“รบกวนท่านช่วยข้า พาพี่หญิงซ่งไปที่เตียงหน่อย” กู้หว่านเยว่เรียกโจวเซิงโจวเซิงพยักหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มซ่งเสวี่ยขึ้นมา จากนั้นวางนางลงบนเตียงอย่างเบามือถึงแม้ว่าเขาจะเป็นบัณฑิต แต่รูปร่างสูงใหญ่ พละกำลังก็ไม่น้อยเลย“อืม อึดอัด...”โจวเซิงเพิ่งจะวางนางลง จู่ ๆ ซ่งเสวี่ยก็คว้าชายแขนเสื้อของเขาไว้ แล้วเอ่ยพึมพำเห็นเพียงนางที่สง่างามและสุขุมในยามปกติ เวลานี้แก้มแดงระเรื่อ ดวงตาหวานเยิ้ม เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหล เขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้ ใบหูแดงก่ำ ด้วยเกรงว่าจะล่วงเกินซ่งเสวี่ย เขารีบชักมือกลับ หันหลังให้ซ่งเสวี่ย แล้วพูดกับกู้หว่านเยว่ “ข้าขอออกไปรอที่หน้าประตูก่อน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า จับชีพจรของซ่งเสวี่ย โชคดีที่ถึงแม้โจวเซ่อจะใช้เครื่องหอมปลุกกำหนัด แต่ก็ไม่ได้ใช้ของดีอะไร ฤทธิ์ยาของเครื่องหอมปลุกกำหนัดนี้จึงไม่รุนแรงนักกู้หว่านเยว่หยิบยาลดความร้อนในร่างกายออกมาจากมิติแล้วให้นางกิน จากนั้นก็ใช้เข็มเงินขับพิษออกจากร่างกาย ไม่นาน ซ่งเสวี่ยก็ค่อย ๆ สงบลงเมื่อกู้หว่านเยว่แน่ใจว่านางไม่เป็นไร จึงห่มผ้าให้นาง ก่อนจะหันหลังเดินออกไปโจวเซิงรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยถ
“เกิดอะไรขึ้น?”เมื่อกู้หว่านเยว่เดินมาอยู่ข้างกาย ซูจิ่งสิงก็วางแก้วเหล้าลง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเบา ๆ เมื่อครู่ยังมีขุนนางและผู้มีบรรดาศักดิ์มากมายเข้ามาชนแก้ว แต่พอเห็นแววตาของเจิ้นเป่ยอ๋อง ทุกคนก็รู้จักกาลเทศะ ขอตัวออกไปกู้หว่านเยว่กระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค ทำให้สีหน้าของซูจิ่งสิงเปลี่ยนไปทันที“เขากล้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”“นั่นน่ะสิ” กู้หว่านเยว่ทำท่ากางมือออก “โชคดีที่โจวเซิงมาทันเวลา”สองสามีภรรยาพูดคุยกันด้วยเสียงเบา ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันไปจัดการงานเลี้ยงต่อ วันนี้มีคนรู้จักมาร่วมงานเลี้ยงไม่น้อย ทั้งสกุลเหยียน สกุลหลี่ และสกุลเซิ่ง พวกเขาต่างส่งตัวแทนมากู้หว่านเยว่ถือโอกาสดึงนายท่านเหยียนมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษาถงซัน ให้เป็นคนดูแลบัญชี ดูเหมือนจะใช้ความสามารถได้ไม่เต็มที่เลยจริง ๆ “พี่สาว” เหยียนซือหยวนกอดขาเล็ก ๆ ของกู้หว่านเยว่ ดวงตากลมโตสีดำขลับเต็มไปด้วยความชื่นชมตั้งแต่กู้หว่านเยว่และครอบครัวของพวกเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองอวี้ เหยียนซือหยวนก็ไม่ได้เจอนางมาเป็นเวลานานแล้ว“ซือหยวน ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าสูงขึ้นแล้ว”เด็ก ๆ โตเร็วจริง ๆ ไม่ได้เจอกันแค่ไม
ยามพลบค่ำ แขกเหรื่อต่างก็ลุกขึ้นกล่าวลา รถม้าทยอยออกจากจวนกู้ทีละคันอย่างต่อเนื่องก่อนขึ้นรถม้า เว่ยเสียวฉู่ยังคงอาลัยอาวรณ์ “เหยียนซือหยวน บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน วันหลังข้าจะไปเล่นกับเจ้าที่ไหนล่ะ?”“บ้านข้าอยู่ที่หมู่บ้านสือหาน เดือนหน้าจะย้ายมาแล้ว”ดวงตาของเหยียนซือหยวนเป็นประกาย เขาฝึกยิงหนังสติ๊กมาทั้งบ่าย ในที่สุดก็ยิงออกไปได้เสียที“ครั้งหน้า เจ้าต้องสอนข้าเล่นหนังสติ๊กอีกนะ”“ได้สิ ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าพี่เสียวฉู่ ข้าก็จะสอนเจ้า” เว่ยเสียวฉู่เท้าสะเอว ท่าทางเหมือนพี่ใหญ่“พี่เสียวฉู่” เหยียนซือหยวนเชื่อฟัง เรียกได้อย่างคล่องปากไม่ติดขัดแม้แต่น้อยเด็กน้อยทั้งสองคนร่ำลากันที่หน้าประตูอย่างอาลัยอาวรณ์ จนกระทั่งแม่เฒ่าเว่ยเปิดม่านรถม้าขึ้น แล้วตะโกนด้วยความไม่พอใจ“เว่ยเสียวฉู่ รีบขึ้นรถมาเร็ว ข้าจะรีบกลับบ้านไปเข้าห้องน้ำ”“อ๋อ”เว่ยเสียวฉู่โบกมือ จากนั้นก็วิ่งไปที่รถม้าของตัวเองอย่างใจเย็น แล้วกระโดดขึ้นรถม้า“เหยียนซือหยวน เจ้าต้องมาเล่นกับข้านะ!”แม่เฒ่าเว่ยจับหัวหลานสาวดันกลับเข้าไปในรถม้า “หลานรัก นั่นลูกชายบ้านไหนกัน เหตุใดเจ้าถึงไปเล่นกับเขา?”เว่ยเสียวฉู่รีบเอ่ยขึ
ในเมื่อโจวเซ่อกล้าทำกับนางแบบนี้ นางก็ต้องไปถามให้รู้เรื่อง“หว่านเยว่ เจ้าไปกับข้าเถิด ข้ากลัวว่าข้าคนเดียวจะรับมือไม่ไหว”ซ่งเสวี่ยค่อนข้างกลัวปากนั่นของโจวเซ่อ กู้หว่านเยว่พยักหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจะไปกับเจ้า”ทั้งสองคนนั่งลงในห้องข้าง ๆ โจวเซ่อถูกทรมานไปแล้วรอบหนึ่ง นอนคว่ำหน้ากับพื้นอย่างอ่อนแรงเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เข้ามา เขาอ้าปากด่าทอเป็นสิบ ๆ ครั้งชิงเหลียนถีบเข้าที่ใบหน้าของเขาโดยตรง “ไอ้สารเลว ฮูหยินของพวกเราไม่ใช่คนที่เจ้าจะด่าทอได้”โจวเซ่อรีบหันไปขอร้องซ่งเสวี่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ ช่วยข้าด้วยเห็นข้าถูกทุบตีอย่างโหดร้ายเช่นนี้ เจ้าไม่สงสารหรือ?”ซ่งเสวี่ยหัวเราะด้วยความโมโห “ท่านคิดจะข่มเหงข้า แล้วยังจะให้ข้าช่วยท่านอีกหรือ?”“ข่มเหงอะไรกัน พูดจาน่าเกลียด”สายตาของโจวเซ่อหลบเลี่ยง กล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ข้าแค่ชอบเจ้ามากเกินไป อยากครอบครองเจ้าเร็ว ๆ สิ่งที่ข้าทำทั้งหมดก็เพื่อเจ้า”ซ่งเสวี่ยแทบตกตะลึงกับความไร้ยางอายของเขาดีจริง ๆ ทำเพื่อนางกล้าพูดเรื่องข่มเหงอย่างเปิดเผยเช่นนี้ชิงเหลียนเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น “บ่าวได้ส่งคนไปสอบสวนเขาและบ่าว
“ไม่ อย่านะ”เสี่ยวซือกลัวจนขาทั้งสองสั่นระริก กู้หว่านเยว่ดูชั่วร้ายราวกับว่ามีดกำลังจะกรีดลงบนตัวเขาในวินาทีถัดไป“ข้าพูดแล้ว!”เขาขมิบก้นแน่น จนแทบจะฉี่ราด“ที่คุณชายของข้าต้องการแต่งงานกับฮูหยินน้อย ก็เพราะว่าเขาได้ยินมาว่าฮูหยินน้อยเป็นธิดาสายตรงของสกุลซ่ง หากได้แต่งงานกับท่าน ไม่เพียงแต่จะได้ทรัพย์สมบัติของสกุลโจวตามขั้นตอนอย่างราบรื่นหลังจากโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจวอายุครบร้อยปี แล้วก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้ของสกุลซ่งเพิ่มเติมอีกด้วย”“เสี่ยวซือ! เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ข้ารักเจ้าจากใจจริง”โจวเซ่อรีบแสดงความรู้สึกออกมา น้ำเสียงนั้นทำให้ซ่งเสวี่ยอยากหัวเราะ“ที่แท้ ท่านก็อยากกินสมบัติของผู้ไร้ทายาท!”ในขณะนี้ ซ่งเสวี่ยถึงมองเห็นความทะเยอทะยานที่โฉดชั่วของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริงอะไรคือรักแรกพบ อะไรคือรักเป็นอย่างยิ่ง ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งนั้นโจวเซ่อถูกต่อว่าจนหน้าแดงหูแดง ยั่วให้เกิดโทสะขึ้น “กินสมบัติของผู้ไร้ทายาทหมายความว่ายังไง เจ้าเป็นเพียงแม่หม้ายคนหนึ่ง ข้ายอมรับเจ้าได้ ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาที่
เดิมทีซ่งเสวี่ยยังคิดจะปะทะกับโจวเซ่ออีกสักสองสามคำ แต่คำพูดต่อหน้าไม่กี่ประโยคเมื่อครู่ ทำให้นางรู้สึกได้ในทันใดว่าการเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ มันไม่มีความหมายใด ๆ เลยโจวเซ่อในขณะนี้ก็คือหมาบ้าตัวหนึ่ง จับใครได้ก็กัดไม่เลือกหน้า แล้วนางจะโต้เถียงกับหมาบ้าให้ได้อะไรขึ้นมา?“หว่านเยว่ ยกเขาให้เจ้าจัดการแล้วกัน”ซ่งเสวี่ยรู้สึกรังเกียจ รีบหมุนตัวกลับก่อนจะเดินออกไป“เสวี่ยเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าทำแบบนี้กับข้าไม่ได้ ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้านะ!”โจวเซ่อตะโกนดังลั่น แต่เมื่อเห็นว่าซ่งเสวี่ยไม่สนใจเขา ก็เปลี่ยนเป็นการด่าทอด้วยวาจา“ซ่งเสวี่ย เจ้ามันคนสารเลว แยกแยะดีชั่วไม่ได้ ข้าต้องตาเจ้าก็นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว เจ้ากล้าทำแบบนี้กับข้า ต่อให้ตายเป็นผีข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด เจ้าคอยดู ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน...”คำพูดเหล่านี้ของโจวเซ่อทำให้ซ่งเสวี่ยขนลุกชันทันทีนางไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ทำตัวอยู่ในกรอบมาโดยตลอดอย่างนาง จะต้องมาพบเจอหมาบ้าเช่นนี้ โชคดีที่ไม่ถูกหมาบ้าตัวนี้กัดเข้า ไม่เช่นนั้นคงจะรู้สึกเป็นทุกข์ไปทั้งชีวิตซ่งเสวี่ยเดินเข้ามา
หากฝ่ายหญิงถอนหมั้น โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้คนรอบตัวก็จะคาดเดาและวิพากษ์วิจารณ์กันไปจะฆ่าโจวเซ่อตรง ๆ เลยก็ไม่ได้ ซ่งเสวี่ยสูญเสียสามีไปแล้วครั้งหนึ่ง หากคู่หมั้นยังมาตายอย่างไม่ทราบสาเหตุอีก จะต้องเป็นที่โจษจันเรื่องดวงกินผัวแน่นอนซ่งเสวี่ยกล่าวอย่างเด็ดขาด “อย่าคิดมาก ข้าเป็นคนมือสะอาด ถ้าใครอยากนินทาก็ปล่อยพวกเขาไป หรือจะให้ข้าผูกติดอยู่กับคนสารเลวนั่นจนตาย เพราะกลัวข่าวลือและคำติฉินนินทา?”สู้เจ็บแต่จบจะดีกว่า ซ่งเสวี่ยยอมถูกคนประณาม ดีกว่าให้มีความเกี่ยวข้องกับโจวเซ่อต่อไปเมื่อนึกถึงหน้าตาตอนที่เขาหว่านเสน่ห์ นางก็รู้สึกคลื่นไส้และอยากอาเจียน“ไม่ได้นะลูก”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวส่ายหัว “คำคนน่ากลัว คนที่แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ อะไรที่หยาบคายก็สามารถพูดออกมาได้ทั้งนั้น”แม้แต่คำว่าหญิงสำส่อน จงใจยั่วสวาท ไม่มีมูลหมาไม่ขี้ คำพูดประเภทนี้ยังเบาไปนางถอนหายใจ “เจ้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แล้วนานนานล่ะ?”“นานนาน?”นานนานสูญเสียพ่อไปแล้ว ถ้านางจะมีแม่ที่มีชื่อเสียงไม่ดีอีก ก็เลิกคิดเรื่องออกเรือนในอนาคตได้เลยใบหน้าของซ่งเสวี่ยเต็มไปด้วยความสิ้นหวังทันที ขบฟันแน่น ไม่รู้จะพูดอย่า
กู้หว่านเยว่อดพูดไม่ได้ว่า “โจวเซ่อเป็นคนต่ำช้าและเจ้าเล่ห์ หมายใจจะพึ่งพาความมั่งคั่งของสกุลโจว จะเป็นฝ่ายเสนอตัวขอถอนหมั้นได้ยังไง?”“เขายอม” ซูจิ่งสิงอมยิ้มกล่าว “ระหว่างชีวิตกับความมั่งคั่ง เจ้าคิดว่าเขาจะเลือกอะไร”ถึงตอนนั้นจริง ๆ เกรงว่าเขาจะไม่ใช่แค่ยินดีถอนหมั้นเท่านั้น แต่ยังคิดหาวิธีถอนหมั้นที่สมบูรณ์แบบโดยไม่ทำให้ซ่งเสวี่ยเสียหายอีกด้วยทันใดนั้นพวกเขาก็ถึงบางอ้อในทันใด แน่นอนเรื่องนี้ต้องมีคนไปบอกโจวเซ่อ ซูจิ่งสิงเสนอว่า “ข้าจะเข้าไปพูดคุยกับเขาหน่อย”กู้หว่านเยว่รีบชี้ไปที่ห้อง ซูจิ่งสิงพาฉู่เฟิงเข้าไป ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับโจวเซ่อ แต่เมื่อเขาออกมา โจวเซ่อก็ตอบตกลงเรียบร้อยแล้วไม่ใช่แค่ตอบตกลง แต่ยังยินดีไปจัดการอย่างรวดเร็วอีกด้วยกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าเขากลับเรือนไปแล้ว จะเปลี่ยนใจมาทำลายชื่อเสียงของพี่หญิงซ่งให้มัวหมองหรอกนะ?”“ไม่มีทาง” ซูจิ่งสิงส่ายหัวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเว้นแต่ว่าเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว และไม่อยากให้อี๋เหนียงของเขามีชีวิตอยู่ด้วยทว่าคนต่ำช้าอย่างโจวเซ่อที่ทำเพื่อความมั่งคั่งและชื่อเสียงอยู่แล้ว จะยอมตายได้อย่างไรหากยังไม่ไ
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป