มองปราดเดียว นางก็รู้ว่าเจี่ยหงไม่ได้ตายด้วยโรคลำไส้อุดตันส่วนจะตายด้วยสาเหตุใดนั้น ต้องตรวจดูอย่างละเอียดอีกทีกู้หว่านเยว่ถอดเสื้อผ้าส่วนบนของเจี่ยหงออก หลังจากนางได้เห็นผิวหนังของเจี่ยหงที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ม่านตาหดตัวอย่างรุนแรงรอยแผลเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นก่อนตาย แผลใหม่แผลเก่าผสมกัน อนาถจนทนดูไม่ได้กู้หว่านเยว่อดกลั้นต่ออาการสั่นเทา ถอดเสื้อผ้าส่วนล่างของเจี่ยหงออกเป็นไปตามคาด พบเห็นร่องรอยการถูกทารุณกรรมบนร่างกายของนางในนั้น ตรงท้องน้อยยังมีอาการฟกช้ำที่รุนแรงกู้หว่านเยว่ยื่นมือไปจับดู แล้วลองกดดู“หาสาเหตุการตายของพี่สาวเจ้าได้แล้ว”นางสวมเสื้อผ้ากลับไปให้เจี่ยหง แล้วเดินออกมาจากด้านใน ใบหน้าเผยความสงสาร“ถูกเตะจนตาย มีอาการม้ามแตก ภายในท้องเต็มไปด้วยเลือดคั่ง”จินตนาการได้ยากมาก ว่าก่อนตายเจี่ยหงถูกทารุณกรรมอย่างไรสายตาเยือกเย็นของกู้หว่านเยว่กวาดมองหลี่เหวินคนที่ทำร้ายเจี่ยหงจนมีสภาพเช่นนี้ ทั่วทั้งสกุลหลี่คงมีแต่หลี่เหวินคนเดียวไอ้คนซ้อมเมียที่สมควรตาย!“พี่หญิง” เจี่ยอวิ๋นขอบตาแดงก่ำ “นางถูกเตะจนตายทั้งเป็นหรือ?”เขาหันหลังด้วยใบหน้าที่โกรธแ
กู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่คิดขัดขวางขณะนี้เด็กน้อยสองคนด้านหลังที่ตกใจมาก จู่ๆ ร้องไห้เสียงดัง“ท่านแม่ถูกตีจนตาย” หลี่เจาตี้ร้องไห้พร้อมเอ่ยขึ้นนางอายุห้าขวบแล้ว จึงพอรู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้างสายตาโกรธแค้นมองไปที่หลี่เหวิน“ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นคนทำร้ายทุบตีท่านแม่ เตะท่านแม่จนตาย”นางชี้ไปที่หลี่เหวินแล้วตะโกนเสียงดัง“เจ้าลูกชั่ว เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน?”หลี่เหวินแทบอยากจะเข้าไปบีบคอหลี่เจาตี้ให้ตาย ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับตบหน้าหลี่เจาตี้อย่างแรง“แกมันนางของขาดทุน พูดจาเหลวไหลอะไรกัน? อยากให้พ่อเจ้าตายหรือ? เป็นเด็กผู้หญิงมันเนรคุณจริงๆ เลี้ยงเสียข้าวสุก”“เจาตี้!”เจี่ยอวิ๋นรีบไปปกป้องเด็กน้อยเอาไว้ “เจ้าไม่เป็นไรนะ?”เมื่อเห็นเด็กน้อยถูกตีจนเลือดกำเดาไหล เขาสงสารจับใจ“ท่านน้า ท่านแม่ของข้าตายแล้ว ต่อไปข้าไม่มีท่านแม่อีกแล้ว”หลี่เจาตี้ร้องไห้เสียใจ น้องสาวที่อยู่ข้างกันก็ร้องไห้ตาม“อย่าร้องไห้ น้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง”เจี่ยอวิ๋นกัดฟัน แล้วหันหลัง จากนั้นสาวหมัดใส่หน้าหลี่เหวินทีละหมัดชกจนฟันในปากของเขาร่วงออกมาเป็นแถว“เจ้าฆ่าพี่สาวข้า ข้าจะให้เจ้าชด
กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงอ่านจบ รู้สึกเย็นเยือกไปทั่วร่างเพื่อให้ชนะสงคราม มู่หรงถิงถึงขนาดส่งคนไปเจรจาเงื่อนไขกับทูเจวี๋ยรับปากทูเจวี๋ย ขอเพียงทูเจวี๋ยส่งทหารฝีมือดีมาเมื่อใดที่สถานการณ์พลิกผัน ทุกเมืองที่ยึดคืนมาจากซูจิ่งสิงทหารทูเจวี๋ยสามารถยกทัพเข้าเมือง หรือฆ่าล้างเมือง หรือเผาฆ่าปล้นสะดมภ์ ล้วนได้ทั้งสิ้นสายตาซูจิ่งสิงเย็นเยียบ “สำหรับทหารที่วนเวียนอยู่บนคมดาบแล้ว การฆ่าล้างเมืองหลังจบศึกคือรางวัลอันยิ่งใหญ่”ปล่อยให้ทหารฆ่าล้างเมืองได้ตามใจชอบ เพื่อให้พวกเขาได้ระบาย กระทั่งให้พวกเขาปล้นสะดมภ์ ยิ่งทำให้พวกเขาหวั่นไหว“เหอะเหอะ ฮ่องเต้ชั่วคงจะหมดสิ้นหนทางแล้วสินะ”กู้หว่านเยว่เหน็บแนม“ประเด็นคือเรื่องนี้หรือ?”เกาเจี้ยนรีบเอ่ยขึ้นทันใด“เหตุใดสีหน้าของพวกท่านสองสามีภรรยาจึงยังเรียบเฉยนัก? เพื่อชนะสงคราม ฮ่องเต้ชั่วถึงขนาดรับปากพวกทูเจวี๋ยเช่นนี้เมื่อใดที่ทูเจวี๋ยตกลง ไม่ว่าพวกเขาจะชนะหรือไม่ คนที่ทุกข์ร้อนก็คือประชาชน”ใจเขาร้อนดั่งไฟเผากู้หว่านเยว่กลับหัวเราะ “ทูเจวี๋ยไม่ตกลงหรอก”ไม่ตกลง?เกาเจี้ยนเบิกตาโตทูเจวี๋ยจ้องจะขย้ำต้าฉีอยุ่ตลอดเวลาเว้นแต่สมองพ
“ครั้งนี้ฮ่องเต้ชั่วหาผิดคนซะแล้ว”เกาเจี้ยนหัวเราะเสียงดัง“ไม่รู้ว่าเฟิ่งอู๋ชีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”แววตากู้หว่านเยว่กังวลเล็กน้อยนางมักรู้สึกว่าครั้งนี้ทางเฟิ่งอู๋ชีไม่ราบรื่นนัก“พวกเราต้องออกจากเมืองจางโจวแล้ว”ซูจิ่งสิงเอ่ยขึ้นพวกเขาอยู่ในเมืองจางโจวมานานมากแล้ว ช่วงที่ผ่านมาหนานหยางอ๋องได้นำทัพใหญ่เดินทางมุ่งหน้าไปเมืองต่อไปแล้ววันนี้ ทางโน้นส่งสารเร็วมารายงาน บอกว่าหนานหยางอ๋องยึดเมืองแห่งนั้นได้แล้วแม้ในมิติของกู้หว่านเยว่จะมียุ้งฉางจำนวนหมื่นล้านแต่การทำศึกให้ความสำคัญที่จบศึกอย่างรวดเร็ว ซูจิ่งสิงวางแผนไว้แล้ว ภายในหนึ่งปีต้องยกทัพไปถึงเมืองหลวง“ได้”นอกจากหลิ่วเพียวเพียว ในเมืองจางโจวไม่มีสิ่งใดให้กู้หว่านเยว่เป็นห่วงหลิวชวี่รับปากแล้ว จะช่วยดูแลหลิ่วเพียวเพียวและเจี่ยอวิ๋นอย่างดีหลังหลิ่วเพียวเพียวคลอดลูก จะให้คนส่งพวกเขากลับเมืองเหยากู้หว่านเยว่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาส่วนน้องสาวของหลิวชวี่ หลังจากรักษาตามวิธีของกู้หว่านเยว่ อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกไม่นาน คงหายดีเป็นปลิดทิ้งคนสกุลฟ่านที่รังแกคุณหนูหลิว ถูกหลิวชวี่หาข้ออ้างแล้วจัดการทีเด
“จะว่าไปองค์ชายของพวกเราก็ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก จับจุดอ่อนขององค์ชายอู๋ชีได้อยู่หมัด”“หากไม่ใช่เพราะจับจุดอ่อนของเขาได้ องค์ชายของพวกเราคงจะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว เจ้าและข้าก็คงตายไปนานแล้ว รีบหุบปากเสียเถอะ อย่ามัวแต่ยืนงงว่าใครเป็นนายของตนเองอยู่เลย”เสียงปริศนาเสียงหนึ่งดังขยายมาจากนอกจวนดูเหมือนว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มาลาดตระเวนจะได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของทหารเฝ้ารักษาการณ์ทั้งสองคน จึงรีบตำหนิพวกเขา“เจ็บ!”“เจ็บยิ่งนัก!”เสียงของเฟิ่งอู๋ชีที่อยู่ด้านในยังคงดังออกมาอย่างไม่ขาดสายแต่ในเวลานี้เอง องค์หญิงหนานเจียงที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับเขากำลังนั่งหัวเราะเยาะอยู่ภายในตำหนักพระมเหสี“น้องชายของข้าช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก เสด็จแม่บอกข้าเรื่องอาการป่วยของเขาตั้งนานแล้ว คิดจะบีบบังคับเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก”นางหัวเราะเยาะเบา ๆ พลางเล่นกับเล็บสีแดงสดราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอายุสามสิบกว่าปี แต่ใบหน้ายังคงคล้ายกับเด็กสาววัยยี่สิบกว่าปีสาเหตุที่นางตกลงร่วมมือกับฮ่องเต้ชั่วในครั้งนี้ด้วยการยกทัพไปต้าฉี ช่วยฮ่องเต้ชั่วออกมานั้นเพราะพระมเหสีหนานหลีม่านได้ให้สูตรค
“ให้นางกำนัลสักสองสามคนไปยกถังน้ำเข้ามา ล้างพื้นที่นางยืนเมื่อครู่ให้เกลี้ยง ลากเก้าอี้ที่นางเคยนั่งออกมาทุบทิ้งทำเป็นฟืนเสีย”นางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ด้านในต่างมองหน้ากัน แต่ถึงอย่างไรก็เคยชินกับเหตุการณ์เช่นนี้แล้วหลังจากเข้าวังมานางก็คล้ายกับเป็นโรคกลัวเชื้อโรค ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาในตำหนักของนาง แม้ว่าฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่นางก็ยังสั่งให้คนทำความสะอาดทั้งราชวังอยู่เสมอ“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”นางกำนัลเหล่านั้นไม่กล้าคัดค้าน รีบเดินออกไป ให้คนยกอ่างน้ำเข้ามาทำความสะอาดราชวังพระมเหสีเดินเข้าไปภายในตำหนักอย่างเหม่อลอยนางเปิดลิ้นชักโต๊ะประทินโฉม หยิบกุญแจรูปหัวใจออกมาจากด้านล่างสุดของลิ้นชักโต๊ะประโฉมครั้นเห็นกุญแจรูปหัวใจดอกนั้น ใบหน้าของพระมเหสีก็แสดงความรู้สึกบางอย่างที่น้อยนักจะได้เห็น“เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ท่านพี่ ท่านอยู่โลกนั้นสบายดีหรือไม่เจ้าคะ?”นางลูบกุญแจรูปหัวใจดอกนั้นอย่างเบามือ ราวกับว่ากำลังลูบสิ่งของที่มีมูลค่าที่สุดในโลก“คำสาบานที่ข้าให้ไว้ต่อหน้าหลุมศพของท่านกำลังจะเป็นความจริงแล้วนะเจ้าคะ”นางพึมพำด้วยอย่างผ่อนคลาย“ข้า
ซูจิ่งสิงส่ายหน้าเกาเจี้ยนมีความกล้าหาญก็จริง แต่ขาดสติปัญญาเมืองหลวงในตอนนี้เป็นแหล่งรวมของคนต่างถิ่น หากเขาไปที่นั้น เกรงว่าจะกลับออกมาไม่ได้“ข้าจะส่งคนอื่นไปดู”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่กำลังคิดหาคนที่เหมาะสม ทันทีที่ลั่วยางได้ยิน ก็รีบเสนอตัวอย่างรวดเร็ว“ให้ข้าไปเถิด”นางให้เหตุผลว่า“ข้ารู้จักเมืองหลวงเป็นอย่างดี ในตอนที่ข้าช่วยงานของมู่หรงอวี้ ข้ามักจะไปเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง”“ไม่ค่อยมีคนรู้จักข้านัก โดยส่วนใหญ่ไม่มีทางรู้ว่าข้ากับพวกท่านติดต่อกันหรอกเจ้าค่ะ”“ข้าเป็นหมอ หมอทำการอันใดย่อมราบรื่น ข้ามีหน้ากากหนังมนุษย์ที่ท่านอาจารย์ให้ข้าไว้ เปลี่ยนรูปลักษณ์ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”ทันทีที่เกาเจี้ยนได้ยินก็ตื่นตกใจ เขาจะให้แก้วตาดวงใจไปเสี่ยงได้อย่างไร?“ไม่ได้ อันตรายเกินไป”เขารู้ว่าลั่วยางเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง จึงไม่กล้าพูดเด็ดขาดนัก เพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดความไม่พอใจ“ไม่อันตรายหรอก ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่าเฟิ่งอู๋ชีกำลังป่วยหนัก”ลั่วยางแสดงสีหน้าจริงจัง“ข้ามีทักษะการแพทย์ ให้ข้าไปไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์ก็ได้เจ้าค่ะ”พี่หว่านเยว่ ให้ข้าช่วยท่านเถอะ” น้
ตอนแรกซูจิ่งสิงยกกองทัพเจดีย์หนิงกู่ไปก่อการกบฏ ต่อมาหนานหยางอ่องก็ฟื้นคืนชีพ ทำให้ลั่วยางต้องโบกธงขาวยอมจำนนจากนั้นเขตซีเป่ยและเหอตงต่างก็ยอมจำนนต่อกองทัพเจดีย์หนิงกู่เมืองหลวงของพวกเขาถูกล้อม้าไว้ทุกทิศทางหัวเดียวกระเทียมลีบ บัดนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว กองทัพหนานเจียงยกทัพมาใกล้ถึงแล้ว มู่หรงถิงต้องใช้ยาแก้ปวดคอยบรรเทาติดต่อกันหลายวัน กว่าจะออกราชกิจได้ลึก ๆ ในใจเขารู้ดีว่าเก้าอี้มังกรไม่มั่งคงอีกต่อไป พลังหยินหยางภายในร่างกายก็อ่อนแอลงทุกวัน กระทั่งองค์หญิงหนานเจียงกลับมาพร้อมกับข่าวดี กองทัพหนานเจียงเชี่ยวชาญด้านวิชาหนอนพิษ ดังนั้นการสู้กับศัตรูซึ่ง ๆ หน้าอาจไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก แต่การลอบกัดด้านหลัง ร้ายกาจยิ่งกว่า“นี่คือผลงานของพระมเหสีเจ้าค่ะ”มู่หรงถิงภูมิใจมากในตอนที่เขาไปเยือนจวนหนานหลีอ๋องนั้น เขาก็ตกหลุมรักหนานหลีม่านตั้งแต่แรกเห็น เพื่อจะได้ตัวนาง เขายอมแลกทุกอย่างอย่างไม่เสียดายในตอนที่หนานหลี่ม่านขึ้นเป็นพระมเหสีนั้น เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างพยายามขัดขวาง บัดนี้ เขารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากหลังจากที่ทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนานขุนนางช
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป