องด้านข้างแล้วครั้งนี้มาเจดีย์หนิงกู่มีสองหน้าที่สำคัญประการแรกคือถ่ายทอดพระราชโองการ คืนตำแหน่งเจิ้นเป่ยอ๋องซูจิ่งสิงประการที่สองคือส่งชายารองเจียง เข้าไปอยู่ภายในจวนของซูจิ่งสิงยิ่งไปกว่านั้นประการที่สองนี้ เป็นฝ่าบาทและองค์หญิงกำชับด้วยพระองค์เองบัดนี้ ชายารองคนนี้ถึงขั้นตายไปแล้ว?!โจวกงกงร้อนใจรีบมาห้องด้านข้าง หลังผ่านเข้าประตูก็มองเห็นเจียงอวิ๋นจิ่นนอนแข็งทื่อบนเตียง สาวใช้สองคนทางด้านข้างกำลังคุกเข่าตัวสั่นๆเขารีบวิ่งเข้าไปวางนิ้วใต้จมูกเจียงอวิ๋นจิ่น ไม่มีลมหายใจแล้ว“แย่แล้วๆ แย่แน่แล้ว คราวนี้ฝ่าบาทจะต้องบั่นคอข้าแน่”โจวกงกงคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เพียงคืนเดียวเจียงอวิ๋นจิ่นจะตายไปเช่นนี้“ตายแล้ว เหตุใดนางตายได้เล่า เมื่อวานนางยังมีชีวิตชีวาอยู่เลย!”โจวกงกงถีบสาวใช้สองคนนั้น “พวกเจ้าสองคนพูดออ
“ยามใดแล้ว ยังสมควรพูดไม่สมควรพูดอะไรอีก!รักษาชีวิตไว้สำคัญที่สุด รีบพูด”โจวกงกงโมโหหนัก บัดนี้ยังมีอะไรสำคัญยิ่งกว่าชีวิตด้วยหรือ?คนผู้นั้นเลียริมฝีปาก พูดอย่างกล้าหาญ “ชายารองตายไปแล้ว คนตายไม่สามารถฟื้นคืนได้ ต่อให้พวกเราทำทุกวิธีแล้ว ก็ไม่สามารถส่งชายารองคนที่สองเข้าจวนอ๋องได้”“ถ้อยคำนี้ไม่ต้องให้เจ้าพูด” ทุกคนที่นี่ล้วนรู้ทั้งหมด“แท้จริงแล้วต่อให้ชายารองเจียงยังมีชีวิตอยู่ อิงตามสถานการณ์เมื่อวานดูแล้ว ต้องการส่งนางเข้าจวนอ๋องกลับยากเสียยิ่งกว่ายาก”บ่าวรับใช้วิเคราะห์“ใครบ้างไม่รู้อุปนิสัยของเจิ้นเป่ยอ๋อง บัดนี้เขามีอำนาจตัดสินใจที่เจดีย์หนิงกู่แห่งนี้ ถึงตอนนั้นเขาโมโหฆ่าพวกเราทั้งหมด ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”โจวกงกงพยักหน้า อีกฝ่ายพูดมีเหตุผลจริง“ดังนั้นข้าเห็นว่าชายารองตายแล้ว อาจเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง”“ก่อนจากมามิใช่นำเงินทองมามากมายหรือ? มิสู้พวกเรานำเงินเหล่านี้มาแบ่งกัน แต่ละคนซ่อนตัวเปลี่ยนชื่อแซ่ ย่อมดีกว่าคอหลุดจากบ่ามากนัก”ในที่สุดบ่าวรับใช้ก็อาศัยความกล้าพูดเจตนาสุดท้ายออกมาจะว่าไป ทีแรกทุกคนล้วนคิดเรื่องนี้ไม่ถึง แต่ได้ฟังคำพูดวิเคราะห์นี้ของเข
“พระชายา ข้าขออยู่เฝ้านางที่นี่ได้หรือไม่?”เฉินจื่อวั่งได้คำนวณวันไว้ในใจแล้ว กู้หว่านเยว่จึงพยักหน้า“แล้วแต่เจ้า”ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่นางที่ต้องอยู่เฝ้าที่นี่ ยังมีเวลาอีกสองวันกว่าอีกฝ่ายจะฟื้น กู้หว่านเยว่จึงหมุนตัวและเดินจากไป“ข้าก็อยากอยู่ที่นี่ด้วย”ปรมาจารย์แพทย์โพล่งออกไป ทำให้เฉินจื่อวั่งอ้าปากตาค้าง “ผู้อาวุโส ท่านจะอยู่เฝ้าที่นี่ไปทำไม?”ที่เขาอยู่ที่นี่ เรียกว่าเป็นความผูกพัน เป็นห่วงคนรัก ไม่กล้าจากไปไหนปรมาจารย์แพทย์จะอยู่ที่นี่? ไม่ว่ายังไงก็แปลกปรมาจารย์แพทย์หยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาและกล่าวว่า “ข้าตั้งใจจะเฝ้าดูอาการคนที่กินยาแกล้งตายอย่างใกล้ชิด ดูว่าภายในสามวันนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นอย่างได้ชัดหรือไม่?”ก่อนจะถลึงตาใส่เฉินจื่อวั่งแวบหนึ่ง “ทำไม เจ้ามีปัญหาอะไร?” “ข้าน้อยไม่กล้า”เดิมทีเฉินจื่อวั่งนั้นมีข้อข้องใจ แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดอย่างฉับพลันหากปรมาจารย์แพทย์อยู่ที่นี่ด้วย แล้วอวิ๋นจิ่นเกิดเรื่องอะไรไม่คาดคิด ปรมาจารย์แพทย์จะได้ยื่นมือเข้ามาช่วยได้ในทันทีเขาต้องเปลี่ยนมาอ้อนวอนแทน“ข้าจะไปขนเก้าอี้เอนหลังเข้ามาให้ท่านได้นั่งพักสบาย ๆ นะขอ
ครั้นกลับถึงบ้านช่วงค่ำ ในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นนางก็ได้พูดคุยกับซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ข้าตั้งใจจะสร้างสำนักศึกที่แตกต่างจากที่อื่นสักแห่งเจ้าค่ะ สำนักศึกษาของต้าฉีในสมัยก่อนมีเพียงบุรุษเท่านั้นที่เข้าเรียนได้ สำนักศึกษาเจดีย์หนิงกู่ของเราแห่งนี้ ข้าอยากให้สตรีมีโอกาสเข้าไปเรียนด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่งสิงพยักหน้า สนับสนุนความคิดนี้ของนาง “บุรุษและสตรีใต้หล้านี้ไม่มีแบ่งแยก สติปัญญาก็ไม่แตกต่างกัน ในเมื่อบุรุษเรียนหนังสือได้ สตรีก็ย่อมเรียนได้เช่นกัน”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มหวานหยดย้อย สายตาที่เปล่งประกายคู่นั้นจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างเขินอาย“ทำไมมองข้าเช่นนี้ หน้าข้ามีสิ่งใดติดอยู่อย่างนั้นหรือ?”“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าสามีของข้าช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก”ไม่ว่าเมื่อไหร่ พวกเขาสองคนสามารถคุยเรื่องแบบนี้ได้ โดยไม่มีช่องว่างระหว่างวัยคนหนึ่งมาจากยุคโบราณ อีกคนมาจากยุคปัจจุบัน ความคิดค่อนข้างมีอิทธิพลมากแต่บางครั้งนางก็พบว่าความคิดของซูจิ่งสิงก็ทันยุคทันสมัยมากเช่นกันซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าคือภรรยาของข้า ต่อให้บางความคิดข้าจะไม่เข้าใจ ข้าก็เต็มใจสนับสน
“ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่ทนไม่ได้ที่อยู่ ๆ ก็มีคนคุกเข่าโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้ “ขอรับ”เจียงอวิ๋นจิ่นเชื่อฟังคำสั่งของกู้หว่านเยว่มาก บอกให้นางลุกขึ้น นางก็ลุกขึ้นอย่างว่าง่ายทันทีดวงตาที่งดงามคู่นั้นเอ่อล้นด้วยหยดน้ำตา “พระชายา ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านอย่างไร”นางกินยาแกล้งตาย หลับไปสามวันเต็ม เพิ่งจะฟื้นเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว และได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสามวันนี้จากเฉินจื่อวั่ง“วินาทีที่นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังเจดีย์หนิงกู่ ข้าคิดว่าชีวิตที่เหลือหลังจากนี้จบสิ้นเสียแล้ว”เจียงอวิ๋นจิ่นเตรียมยาพิษเอาไว้เรียบร้อยแล้วเหตุผลที่ไม่ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายระหว่างทางเป็นเพราะนางกังวลว่าข่าวการตายของนางจะแพร่กระจายไปถึงเมืองหลวงแล้วสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของนาง“สาเหตุที่อวิ๋นจิ่นยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ ทั้งหมดเป็นความกรุณาธิคุณของพระชายาที่ทรงช่วยเหลือไว้”“ร่างกายเจ้าอ่อนแอนัก นั่งลงเถิด”ไม่รู้เป็นเพราะเจียงอวิ๋นจิ่นโดนทำร้ายมาตั้งแต่วัยเยาว์หรือไม่ ร่างกายถึงได้อ่อนแอมากเช่นนี้ กู้หว่านเยว่จับชีพจรให้นางแล้วพบว่านางมีสภาวะอ่อนแอขั้นรุนแรงมิน่าล่ะท่าทางการเดินที่ไร้
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้