ในวันที่ถูกตราหน้าว่าเป็นภรรยาอกตัญญูและถูกขับออกจากตระกูลสามี ‘หลี่ชิงอี’ ไม่ได้หลั่งน้ำตาแม้สักหยด นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การลงทัณฑ์ แต่คือการปลดเปลื้องพันธนาการจากขุมนรก หนังสือหย่าที่เขียนด้วยโลหิตของนางเสมือนคำประกาศอิสรภาพที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด บัดนี้นางไม่หลงเหลือสิ่งใด นอกจากสองมืออันว่างเปล่าและวิชาปักผ้าโอสถอันเป็นมรดกจากตระกูลเดิม นางสาบานว่าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาข่มเหงรังแกได้อีก และจะใช้ความสามารถนี้สร้างเส้นทางชีวิตของตนเองขึ้นมาใหม่ ท่ามกลางชีวิตที่กำลังเริ่มต้นของแผงค้าเล็ก ๆ ท้ายตลาด นางไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษลึกลับผู้เย็นชาที่มักจะแวะเวียนมาซื้อสินค้าของนางบ่อยครั้ง แท้จริงแล้วคือ ‘เซียวจิ่นเหยียน’ แม่ทัพใหญ่เจ้าของฉายาพยัคฆ์แห่งแดนเหนือผู้กุมชะตาชีวิตคนทั้งใต้หล้า!
Lihat lebih banyakยามเหม่า[1] ของปลายเดือนสิบเอ็ดในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ม่านหมอกยามรัตติกาลยังคงทอดตัวยาวเหยียด ปกคลุมทั่วทั้งผืนเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ไว้ด้วยความหนาวเหน็บเยือกเย็น อากาศคมกริบดุจใบมีดบาดลึกเข้าสู่ผิวเนื้อ ลมหนาวหอบหนึ่งพัดหวีดหวิวผ่านช่องหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท ปลุก ‘หลี่ชิงอี’ ให้ตื่นจากนิทราอันแสนสั้นและไม่เคยเต็มอิ่ม
นางหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงไม้แข็งกระด้างนั้นอย่างเงียบเชียบ ร่างกายบอบบางสวมใส่เพียงเสื้อผ้าผ้าป่านเนื้อหยาบที่ผ่านการปะชุนมานับครั้งไม่ถ้วน ความเย็นยะเยือกแทรกซึมเข้าจับกระดูกทุกข้อต่อ แต่นางไม่มีเวลาแม้แต่จะสั่นเทา วันใหม่ของนางในฐานะสะใภ้ตระกูลสวี่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมาตลอดสามปีเต็ม
เสียงไก่ยังไม่ทันขัน แสงตะวันยังหลบเร้นอยู่หลังทิวเขา แต่ร่างของหลี่ชิงอีกลับเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วราวกับเครื่องจักรที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว นางรีบเดินไปยังท้ายครัว พลางคว้าถังไม้สองใบขึ้นบ่าแล้วมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำท้ายหมู่บ้าน คานหาบกดทับลงบนบ่าเล็กจนเกิดรอยแดงช้ำ น้ำหนักของน้ำที่เต็มเปี่ยมถังทำให้ทุกย่างก้าวของชิงอีหนักอึ้งราวกับเหยียบอยู่บนภูเขาไท่ซาน นางหาบน้ำไปกลับอยู่สามรอบจนกระทั่งโอ่งดินใบใหญ่ทั้งสี่ใบเต็มปรี่ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายขึ้นบนหน้าผากมนแม้นจะอยู่ในอากาศที่หนาวจัด
ทว่ายังไม่ทันที่จะได้หยุดพักหายใจ งานต่อไปก็รออยู่ตรงหน้าเสียแล้ว กองฟืนที่ ‘สวี่จื่อเหวิน’ สามีของนางควรจะเป็นคนผ่า กลับถูกทิ้งไว้ให้นางจัดการ ขวานด้ามเก่านั้นช่างหนักอึ้งเกินกำลังของสตรี แต่นางก็ยังคงเงื้อขึ้นและสับลงบนท่อนไม้อย่างแม่นยำ เสียงขวานกระทบเนื้อไม้ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ก้องกังวานอยู่ในความเงียบของยามเช้าตรู่ เปรียบเสมือนบทเพลงที่บ่งบอกถึงความทุกข์ยากที่นางขับขานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นี่แหละหนาคือชีวิตของนาง ชีวิตที่ต้องทนหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ทำงานหามรุ่งหามค่ำโดยไม่มีใครเห็นคุณค่า
เมื่อฟืนถูกผ่าและจัดเรียงจนเสร็จสรรพ นางก็รีบเข้าครัวเพื่อก่อเตา หุงข้าว และเตรียมสำรับอาหารเช้า กลิ่นข้าวสวยร้อน ๆ และหมั่นโถวที่นึ่งใหม่ ๆ เริ่มลอยอบอวลไปทั่วเรือน แต่กระเพาะของนางกลับว่างเปล่าและบิดเกร็งด้วยความหิวโหย เพราะนางไม่มีสิทธิ์แตะต้องอาหารก่อนที่แม่สามีและสามีจะอิ่มหนำสำราญเสียก่อน
ยามเฉิน[2] แสงอรุณแรกสาดส่องเข้ามาในเรือน ‘โม่หงชวน’ แม่สามีของนางเดินออกมาจากห้องด้วยท่าทางหยิ่งผยอง นางปรายตามองหลี่ชิงอีที่กำลังจัดวางอาหารบนโต๊ะด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะอย่างสบายอารมณ์
“ชักช้าจริง! ทำอะไรเหมือนเต่าคลาน! ข้าหิวจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว!” เสียงแหลมเล็กของนางเสียดแทงเข้ามาในโสตประสาท
หลี่ชิงอีไม่แม้แต่จะตอบโต้ นางเพียงก้มหน้าก้มตาคีบผัดผักใส่ถ้วยให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เพราะการอดทนอดกลั้นประดุจดังเกราะป้องกันศักดิ์ศรีเพียงชิ้นเดียวที่นางมีเหลืออยู่ในตอนนี้
โม่หงชวนใช้ตะเกียบคีบผักเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้งก่อนจะถ่มลงบนพื้นข้าง ๆ เท้าของหลี่ชิงอีอย่างไม่ไยดี
“ถุ้ย! รสชาติจืดชืดอย่างกับน้ำล้างเท้า! นี่เจ้าจงใจแกล้งข้ารึ! หรือฝีมือการทำอาหารของเจ้ามันมีอยู่แค่นี้!”
“ชิงอีขออภัยเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ชิงอีจะปรุงรสให้จัดขึ้น” นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เก็บซ่อนความขมขื่นไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย
“ขออภัยแล้วมันกินได้หรือ?!” โม่หงชวนกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะเสียงดัง “แต่งเข้ามาสามปี ไม่มีปัญญาออกลูกออกหลานมาสืบสกุลไม่พอ อีกทั้งงานบ้านงานเรือนก็ยังไม่ได้เรื่อง ดีแต่ผลาญข้าวสุกของตระกูลข้าไปวัน ๆ ข้าล่ะสงสัยนักว่าชาติก่อนตระกูลสวี่ไปทำกรรมอะไรไว้ ถึงได้สะใภ้ไร้ประโยชน์เช่นเจ้าเข้ามาเป็นเสนียดในบ้าน!”
ถ้อยคำด่าทอเสียดสีราวกับเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงลงบนหัวใจของหลี่ชิงอีจนพรุนไปหมด สามปีที่ผ่านมา นางได้ยินวาจาเช่นนี้จนชินชา แต่มันไม่เคยมีความเจ็บปวดครั้งไหนที่ลดน้อยลงเลย นางยืนตัวตรงนิ่งงัน ปล่อยให้วาจาเหล่านั้นพัดผ่านไปเหมือนสายลม นางถูกปฏิบัติไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยงในบ้าน เป็นเพียง วัวควายในคอก ที่มีไว้ใช้งานเท่านั้น
ไม่นานนัก สวี่จื่อเหวิน ผู้เป็นสามี ก็เดินงัวเงียออกมาจากห้องนอน เขาอยู่ในชุดบัณฑิตที่ยับยู่ยี่ บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ซีดเซียวมีร่องรอยของความอ่อนล้าจากการร่ำสุรามาทั้งคืน เขาเดินผ่านหน้านางไปราวกับนางเป็นเพียงอากาศธาตุ ไม่แม้แต่จะชายตามอง
“ท่านแม่ ตื่นแต่เช้าเลยนะขอรับ” เขาทรุดกายนั่งลงข้างๆ มารดา พร้อมกับส่งยิ้มประจบประแจง
“แล้วจะให้ข้านอนกินบ้านกินเมืองเหมือนเจ้ารึ!” โม่หงชวนตวัดสายตาค้อนใส่บุตรชาย แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความเอ็นดู “เมื่อคืนกลับมาเสียดึกดื่น ไปร่ำสุรากับสหายบัณฑิตจอมปลอมพวกนั้นอีกแล้วสินะ”
“โธ่ ท่านแม่ ข้าไปสร้างสัมพันธ์นะขอรับ ปีหน้าจะมีการสอบขุนนางแล้ว เส้นสายเป็นสิ่งสำคัญ” สวี่จื่อเหวินอ้างข้างๆ คูๆ พลางคีบหมั่นโถวเข้าปากอย่างตะกละตะกลาม “เอ่อ...ท่านแม่ขอรับ พอดีว่าเมื่อวานข้าไปร้านหนังสือมา เจอตำราเล่มหนึ่งน่าสนใจยิ่งนัก แต่ว่า...” เขาทำเสียงอ่อย พูดจา ปากว่าตาขยิบ
โม่หงชวนถอนหายใจยาว “ต้องการเงินอีกแล้วสินะ” นางล้วงหยิบตลับเงินใบเล็กออกมาจากแขนเสื้อ “เอาไป! แต่จงจำไว้ว่าต้องตั้งใจอ่านหนังสือให้มาก อย่าให้เงินของแม่ต้องสูญเปล่า!”
“ขอบคุณท่านแม่! ท่านแม่ใจดีที่สุดในโลกเลย!” สวี่จื่อเหวินรับตลับเงินมาด้วยดวงตาเป็นประกาย เขานับเงินในนั้นอย่างรวดเร็วแล้วเก็บเข้าอกเสื้ออย่างดี โดยไม่สนใจเลยว่าเงินทุกอีแปะที่เขาใช้อย่างสำราญนั้น มาจากน้ำพักน้ำแรงของภรรยาที่เขามองไม่เห็นหัว
หลี่ชิงอีมองภาพสองแม่ลูกตรงหน้าด้วยหัวใจที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง สามีของนาง บัณฑิตผู้มีแต่ลมปาก ไม่เคยปกป้อง ไม่เคยเหลียวแล เอาแต่เกาะกระโปรงมารดาเพื่อรีดไถเงินไปปรนเปรอตนเองและสหาย ความรักและความหวังที่นางเคยมีต่อเขาเมื่อครั้งแต่งงานใหม่ๆ ได้เหือดแห้งไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความว่างเปล่าที่กัดกินจิตใจ น้ำซึมบ่อทราย ฉันใด ความผิดหวังในตัวเขาก็ค่อยๆ กัดกร่อนหัวใจนางฉันนั้น
หลังจากสองแม่ลูกกินอาหารเช้าเสร็จและแยกย้ายกันไปแล้ว หลี่ชิงอีจึงได้มีโอกาสกินข้าวที่เย็นชืดกับกับข้าวที่เหลือ้นถ้วย ชีวิตในแต่ละวันของนางดำเนินไปอย่างซ้ำซากจำเจเช่นนี้ ทำงานบ้าน ดูแลปรนนิบัติแม่สามีและสามี ตกเย็นก็ต้องนั่งปักผ้าจนดึกดื่นเพื่อหาเงินเข้าบ้าน เงินทุกอีแปะที่ได้มา ถูกโม่หงชวนริบไปทั้งหมดโดยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน เหลือเพียงเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้นางไว้ซื้อด้ายและผ้าเท่านั้น
เวลาล่วงเลยไปจนถึงยามไฮ่[3] ทั่วทั้งเรือนตกอยู่ในความเงียบสงัด โม่หงชวนและสวี่จื่อเหวินต่างเข้าห้องนอนไปนานแล้ว มีเพียงแสงเทียนเล่มเล็กที่ส่องสว่างเรืองรองอยู่ในห้องเก็บของท้ายเรือนอันซอมซ่อ ซึ่งเป็นที่พักของหลี่ชิงอี
นางนั่งอยู่บนตั่งไม้เตี้ยๆ ในมือถือสะดึงขึงผ้าไหมสีแดงสด บนผืนผ้าปรากฏลวดลายของ “กิเลนหมื่นมงคล” ที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว นี่คืองานปักชิ้นเอกที่นางใช้เวลาว่างทั้งหมดในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาทุ่มเทให้กับมัน ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและความหวังของนาง
ด้ายสีทองอร่ามถูกปักไล่เรียงกันเป็นเกล็ดกิเลนที่ซ้อนทับกันดุจเกราะทองคำ แผงคอสีครามสะบัดพริ้วราวกับมีชีวิต ดวงตาของมันถูกปักด้วยด้ายสีนิลขลับ แต่กลับดูราวกับมีแววตาที่เปี่ยมด้วยเมตตาและพลังอำนาจ นี่ไม่ใช่งานปักธรรมดา แต่เป็นวิชาเฉพาะของตระกูลเดิมของนางที่สืบทอดกันมา คือการปักผ้าสมุนไพร นอกจากความงดงามแล้ว ใต้เส้นด้ายทุกเส้นยังซ่อนไว้ด้วยผงสมุนไพรหายากที่ช่วยบำรุงร่างกายและขับไล่สิ่งชั่วร้าย
ภาพปักผืนนี้คืองานชิ้นเดียวที่นางทำเพื่อตัวเอง มันคือสมบัติส่วนตัว คือสินเดิมจากมารดาที่นางแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นความหวังชิ้นสุดท้าย นางตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้เป็นสมบัติส่วนตัว หรือหากวันใดที่ต้อง สิ้นไร้ไม้ตอก จริงๆ อย่างน้อยก็ยังมีของล้ำค่าชิ้นนี้ไว้เป็นทุนรอนเริ่มต้นชีวิตใหม่
นิ้วเรียวที่หยาบกร้านจากการทำงานหนักค่อยๆ ลูบไล้ไปบนลวดลายปักอย่างแผ่วเบา ในยามที่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายจากคนในบ้านตระกูลสวี่ มีเพียงการได้มองดูผลงานชิ้นนี้เท่านั้นที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำของนางได้ มันเป็นเครื่องยืนยันว่านางยังคงมีคุณค่า ยังคงมีความสามารถที่ใครก็พรากไปไม่ได้
ใต้แสงเทียนที่สั่นไหว แววตาของหลี่ชิงอีที่เคยว่างเปล่ามาตลอดทั้งวัน พลันปรากฏประกายแห่งความมุ่งมั่นและความหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เก็บสะดึงเข้าหีบไม้อย่างทะนุถนอมราวกับเป็นของวิเศษ
“อีกไม่นาน...อีกไม่นานก็จะเสร็จแล้ว” นางกระซิบกับตัวเองเบาๆ
ค่ำคืนนี้ยังคงยาวนาน และพรุ่งนี้เช้าวันใหม่แห่งความทุกข์ระทมก็จะมาเยือนอีกครั้ง แต่ตราบใดที่ภาพปักกิเลนผืนนี้ยังอยู่กับนาง ตราบนั้นหัวใจของหลี่ชิงอีก็ยังไม่ยอมแตกสลายโดยสิ้นเชิง มันคือเส้นด้ายแห่งความหวังเพียงเส้นเดียวที่ร้อยรัดชีวิตของนางไว้ไม่ให้จมดิ่งลงสู่ความมืดมิดที่ไร้สิ้นสุดในบ้านสกุลสวี่แห่งนี้
°°° °°°
[1] ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00-06.59 น.
[2] ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07.00-08.59 น.
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม
Komen