“ไม่”มู่หรงถิงออกแรงกอดรัดนางมากขึ้น“ตอนนี้ข้าต้องการเจ้า”ไม่นานมานี้ จู่ ๆ เขาก็เกิดอาการชักเกร็งโดยไม่ทราบสาเหตุ จนเขาทำอะไรไม่ได้ ทำให้เขาห่างหายจากการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระมเหสีเป็นเวลานานจนแทบจะสูญเสียความเป็นชายไปแล้วโชคดีที่อ๋องหกช่วยนำยากระทิงดุจากงานประมูลมาให้เขาหลังจากที่เขากินยานี้ลงไป เขาได้พลังกลับมา และเป็นพลังที่รุนแรงกว่าเดิมด้วยแต่ปรากฏว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ดีใจเท่าไหร่ ข่าวที่ซูจิ่งสิงก่อกบฏก็แพร่สะพัดออกมาเขายุ่งอยู่ในราชสำนักทั้งวัน เกรงว่าสักวันเขาจะสูญเสียบัลลังก์ที่ยังไม่ได้นั่ง และไร้ซึ่งความลึกซึ้งต่อพระมเหสีในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เขาจะอดทนต่อไปทำไม ไหน ๆ วันนี้เขาก็อารมณ์ดีแล้ว จึงตั้งใจขอให้พระมเหสีกำเนิดองค์รัชทายาทตัวน้อยให้เขา สืบทอดอาณาจักรอันกว้างใหญ่แห่งนี้ต่อไปเขารักพระมเหสีมาก“ฝ่าบาทอย่าทำเช่นนี้เจ้าค่ะ”นัยน์ตาของพระมเหสีฉายแววรังเกียจอย่างชัดเจนนางไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฮ่องเต้มานานมากแล้ว ครั้นเห็นชัยชนะรออยู่ตรงหน้า นางก็จะแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป“ข้าไม่ค่อยสบาย วันนี้คงจะอยู่ปรนนิบัติท่านไม่ได้เจ้าค
“หากองค์หญิงหนานเจียงไม่อยู่แล้ว นางก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา คำสัญญาที่ตกลงกันไว้ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาอีกต่อไป”น้ำเสียงของมู่หรงถิงแฝงไปด้วยอันตรายในแววตาที่หรี่ลงคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และความชั่วร้ายอย่างมากพระมเหสีตกใจได้ไม่นาน ก็เข้าใจทันที“ฝ่าบาท เราและหนานเจียงเป็นพันธมิตรต่อกัน ทำเช่นนี้...” นางตั้งใจกล่าวถาม “ไม่เป็นการถีบหัวส่งกันเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ?”ครั้นนึกถึงในช่วงแรก มู่หรงถิงก็ปฏิบัติเช่นนี้ต่อเขตหนานหลีเช่นเดียวกันคนปลิ้นปล้อน ไม่รักษาคำพูดเกรงว่าหนานเจียงยังคงรออย่างมีความหวัง หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง มู่หรงถิงทำตามสัญญาของตัวเอง แต่กลับไม่รู้ว่ามู่หรงถิงวางแผนจะบีบบังคับพวกเขาเอาไว้แล้ว“ข้า...ข้าทำเพื่ออาณาจักต้าฉี”มู่หรงถิงไม่เห็นด้วย“ในหนานเจียง สตรีเป็นใหญ่ เฟิ่งหมิงกวงคือบุตรสาวของราชินีหนานเจียง ตราบใดที่จับนางได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าหนานเจียงจะขว้างงูไม่พ้นคอ อีกอย่างหนานเจียงเป็นแค่ชนเผ่าเล็ก ๆ ทางตอนใต้ หากทำตามเงื่อนไขของพวกเขาได้ ก็ไม่มีใครทำลายศักดิ์ศรีของต้าฉีได้”เขาก็หาข้ออ้างไปเรื่อยโดยไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ที่น่ารังเกี
พวกมันถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็ก เอาไว้ใช้โจมตีมนุษย์ถุงสมุนไพรอาจจะใช้ไม่ได้ผลต่อพวกมันเท่าไหร่นักแต่การมีสิ่งนี้อย่างน้อยก็สร้างขวัญกำลังใจให้ทหารได้ไม่มากก็น้อย ไม่ถึงกับทำให้เหล่าทหารที่ได้ยินเรื่องของแมลงพิษหนานเจียงพากันขวัญหนีดีฝ่อซูจิ่งสิงสาวเท้าจากไป“แม่ทัพเกา ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดข้าฟังแล้วถึงไม่เข้าใจเลยสักนิด?”ทันที่ที่เขาจากไปเหล่าทหารก็พากันล้อมเข้ามาด้วยสีหน้างุนงง พวกเขาเห็นว่าซูจิ่งสิงและเกาเจี้ยนเพิ่งจะคุยกันเพียงไม่นานอะไรคือแผนไส้ศึก พวกเขาได้ยินกันหมดแล้วแต่รายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นพวกเขาไม่รู้ท่านอ๋องก็ไม่ได้อธิบายให้พวกเขาฟังเกาเจี้ยนหัวเราะออกมา“เจ้าไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ท่านอ๋องมอบหมายเรื่องนี้ให้ข้าแล้ว ข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟังอยู่แล้ว”ข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปจนเข้าหูของกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่มิใช้คนโง่เขลาเบาปัญญา นางไตร่ตรองเพียงไม่นานก็เข้าใจความหมายของซูจิ่งสิงแล้ว“หนานเจียงแค่มาช่วย และไม่ใช่ทหารของต้าฉี ได้ยินว่าคนหนานเจียงเป็นคนชอบเก็บตัวและเย่อหยิ่ง ครั้งนี้ต้าฉีขอร้องพวกเขาอีกครั้ง ทหารม้าทั้งสองฝ่ายต้องเคลื่อน
ไม่ว่าจะเป็นมู่หรงถิงในตอนนี้หรือว่ามู่หรงอวี้ที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ในภายภาคหน้า ก็ล้วนแต่ไม่เคยไม่ความสนใจต่อสตรีเท่าไหร่นักสตรีต่อให้ร่ำเรียนเขียนหนังสือได้ แต่ก็ลงสอบขุนนางไม่ได้แม้ว่าเว่ยเสี่ยวฉู่จะมีความฝันเป็นแม่ทัพหญิง แต่นางกลับไม่ได้รับความสนใจจากคนในค่ายทหารนักต่อให้นางจะแสดงความสามารถล้ำเลิศในด้านการรบหลายครั้ง แต่สำหรับคนอื่น นางก็ยังเป็นเพียงสตรีที่ควรเย็บปักถักร้อยอยู่แต่ในบ้าน รีบแต่งงานและมีบุตรให้เร็วที่สุดเท่านั้นการดึงดันจะไปค่ายทหาร เป็นการกระทำนอกรีต และเป็นการกระทำที่ออกหน้าเกินไปเพราะคนเหล่านั้นเห็นแก่หน้าของเว่ยเฉิง ภายนอกต่างก็ประจบสอพลอเว่ยเสี่ยวฉุ่ แต่ความจริงแล้วกลับไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเว่ยเสี่ยวฉู่เองก็มีความทะเยอทะยานอยู่ไม่น้อย เป็นสตรีที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ที่อึ้งยิ่งกว่าก็คือหลังจากที่นางพยายามดิ้นรนอยู่ในค่ายทหารเป็นเวลากว่าสามถึงสี่ปี ในที่สุดนางก็ได้สร้างความดีครั้งยิ่งใหญ่ให้กับทั้งยุทธการทหารจนได้ขึ้นเป็นแม่ทัพหญิงปรากฏว่าเว่ยเฉิงได้ถูกมู่หรงอวีฆ่าปิดปากจุดจบของเว่ยเสี่ยวฉู่จึงน่าเวทนายิ่งนักนางกลายเป็นโสเภณีในค่ายทหาร
“เสี่ยวฉู่ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”“เจ็ดปีเจ้าค่ะ”เว่ยเสี่ยวฉู่ชูเลขเจ็ดขึ้นมา กู้หว่านเยว่ถึงกับประหลาดใจ เพราะเด็กคนนี้เติบโตมาจากในชนบท และมักขาดสารอาหารตั้งแต่เด็ก จึงดูเด็กว่าอายุจริง“ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ ยามศึกสงครามเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก เจ้าต้องลำบากยากเข็ญอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่อายุแค่นี้”“อาจารย์ของเจ้าไม่ชอบคนที่เรียนแล้วล้มเลิกกลางคัน ในเมื่อเข้ามาในค่ายทหารแห่งนี้แล้ว ห้ามล้มเลิกกลางคันเด็ดขาด”“ต่อไปไม่ว่าจะทุกข์ทรมานแค่ไหน เจ้าก็ต้องยืนหยัดต่อไป”ครั้นกล่าวถึงตรงนี้ นัยน์ตาของกู้หว่านเยว่ก็ฉายแววจริงจัง“หากวันหนึ่งเจ้าทนต่อไปไม่ไหว และยอมแพ้ไป เจ้าจะไม่ใช่ลูกศิษย์ข้าอีกนับตั้งแต่ตอนนั้น และไม่สามารถกลับเข้ามาในค่ายทหารได้อีกต่อไป”“เข้าใจแล้วหรือไม่?”เว่ยเสี่ยวฉู่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ เสี่ยวฉู่เข้าใจแล้ว”“เด็กดี”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะของเว่ยเสี่ยวฉู่ เด็กคนนี้ฉลาดยิ่งนัก กู้หว่านเยว่ชอบนางมาก“ขอบพระคุณพระชายา” เว่ยเฉิงทำความเคารพกู้หว่านเยว่ด้วยความจริงใจเขาดูออกว่ากู้หว่านเยว่ดีกับเว่ยเสี่ยวฉู่มาก เพราะเหตุนี้เขาจึงรู้สึกขอ
กู้หว่านเยว่เพิ่งนึกขึ้นได้ เว่ยเสียวฉู่ก็รีบเอ่ยขึ้น “ตอนที่ข้าออกเดินทาง ท่านแม่เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ข้าสองชุด อยู่ในห่อผ้าเล็ก ๆ ของข้าทั้งหมดข้าจะเอาออกมาเปลี่ยนสักชุด ชุดที่เปลี่ยนออกนั้น รอมีน้ำเมื่อไร ข้าจะเอาไปซัก”เจ้าตัวเล็กจัดการทุกอย่างได้เป็นระเบียบเรียบร้อยกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าซักผ้าเองเป็นด้วยหรือ?”“ข้าไม่เพียงแต่ซักผ้าเป็นเท่านั้น ข้ายังให้อาหารหมู ให้อาหารไก่ ให้อาหารเป็ดได้ด้วย”เว่ยเสียวฉู่กล่าวอย่างร่าเริงลูกคนจนต้องรู้จักรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่เด็กตอนที่นางเพิ่งเกิด เว่ยเฉิงยังเป็นเพียงนักเรียนที่ยากจน ครอบครัวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาเป็นเวลานานแม้แต่ไข่ไก่ ก็ยังได้กินเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้นนางอยู่ที่ชนบทช่วยท่านแม่ทำงานทุกอย่างไม่เพียงเท่านั้น นางยังขึ้นเขาไปเก็บผักป่า ตัดฟืน หาบน้ำ ลงนาและถอนต้นกล้าด้วยไม่ใช่ว่าแม่เฒ่าเว่ยใจร้ายกับนางมากเกินไป เพียงแต่ครอบครัวยากจนเท่านั้นกู้หว่านเยว่ลูบใบหน้าของเว่ยเสียวฉู่ นางรู้แล้วว่าเหตุใดเด็กคนนี้จึงมีความฝันอยากเป็นแม่ทัพหญิงอยู่ในใจนายท่านเว่ยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เว่ยเฉิงก็มักจะออกไปศึกษาเล่
คนประเภทนี้โดยทั่วไปแล้วจะมีนิสัยเย่อหยิ่ง ไม่เห็นคนรอบข้างอยู่ในสายตา และไม่ยอมฟังคำสั่งของผู้อื่น”“หนานเจียงส่งคนแบบนี้มาก็ดีแล้ว”“เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?” กู้หว่านเยว่ไม่คุ้นเคยกับคนหนานเจียง“เมื่อวานท่านอ๋องให้ข้าดูรายชื่อแม่ทัพนายกองจากทางราชสำนัก นายพลเฉิงนั่นข้ารู้จักเป็นคนหยิ่งยโส ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา”เว่ยเฉิงยิ้ม“เขาและคุณชายจากหนานเจียงผู้นั้นเจอกัน แน่นอนว่าต้องไม่มีใครยอมใคร”เห็นได้ชัดว่า แผนยุยงให้แตกแยกของซูจิ่งสิงนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เพียงแค่พวกเขาขัดแย้งกันเอง ก็ไม่มีทางทำอะไรสำเร็จแต่กู้หว่านเยว่ยังคงกังวลอยู่เรื่องหนึ่ง“ท่านพี่ คืนนี้ข้าตั้งใจจะไปดูที่ค่ายทหารของศัตรู”หลังจากที่เว่ยเฉิงออกไปแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ปรึกษากับซูจิ่งสิงเป็นการส่วนตัวซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “อันตรายเกินไป”“ถึงแม้คนหนานเจียงจะไม่น่ากลัว แต่ก็กังวลว่าจะมียอดฝีมือแฝงตัวอยู่”“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” กู้หว่านเยว่กล่าวย้ำอีกครั้ง“ท่านไม่รู้สึกหรือว่าพวกเขามั่นใจมากเกินไป? ถึงแม้กองทัพของหนานเจียงจะมาสนับสนุน แต่เมื่อเทียบกับกองทัพเจดีย์หนิ
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”ซูจิ่งสิงได้ยินเสียงร้องที่ดังออกมาจากค่ายทหาร ก็รู้สึกว่าเกาเจี้ยนไม่เหมือนกับป่วย“ข้าเข้าไปสั่งงานสักหน่อยก่อน”ซูจิ่งสิงตบหลังมือของกู้หว่านเยว่เบา ๆ แล้วเข้าไปเรียกหมอทหาร“ดูแลแม่ทัพเกาให้ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น”“ขอรับ”หมอทหารชราพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม“ข้าน้อยสั่งให้คนไปตามหวงเหล่าแล้วขอรับ”พวกเขาไม่เข้าใจอาการป่วยของเกาเจี้ยนจริง ๆ ไม่แน่ว่าหวงเหล่าอาจจะดูออกซูจิ่งสิงตบไหล่ของหลิวชวี่เบา “ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”หลิวชวี่คาดเดาว่าซูจิ่งสิงน่าจะออกไปหาวิธีรักษาเกาเจี้ยน จึงรีบพยักหน้า“ท่านไปเถิด วางใจได้ ทางค่ายทหารนี้ข้าจะดูแลแทนท่านเอง”เฉิงเหลียนรีบเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยจะร่วมมือกับแม่ทัพหลิวอย่างเต็มที่”“อืม”ซูจิ่งสิงมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง แล้วหันหลังออกไปจับมือของกู้หว่านเยว่ ออกจากค่ายทหารไปด้วยกันเมื่อถึงสถานที่ที่ไม่มีคน กู้หว่านเยว่ก็เก็บม้าสองตัวเข้าไปในมิติ แล้วพาซูจิ่งสิงเทเลพอร์ตไปยังค่ายทหารของศัตรูทั้งสองคนเพิ่งลงถึงพื้น ก็ได้ยินเสียงบ่นดังมาจากในค่าย“กองทัพหนานเจียงพวกนี้น่ารำคาญจริง ๆ จะกินอะไรก็ไม่กิน ดันจะกินห
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้