“ไม่เข้าใจ”เพียงประโยคเดียวเกือบทำให้เจียงฉือสะดุดล้ม“ไม่เข้าใจ แล้วท่านยัง...”“แค่ลองดู เผื่อโชคดีเป็นแมวตาบอดจับหนูตายได้ล่ะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มอ่อน ใบหน้างดงามวูบวาบเปล่งประกาย ทำให้ยากจะละสายตาเจียงฉือชะงักไปเล็กน้อย แล้วรีบตามไปสายตาของกู้หว่านเยว่กวาดมองอยู่บนแผงสักพักใหญ่ สุดท้ายไปหยุดที่หินหยกชิ้นใหญ่แผ่นหนึ่ง“ข้าว่าหินหยกแผ่นนี้ไม่เลว”เจียงฉือมองดูภายนอกแวบหนึ่ง ภายนอกหยาบ มองอย่างไรก็เป็นเพียงหินก้อนหนึ่งแต่เพื่อไม่เป็นการทำลายน้ำใจกู้หว่านเยว่ เขาจึงฝืนใจถามเจ้าของแผง“หินก้อนนี้ราคาเท่าใด?”เจ้าของแผงกวาดมองอย่างไม่ใส่ใจ ความคิดไม่ต่างจากเจียงฉือ นี่เป็นหินก้อนหนึ่งที่ไม่สะดุดตา“หนึ่งร้อยตำลึง”หนึ่งร้อยตำลึงจะว่ามากก็ไม่มาก น้อยก็ไม่น้อย เจียงฉือจึงลังเลเดิมทีตัวเขาก็ไม่มีเงินทองมากนัก หากต้องเสียเงินหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อสิ่งนี้ เช่นนั้นเงินในการซื้อหยกจะน้อยลงไปอีกกู้หว่านเยว่เข้าใจความลำบากของเขา“ลองซื้อมาดูก่อน หากเปิดออกมาแล้วเป็นเพียงหินไร้ประโยชน์ ข้าจะชดเชยเงินให้ท่าน”“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”เจียงฉือรีบโบกมือ เขาจะรับเงินของกู้หว่านเยว่ไ
ไม่สู้นำหินเข้าไปไว้ในมิติก่อน รอให้ถึงเจดีย์หนิงกู่แล้วค่อยหาโอกาสผ่าออกเนื่องจากตัดแต่งหยกต้องใช้เวลาพอสมควร พวกเจียงฉือจึงยืนรออยู่ที่เดิมกู้หว่านเยว่กลับเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ในงานภายในมิติเกิดเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นกะทันหัน“นายหญิงโปรดระวัง บ่อน้ำใต้ดินหอเจิ้นไห่มีอันตราย”สีหน้ากู้หว่านเยว่เปลี่ยนฉับพลันนางนึกถึงเรื่องที่เฟิ่งเจาซีเคยบอกนาง ว่าตำนานของหอเจิ้นไห่เล่าขานกัน บ่อน้ำใต้ดินใต้หอเจิ้นไห่มีอสูรทะเลตัวหนึ่งซึ่งถูกแปดตระกูลร่วมใหญ่มือกันสะกดเอาไว้“อันตรายใด?”กู้หว่านเยว่สอบทางระบบทางความคิด เป็นไปตามคาด!“ใต้ดินมีอสูรทะเลขนาดมหึมากำลังขยับ”เฟิ่งเจาซีที่อยู่อีกด้านหนึ่งสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่รู้ว่านางนึกถึงสิ่งใด“ข้ามีธุระ ต้องขอตัวก่อน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางเองก็มีธุระเช่นกันเฟิ่งเจาซีเดินออกไปสองก้าว ทันใดนั้นหันมองกู้หว่านเยว่“ท่านระวังตัวด้วย”เมื่อกล่าวจบ นางมองดูอีกฝ่ายอย่างล้ำลึก จากนั้นหันหลังจากไปสายตาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?กู้หว่านเยว่จับหัวอย่างมึนงง สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าใต้ฝ่าเท้ากำลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย“ระบบอสูรทะเลตัวนั้น
“ระหว่างข้ากับญาติผู้พี่บริสุทธิ์ใจ เรื่องการหมั้นหมายเป็นเพียงข่าวลือ เจ้าอย่าเชื่อข่าวจากข้างนอก”นางหายใจหอบ น้ำเสียงยั่วยวนมาก ทำให้กู้หว่านเยว่ที่ฟังอยู่นอกทางเดินหน้าแดงหูแดงสองคนนี้...ตกลงเป็นใครกันแน่!เหตุใดจึงมาลักลอบได้เสียกันที่นี่!ช่างไร้คุณธรรม!ทำให้นางอยากสอดรู้จนไม่อยากทำธุระสำคัญเสียแล้ว“หากเป็นเพียงข่าวลือ เหตุใดสองวันมานี้เจ้าเอาแต่หลบหน้าข้า?”เสวียลี่กล่าวอย่างเสียใจ“หลังจากกลับไป เจ้าไปบอกญาติผู้พี่ให้ชัดเจน ว่าเจ้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว”เจียงเยี่ยนกัดหัวไหล่ของเขา“เสวียลี่ นี่เป็นเรื่องของข้า เจ้าอย่าเข้ามาสอด”น้ำเสียงของนางโกรธเคืองเล็กน้อย ทว่าเสวียลี่กลับก้มหน้าแต่โดยดี“อาเยี่ยน ข้าผิดไปแล้ว ข้าเพียงแต่ใส่ใจเจ้ามากเกินไป กลัวเจ้าจะทอดทิ้งข้า ต่อไปข้าไม่กล้าพูดเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว”เขากอดหญิงในอ้อมกอดแน่น จนหลอมรวมไปกับนาง เพราะกลัวอีกฝ่ายจะทิ้งตนเองไปกู้หว่านเยว่แอบฟังในที่ลับจนเหงื่อเต็มหัว ช่างเป็นชายหญิงที่รักกันอย่างลุ่มหลงแต่ทำไมชื่อของทั้งสองคนจึงฟังดูคุ้นหูยิ่งนัก?“รีบออกมา อีกเดี๋ยวข้าจะกลับสำนักชิงเฟิงแล้ว เจ้าเองก็ต้องกลับสำนั
เดิมทีกู้หว่านเยว่อยากจะวาร์ปไปตรงหน้าอสูรทะเลเลย แต่กลับมีคนตามอยู่ข้างหลัง จึงเคลื่อนไหวไม่สะดวกทั้งสองเดินตามกันติดๆ ในไม่ช้าจึงเดินทะลุทางเดิน มาถึงตรงหน้าบ่อน้ำใต้ดินกู้หว่านเยว่สะดุ้งกับภาพที่ได้พบเห็นตรงหน้า“ที่ตรงนี้ราวกับมีค่ายกลอย่างนั้นแหละ”กู้หว่านเยว่หันมองรอบด้าน สิ่งปลูกสร้างภายใต้บ่อน้ำใต้ดินดูเก่าแก่ รอบด้านราวกับมีสิ่งที่คล้ายค่ายกลเสริมเข้ามา“ถูกต้อง ข้าบอกท่านแต่แรกแล้ว ใต้บ่อน้ำใต้ดินมีอสูรทะเลถูกสะกดอยู่ สิ่งที่อยู่ด้านบนย่อมเป็นค่ายกลโบราณ”สายตาเฟิ่งเจาซีเอื่อยเฉื่อย เดินมาตรงหน้ากู้หว่านเยว่“เจ้าคงมาที่นี่เพื่ออสูรทะเลสินะ?”กู้หว่านเยว่หันมองเฟิ่งเจาซี“ผิวเผินเจ้าเหมือนมาร่วมงานเทศกาลหินหยก แต่ตอนอยู่ในงานเทศกาลเจ้ากลับไม่ซื้อสิ่งใดเลย เพียงแค่มองดูเฉยๆ เท่านั้น แต่กลับสังเกตความเคลื่อนไหวด้านล่างอยู่ตลอด”“ฉลาดมากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี”เฟิ่งเจาซีส่ายหน้า เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาวูบวาบของกู้หว่านเยว่ ยิ้มแล้วกล่าว“เอาเถอะ ข้ายอมรับว่าข้ามาเพื่ออสูรทะเลตัวนี้จริง”“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”กู้หว่านเยว่ซักไซ้ถึงที่สุด“ข้ามีโรค จำเป็นต้องใช้เลือดอ
“อย่าทำร้ายมัน”กู้หว่านเยว่ขวางเฟิ่งเจาซีไว้กะทันหัน น้ำเสียงจริงจัง“อย่าทำร้ายมัน มันดูเหมือนจะเจ็บมาก และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย”เฟิ่งเจาซีตะลึง แล้วทวนซ้ำอย่างร้อนใจ“ข้าต้องการเลือดของมันมารักษาโรค”ไม่ง่ายกว่านางจะตามมาถึงเมืองเจิ้นไห่ จะพลาดได้อย่างไร?เหตุใดนางจึงนึกว่าบ่อน้ำใต้ดินของหอเจิ้นไห่ไม่มีคนคอยคุ้มกัน?นั่นเป็นเพราะเมื่อครู่ตอนทุกคนร่วมงานเทศกาลหินหยก ผู้คุ้มกันด้านล่างถูกองครักษ์ลับของนางจัดการไปแต่แรกแล้ว“ฮือ ฮือ ฮือ!”เต่าทะเลขยับอีกสองที ดวงตาขุ่นมัวมีน้ำตาไหลรินสองสายเมื่อมันเห็นกู้หว่านเยว่ ดูดีใจอย่างมากอยากจะดิ้นให้หลุดจากโซ่ตรวน เพื่อมาหากู้หว่านเยว่ตรงหน้า“ข้ารู้ แต่ขณะนี้เจ้าทำร้ายมันไม่ได้”น้ำเสียงกู้หว่านเยว่เยือกเย็น คนที่นางอยากปกป้องใครก็แตะไม่ได้นางโปรยผงยาพิษ ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ได้ล้มลมดังที่นางคาดการณ์ไว้“ยาพิษไม่ได้ผลกับข้า”เฟิ่งเจาซีหรี่ตาลง อีกทั้งยังรู้สึกโกรธเล็กน้อย นางบอกแล้วว่านางต้องการเลือดของเต่าทะเล แต่กู้หว่านเยว่ยังใช้ยาพิษกับนางหรือ?”ในใจอีกฝ่าย นางไม่สำคัญเท่าเต่าทะเลตัวหนึ่ง“แล้วสิ่งนี้ล่ะ?”กู้หว่า
“คุณชายเจียง หากจะโกรธรอให้ช่วยอาเยี่ยนฟื้นขึ้นก่อนค่อยว่ากันเถิด”เสวียลี่เอ่ยเตือน ดูดีใจไม่น้อยเจียงเยี่ยนไม่ให้เขาเปิดเผยสถานะของทั้งสองคน แต่เขากลับได้รับโอกาสนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาอยากจะรอดูว่าการแต่งงานของอาเยี่ยนกับเจียงฉือจะดำเนินต่อไปหรือไม่“ข้ากับอาเยี่ยน ไม่อาจหักห้ามใจ”ไม่อาจหักห้ามใจได้ดียิ่งนัก!เจียงฉือกำหมัดแน่นเขากับเจียงเยี่ยนรู้จักกันมาแต่เด็ก แม้ทั้งสองตระกูลยังไม่ได้หมั้นหมาย แต่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ทันใดนั้นเขารู้สึกราวกับถูกสวมเขา“นำญาติผู้น้องมาให้ข้าก่อน”เจียงฉือชิงตัวนางมาจากมือเสวียลี่เขากอดเจียงเยี่ยนไว้แน่น แล้วตรวจดูอาการของนาง“ญาติผู้น้องบาดเจ็บภายใน ตกลงพวกเจ้าไปทำสิ่งใดกันแน่?”เสวียลี่หลบหลีกสายตา พร้อมกล่าวอย่างมีเลศนัย “ไม่อาจหักห้ามใจ ยังทำสิ่งใดได้อีก”เจียงฉือสะอึก “แล้วเหตุใดญาติผู้น้องจึงได้รับบาดเจ็บ?”“ถูกผู้อื่นลอบโจมตี ส่วนผู้โจมตีคือใคร ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”เสวียลี่ไม่ได้โกหกเฟิ่งเจาซีเข้ามากะทันหัน ทำให้ทั้งสองคนนึกว่ามีคนมาจับผิด จึงรีบหนีไป แม้แต่ถูกใครทำร้ายก็ไม่ทันได้ดูให้ชัดเจน“ช่างเถอะ เจ้าร
โจวหุยเดินเข้ามาอย่างดีใจ แม้แต่กู้หว่านเยว่ก็นึกไม่ถึงว่าจะพบเขาที่นี่“คุณชายโจว ทำไมถึงเป็นท่านล่ะ?”กู้หว่านเยว่มองสำรวจเขาหนึ่งรอบ“ทำไมท่านถึงอยู่ในสภาพอนาถเช่นนี้?”โจวหุยรีบตอบ “ข้าอยู่เมืองอู้ตูต่อไปไม่ได้แล้ว จึงอยากออกมาเดินเล่น หากได้พบท่านคงดีมาก นึกไม่ถึงว่าสวรรค์จะได้ยินคำอธิษฐานของข้า ทำให้ข้าได้พบกับท่านจริงๆ”เขาดีใจมาก ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจไม่น้อย“ท่านจะตามข้าไปหรือ?”นางไม่เคยคิดจะรับโจวหุยไปอยู่ด้วย“ขอแม่นางกู้โปรดอย่ารังเกียจกันเลย ข้าไม่มีที่ไปแล้ว แค่อยากมีที่อยู่อาศัยเท่านั้น”เขาดูออกว่ากู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนทั่วไป ไม่อย่างนั้นคงไม่เสี่ยงชีวิตออกตามหาองค์หญิงใหญ่“มีตะเกียบเพิ่มขึ้นหนึ่งคู่คงไม่เป็นไร”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิดสักครู่ แล้วหันมองโจวหุย“เพียงแต่ท่าน...”ใช่ว่านางยินดีจะรับทุกคนไปอยู่ด้วย จำเป็นต้องมีความสามารถจึงจะเข้าตานาง“ข้าเคยเรียนหนังสือ ข้ารู้หนังสือ แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงจวี่เหรินใช่สิ บรรพบุรุษของข้าเป็นช่างหล่อโลหะ ข้ารู้จักวิชาหล่อโลหะ”“ท่านหล่อโลหะได้หรือ?”จู่ๆ กู้หว่านเยว่นึกถึงนักรบสวรรค์กองนั้นที่อยู่ในมิติของนาง พ
“ไม่เป็นไร”กู้หว่านเยว่เคยชินแล้ว บนรถม้าของนางยังมีอาหารไม่น้อยโจวหุยได้ยินดังนั้น จึงหาที่โล่งหนึ่งแห่งก่อนฟ้ามืดกู้หว่านเยว่กระโดดลงจากรถม้า เห็นโจวหุยกำลังหากิ่งไม้ไปทั่ว เพื่อนำกลับมาก่อกองไฟอีกทั้งยังไปตักน้ำสะอาดกลับมาบางส่วน แล้วยื่นให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่พยักหน้า แม้ก่อนหน้านี้โจวหุยจะเป็นคนคลั่งรัก แต่ก็เป็นคนขยันขันแข็ง“บนรถม้ามีอาหารแห้งบางส่วน เจ้าไปนำอาหารแห้งลงมาเถอะ”กู้หว่านเยว่สั่งการ โจวหุยพยักหน้าพร้อมกระโดดขึ้นรถม้า จากนั้นนำอาหารแห้งที่อยู่ด้านหลังลงมากู้หว่านเยว่ยื่นอาหารแห้งให้โจวหุยสองแผ่น พลันได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”เสียงนั้นคล้ายกับเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง กู้หว่านเยว่ชะงักไปสักครู่ เมื่อหันหลังจึงเห็นใบหน้าคุ้นเคยเป็นไปตามคาด โจวหุยที่อยู่ข้างกายนิ้วมือสั่นเทา“นาง ซ่งซีซี ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่?”หญิงสาวที่วิ่งไปด้วยพลางร้องตะโกนให้ช่วยไปด้วยกลางป่าเขา คือซ่งซีซีเห็นได้ชัดว่าซ่งซีซีเองก็นึกไม่ถึง ว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ารถม้าคือโจวหุย แรกเริ่มนางสะดุ้งก่อน ต่อมาเมื่อนึกถึงงูพิษที่ไล่ตามด้านหลัง จึงรู้สึกขา
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้