“อย่าได้เกรงใจไปเลย เจ้ารีบลองดูว่าชอบชุดไหนที่สุด ถ้าหากไม่มีที่เจ้าชอบ ข้าให้คนไปวาดใหม่”เมื่อกู้หว่านเยว่ได้ยินคำพูดของเขา หยิบกระดาษกองนั้นขึ้นมาดูทีละแผ่น และสุดท้ายก็ดึงออกมาหนึ่งแผ่น“ข้าชอบหงส์ล้อโบตั๋นแผ่นนี้ที่สุด แล้วก็มงกุฎหงส์ที่มีไข่มุกตะวันตกประดับด้วย ใช้ชุดนี้ก็แล้วกัน”“ได้ ฟังเจ้าทั้งหมด”ซูจิ่งสิงพยักหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขายื่นกระดาษแผ่นนั้นให้คนข้างล่าง ให้พวกเขาไปทำทันที“ฝ่าบาทรักพระมเหสีจัง”ขันทีและนางกำนัลที่รับกระดาษออกมาซุบซิบ“ก็แน่อยู่แล้ว พระมเหสีของเราเป็นผู้ที่ร่วมร่วมทุกข์มากับฝ่าบาทตลอดทางตั้งแต่พระองค์ถูกเนรเทศ ผู้หญิงทั่วไปสามารถเทียบได้หรือ?”อีกคนพูดเสริม“ตอนนี้ฝ่าบาทดีกับพระมเหสีมาก แต่ฮ่องเต้องค์ใดบ้างที่ไม่ใช่สามตำหนักหกเรือน ถึงเวลามีสนมคนใหม่เข้าวัง กลัวแต่จะได้ยินเสียงหัวเราะของคนใหม่ หาได้ยินเสียงร่ำไห้ของคนเก่า”“แม้พระมเหสีหน้าตางดงาม กลับสู้ความสดใหม่ไม่ได้”“ผู้ชายนี่นะ จะซื่อสัตย์ก็ต่อเมื่อถูกแขวนไว้บนกำแพง”นางกำนัลกลุ่มนั้นมองหน้ากันแวบหนึ่ง ไม่มีใครโต้เถียงพวกนางทำงานในวังมานานมาก เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี
“จูเอ๋อร์ มานี่”ใต้เท้าหวงกวักมือเรียกนาง และเมื่อเข้ามา ก็เข้าประเด็นด้วยรอยยิ้มทันที“ท่านพ่ออยากให้ข้าไปเป็นนางสนมในวัง?”หวงจูหรี่ตา ดูสีหน้าของใต้เท้าหวงชัดยิ่งขึ้นเล็กน้อยนางชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก สายตาไม่ค่อยดีนัก“ใช่แล้ว”ลูกสาวเป็นคนฉลาด ใต้เท้าหวงไม่กล้าโกหกนาง“เจ้าก็รู้ ปัจจุบันมีการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ ข้าเป็นขุนนางสำคัญของฉีอ๋อง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก”หวงจูยิ้มแล้วยิ้มอีก “แต่ข้าได้ยินมาว่า พระมเหสีได้แนะนำฝ่าบาท ท่านพ่อไม่ได้ร่วมก๊วนร่วมพรรคเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ฝ่าบาทไม่ถือโทษท่านหรอก ปัจจุบันท่านก็ยังนั่งตำแหน่งเลขานุการดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ?”“แต่อย่างไรก็เป็นเสี้ยมหนาม”ใต้เท้าหวงส่ายศีรษะ“วันไหนฝ่าบาทนึกขึ้นได้ ก็ถอนข้าทิ้งแน่”หวงจูเข้าใจแล้ว “ดังนั้นท่านพ่ออยากให้ข้าเข้าวัง เพื่อโน้มน้าวฝ่าบาท?”“อืม จะพูดเช่นนี้ก็ได้”ใต้เท้าหวงพยักหน้าอย่างสัตย์จริงหวงจูใช้สายตาที่มองคนโง่ มองพ่อแม่ตัวเองแวบหนึ่ง“ท่านพ่อ ข้าเข้าวังก็ได้”พลันคำพูดของนางก็เปลี่ยนทิศ“แต่ว่า ข้าจะให้ท่านส่งข้าไปเป็นนางกำนัลข้างกายพระมเหสี”“อะไรนะ!” ใต้เท้าหวงลุกขึ้นตบโต
“นั่นพวกเขา”ซูจิ่งสิงจับมือของกู้หว่านเยว่ยืนรออยู่ตรงที่เดิม ผ่านไปครู่หนึ่ง รถมาก็ม้าถึงตรงหน้าแล้วซูจื่อชิงมองซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง แล้วละสายตาหันไปพูดกับคนข้างใน“ท่านพ่อ ท่านแม่ ถึงเมืองหลวงแล้ว พี่ใหญ่…ไม่ ฝ่าบาทกับพระมเหสีมารับพวกเราแล้ว”“ถึงแล้ว ในที่สุดก็ถึงแล้ว”ผู้อาวุโสทั้งสองปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว รีบอุ้มจ้านจ้านลงจากรถม้า“ท่านพ่อ ท่านแม่”“ฝ่าบาท พระมเหสี”กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงเดินเข้าไป ซูจิ้งกับนางหยางก็เดินเข้าไปคำนับทั้งสองเช่นกัน“รีบลุกขึ้น”ซูจิ่งสิงห้ามทั้งสอง “ต่อไปลับหลังคนอื่น พวกเรายังเหมือนเดิม”“ฝ่าบาท ท่านให้พวกเราคำนับเถอะ”ซูจิ้งกับนางหยางมองนางกันแวบหนึ่ง ยืนกรานคำนับซูจิ่งสิงให้ได้ กษัตริย์และพระราชบริพารมีความแตกต่าง ซูจิ่งสิงเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่า แต่พวกเขาไม่สามารถทำตัวบังอาจเหมือนในอดีต“ฝ่าบาท พระมเหสี” ซูจื่อชิงก็คำนับเช่นกัน เขาก้มหน้า เสียงพูดติดขัดเล็กน้อยซูจิ่งสิงมองเขาแวบหนึ่ง“จ้านจ้าน เจ้าอ้วนขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่อุ้มจ้านจ้านมาอย่างแทบรอไม่ไหวแล้ว ชั่งน้ำหนักเด็กคนนี้ครู่หนึ่ง หนักอย่างน้อยยี่สิบจิน[1]แล้ว“เจ้าอ
ขึ้นรถม้าแล้ว ยังไม่ลืมชงนมแพะให้จ้านจ้าน“ช่วงนี้จ้านจ้านกินแต่นมแพะตามที่เจ้าบอก นมผงที่เจ้าทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ ใกล้จะดื่มหมดแล้ว”ก่อนกู้หว่านเยว่ไป ได้ซื้อนมผงจากแพลตฟอร์มซื้อขายหนึ่งลัง“ถึงว่าทำไมดูแข็งแรงจัง ข้าอุ้มเขา รู้สึกว่าหนักกว่าเด็กอายุสิบเดือนทั่วไปเล็กน้อย”จ้านจ้าน ‘ท่านแม ฟังข้าพูดขอบคุณ โดนหาว่าอ้วนอีกแล้ว’แต่ว่ากู้หว่านเยว่ก็ไม่เคยอุ้มเด็กเยอะนัก“จ้านจ้านถือว่าปกติ ไม่ได้อ้วนนะ แค่แข็งแรงและโตเร็วกว่าเด็กทั่วไปเล็กน้อย”นางหยางเทียบคิ้วของเขา“เจ้าดู จมูกกับปากเหมือนจิ่งสิง ตากับคิ้วเหมือนเจ้า โตขึ้นต้องเป็นหนุ่มน้อยที่หล่อเหลาแน่นอน”พ่อกับแม่ล้วนเป็นชายหล่อหญิงงาม ลูกก็ย่อมไม่น้อยหน้าอืม หน้าตาขี้เหร่ก็อีกเรื่องขณะที่แม่ยายกับลูกสะใภ้คุยกัน รถม้าก็มาถึงหน้าประตูวางแล้วคนทั้งกลุ่มลงจากรถม้า อาการของซูจื่อชิงดูดีกว่าตอนอยู่หน้าประตูเมืองอย่างชัดเจน บนใบหน้าก็เผยให้เห็นรอยยิ้มแล้วสองพี่น้องคุยกันเสร็จแล้วกู้หว่านเยว่รู้สึกดีใจแทนพวกเขา “ใช่แล้ว จิ่นเอ๋อร์ล่ะ?”“นางกลับไปดูแลใต้เท้าฟู่แล้ว บอกว่าสุขภาพของใต้เท้าฟู่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ห่างจากนางไ
“ดี มีศักดิ์ศรีมา ดื่มหนึ่งจอก”สองพี่น้องยกจอกสุราขึ้นมาชนมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของกู้หว่านเยว่ นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตัดสินใจคุยกับซูจิ่งสิงหลังอาหารเย็นเจีดีย์หนิงกู่พระราชโองการของฝ่าบาท ถูกส่งมาถึงจวนหลี่อย่างเร่งด่วนหลี่เฉิงอันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในศาลาเมื่อได้ยินว่ามีพระราชโองการมา รีบออกไปคุกเข่ารับทันทีผู้มาเป็นกงกงท่านหนึ่ง สุภาพกับหลี่เฉิงอันมาก“คุณชายหลี่ รับราชโองการเถอะ”ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้สุนัขมอบเจดีย์กู่หนิงให้ซูจิ่งสิงเป็นที่ดินในปกครอง ขึ้นตำแหน่งเจิ้นเป่ยอ๋องให้ซูจิ่งสิง แต่กลับปลดบรรดาศักดิ์โหวของสกุลหลี่จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้สกุลหลี่กับซูจิ่งสิงเป็นศัตรูกัน ให้พวกเขาคอยขัดแข้งขัดขาซูจิ่งสิงดังนั้น ตอนนี้หลี่เฉิงอันไม่ใช่ท่านโหวน้อยหลี่แล้วเมื่อได้ยินว่ามีพระราชโองการ หลี่เฉิงอันรีบคุกเข่าทันที“ด้วยพระบัญชาฝ่าบาท เฉิงอันศิษย์ข้าประพฤติตนดี อุปนิสัยหนักแน่น วันนี้ คืนตำแหน่งบรรดาศักดิ์โหว กลับมาบริหารเจดีย์กู่หนิงอีกครั้ง”เมื่อคนสกุลหลี่ฟังจบ บนใบหน้าเผยให้เห็นความปลื้มปีติ รีบพากันโขกศีรษะ“ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท ฝ่าบาทอายุ
คนสกุลหลี่ตะลึง “ท่านโหวน้อย…”มีเกียรติยศและความมั่งคั่งเช่นนี้ กลับไม่ให้อวด ไม่ใช่การทรมานใจคนหรอกหรือ?“ฟังท่านโหวน้อยเถอะ” หลี่ชิวเตี๋ยพูด “ฝ่าบาทและพระมเหสีทรงห่วงใยพวกเรา พวกเรายิ่งต้องจงรักภักดีต่อพวกเขา จึงจะสามารถสืบสานความรุ่งโรจน์ต่อไป”“ชิวเตี๋ย เจ้ารู้ความแล้ว”ผู้อาวุโสสามมองลูกสาวอย่างปลื้มปีติแวบหนึ่ง ลูกสาวช่างน่าเวทนานัก ตอนแรกชอบใต้เท้าทัง แต่ปรากฏว่าเป็นผู้ชายกากเดนต่อมาก็ชอบอวิ๋นมู่ แต่น่าเสียดาย อวิ๋นมู่มองข้ามความรักของนางล้มเหลวในความรักสองครั้ง ขัดเกลาให้นางเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น“สกุลหลี่มีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะราชสำนัก ย่อมต้องจงรักภักดีต่อราชสำนัก”หลี่เฉิงอันถือหนังสือไปที่ห้องหนังสือ เขาต้องศึกษาหนังสือที่อาจารย์หญิงเขียนเองกับมืออย่างละเอียด จึงจะถือว่าไม่ทำให้อาจารย์หญิงผิดหวังขันทีออกจากจวนโหว ก็ไปที่สกุลฟู่ตรงปากทาง ชายสวมเสื้อผ้าธรรมดาที่มีสีหน้าเย็นชา มองดูข้าหลวงเดินมา“ซูเซ่อ เจ้าไปไกลแล้ว” คนข้างๆ ตบไหล่ของเขา “ได้ยินมาว่าสกุลซูถูกแต่งตั้งเป็นกั๋วกงแล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็คือเจิ้นเป่ยอ๋อง ก่อนหน้านี้เป็นญาติผู้พี่ของเจ้าจะไม่ใช้
ทุกคนพลางสนทนา พลางวิ่งไปที่ร้านอาหารในร้านอาหารมีอาหารป่าอาหารทะเลและสุราชั้นยอดจัดวางเต็มไปหมด กลิ่นหอมของอาหารรสเลิศและสุรา ยั่วจนทำให้ทุกคนน้ำลายไหล“เยี่ยมไปเลย พระมเหสีแต่งงาน พวกเราก็มีลาภปาก”“อยากให้พระมเหสีจะแต่งงานบ่อยๆ จัง…โอ๊ย!” เขาโดนตีที่ศีรษะ มู่หรงฉางเล่อส่ายหน้า “เจ้านี่น่ะ พูดไม่เป็นก็หุบปาก ไปจะอยากได้คำอวยพรเช่นนี้ของเจ้า”แต่งงานบ่อยๆ ญาติผู้พี่ของนางจะไม่เป็นบ้าหรือ“ข้าน้อยพลั้งปาก ข้าน้อยพลั้งปาก แฮ่ๆ”เขายิ้มแล้วยิ้มอีกอย่างขอโทษ พลางยื่นมือตบปากตัวเอง“ข้ามันพูดจาไม่เป็น ไม่ได้หมายความเช่นนี้ ขออวยพรให้ฝ่าบาทและพระมเหสีมีความสุขร่วมกันเป็นนิรันดร์”“เช่นนี้ค่อยน่าฟังหน่อย”มู่หรงฉางเล่อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นลากลั่วยางไปนั่งลงที่โต๊ะว่างที่แท้พวกนางสองคนว่าง จึงมาร่วมสนุกที่ร้านอาหาร“ข้าชอบกินขาหมู อย่ามาแย่งกับข้า!”มู่หรงฉางเล่อหยิบขาหมูขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก็ยัดใส่ปากด้วยความตื่นเต้นทันที“ใจเย็นๆ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก พวกนี้ล้วนเป็นของเจ้า”ลั่วยางส่ายศีรษะ นางไม่เคยใส่ใจเรื่องอาหารมากนัก“ข้ารู้ พี่หญิงลั่ว ตอนนี้ท่านเป็นหัวหน้าหมอหญิ
ที่อวิ๋นมู่ทำก็ไม่ผิดแทนที่จะยอมรับว่ามีใครคนใดคนหนึ่งขาดสติ สุดท้ายก็ลงมือทำร้ายตัวเองและฝ่ายตรงข้าม มิสู้คุยกันให้ชัดเจนตั้งแต่แรกดีกว่า“ข้ารู้ ว่าการบีบบังคับผู้อื่นย่อมมีแต่ผลเสียมา มาดื่มสุรากันเถอะ หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว”ในใจของมู่หรงฉางเล่อลำบากใจมาก ลั่วยางเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับถ้วยสุรา และนั่งดื่มกับนางเป็นจำนวนสองถ้วยกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจัดพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ภูเขาไท่ซาน ปลอบประโลมดวงวิญญาณแห่งฟ้าดิน แล้วค่อยไปจุดธูปกราบไหว้ที่ตำหนักไท่เหอจากนั้นทั้งสองคนก็พาเหล่าขุนนางและพลทหารกลับพระราชวังเวลานี้ภายในพระราชวังถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าไหมสีแดง หน้าประตูวังถูกปูด้วยพรมสีแดงสดไปจนถึงตำหนักใหญ่ โคมไฟสีแดงสัญลักษณ์แห่งความยินดีห้อยระโยงระยางลงมาจากเพดาน มีการเขียนพรรณนาถึงภาพของหงส์ล้อโบตั๋นหรือไม่ก็ภาพของคู่รักที่เคียงคู่กันไว้บนโคมไฟกู้หว่านเยว่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีแดงทั้งตัว ชายกระโปรงยาวลากพื้น โดยมีสาวใช้สองคนคอยช่วยถืออยู่ด้านหลัง“หนักยิ่งนัก”นางบ่นพึมพำอยู่ข้างหูของซูจิ่งสิงชุดคลุมยาวตัวนี้ช่างงดงามวิจิตร บนตัวผ้าถูกปักด้วยดิ้นทองเป็นรูปดอก
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้