ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเจ็บใจ นางมีลูกชายแค่คนเดียว เพื่อเหลียงถงอวี้คนนี้ เขาดึงดันจะออกจากด่านหานกู่ พานางมาเมืองหลวง“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เขาก็ยังอยู่ด่านหานกู่ เบื้องบนก็จะไม่ส่งเขาไปทำงานนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวผลักหน้าอย่างแรง เหลียงถงอวี้กัดริมฝีปากล่างแน่นเพราะคำพูดของนางนางมองผู้อาวุโสทั้งสองคนใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าโจวเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อนาง สายตาที่นายท่านโจวมองนางก็เต็มไปด้วยเจตนาร้ายเช่นกันโจมเสี้ยนเป็นแม่ทัพ ถ้าหากตายในสนามรบ นั่นก็ถือว่าตายอย่างมีเกียรติตายด้วยน้ำมือของชาวหนานเจียง?และยังตายไปพร้อมกับคำกล่าวหาเช่นนี้ ชื่อเสียงที่สร้างมาทั้งชีวิตจบสิ้นแล้วเขาที่เป็นพ่อคนนี้ จะไม่แค้นเคืองได้อย่างไร?“นางพูดถูก เสี้ยนเอ๋อร์ตายเพราะเจ้า”“เจ้าคืนลูกชายข้ามา เจ้าคืนลูกชายข้ามา!”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวพุ่งออกไป ตบตีตามร่างกายเหลียงโจวอวี้ นางเสียใจและสิ้นหวังจนเกือบจะเป็นลม“เจ้ายังจะอยู่ที่นี่ทำไม เจ้ายังไม่รีบไปอีก!”นายท่านโจวอุ้มฮูหยินผู้เฒ่าโจวไว้ หันไปไล่เหลียงถงอวี้ ราวกับนางเป็นโรคระบาด“ข้างบ้านทะเลาะอะไรกัน?”ข้างบ้าน ยายเฒ่าอู่ยืนอุ้มเ
“ลูกชายของเจ้าตายแล้ว แต่ลูกสะใภ้เจ้าก็เป็นมนุษย์เช่นกัน นางเสียใจไม่เป็นหรือ?เจ้าเสียใจ เจ้าก็ไปหาคนที่เป็นต้นเรื่อง เจ้ามาระบายใส่คนกันเองเช่นนี้ นี่มันตรรกะอะไร?“เจ้า เจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวโมโหจนพูดไม่ออก นายท่านโจวก็โมโหยายเฒ่าอู่เช่นกันพวกเขาคุยกันในบ้านตัวเอง เหตุใดจึงมีหญิงชราที่ไม่รู้จักคนหนึ่งแทรกเข้ามาอีกทั้งหญิงชราคนนี้ยังพูดจาไม่น่าฟังเลยเขาอยากถกเถียงกับยายเฒ่าอู่ด้วยเหตุผลแต่ยายเฒ่าอู่เป็นใคร?นางเป็นคนบ้านนอก และยังเป็นแม่หม้าย ปากร้ายจนคนทั้งหมู่บ้านต้องยอม นายท่านโจวหาใช่คู่ต่อสู้ของนาง เถียงกันไปเถียงกันมาครู่หนึ่ง ก็โดนนางต่อว่าจนหน้าแดง“ข้าก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของครอบครัวเจ้าหรอก ใครใช้ให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงดังจนข้าได้ยิน เห็นพวกเจ้ารังแกคนเช่นนี้ ข้าไม่สามารถนิ่งดูดายได้ ข้าขอแนะนำพวกเจ้าสักคำ สร้างสมบุญกุศล อย่าให้ลูกชายของพวกเจ้าไม่สามารถไปสู่สุคติ”“เจ้า เจ้า!”นายท่านโจวทนไม่ไหวแล้ว“เจ้าเป็นคนของบ้านไหนกันแน่?”เขาดูการแต่งตัวของยายเฒ่าอู่ คิดว่านางเป็นคนรับใช้ของเจ้าของบ้าน“ไปเรียกเจ้านายเจ้ามา ข้าจะลองถามเขาดูว่า เขาอบรมสั่งสอนคนรับใช้เช่
นางได้ยินมาว่าองค์ชายสามหนานเจียงคนนั้นปล่อยสัตว์ประหลาดออกมาทำร้ายคนกลางถนน และกัดคนตายไปหนึ่งคน หลายวันมานี้ นางกับยายเฒ่าอู่ปิดประตูจวน ไม่กล้าออกไปไหนเลย“น้องหญิง ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร แต่ข้าเป็นขุนนางของต้าฉี ต้องช่วยราชสำนักแบ่งเบาภาระ”การประชุมใหญ่พรุ่งนี้ ถ้าเขาในฐานะราชเลขาธิการกลัว ปิดประตูไม่กล้าออกจากบ้าน เมื่อถูกเผยแพร่ออกไปจะยิ่งไกลเป็นที่หัวเราะเยาะของชายหนานเจียงยายเฒ่าอู่พึมพำที่ข้างๆ “ทำไร่ทำนาในหมู่บ้านดีที่สุดแล้ว เป็นขุนนางกลับมีเรื่องมากมายให้กังวล ไม่มีเวลาห่วงชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ”เว่ยเฉิงหัวเราะ “ท่านแม่พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก”“ไม่ถูกยังไง?”“ท่านแม่ลืมแล้วหรือ ตอนที่ข้ายังไม่ผ่านการสอบ ครอบครัวของพวกเราอยู่ที่ชนบท มักจะถูกอันธพาลท้องถิ่นรังแก มีครั้งหนึ่ง เพื่อปกป้องเจียงหรง ท่านแม่เกือบโดนทุบหัว”คำพูดของเว่ยเฉิง ทำให้ยายเฒ่าอู่นึกถึงความทรงจำในอดีตนางถอนหายใจ “มนุษย์นี่นะ ไม่ว่าเวลาไหนมีเรื่องให้กังวลตลอด”ชาติกำเนิดของพวกเขาคือชาวนา และนางก็เป็นแม่หม้าย ต้องเลี้ยงเว่ยเฉิงอย่างความยากลำบากมารดากับภรรยาเริ่มถอนหายใจ ลูกชายตัวน้อยในเปลก็เหมือนเริ่ม
“สัตว์ประหลาดตัวนั้นฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง เวลามันคลั่งขึ้นมาไม่สามารถควบคุม”ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับซูจื่อชิง เช่นนั้นก็เลือดเชื้อพระวงศ์สาดจริงๆ แล้ว“ข้ารู้ แต่ข้าทนดูไม่ได้จริงๆ”ซูจื่อชิงกัดฟันกล่าว“ให้ข้าคิดดูก่อนว่าแมงป่องคิดไม่ถูกกับอะไร”“สิ่งที่แมงป่องพิษไม่ถูกชะตาหรือ เหอๆ ก็ต้องเป็นข้าอยู่แล้ว”กู้หว่านเยว่หัวเราะอย่างเย็นชา จับมือซูจิ่งสิงเดินไปหลังจากเหล่าขุนนางเห็นฮ่องเต้และพระมเหสี ในที่สุดก็ก็หาความมั่นใจกลับคืนมาได้บ้าง ต่างพากันคำนับคนทั้งสองทันที“ถวายบังคมฝ่าบาทและพระมเหสี ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี พระมเหสีอายุยืนพันปีพันปีพันพันปี”“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งสิงโบกมือ ใช้หางตาเหลือบมองเฟิ่งหวู่โจวอย่างเหยียดหยาม“ฮึ่ม” ขาพ่นลมออกจากจมูก ในสายตาเต็มไปด้วยการดูถูก“บังอาจ เหตุใดเห็นฝ่าบาทและพระมเหสีแล้วยังไม่คุกเข่า?” เกาเจี้ยนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด สะเทือนจนผู้คนแสบแก้วหูเฟิ่งหวู่โจวยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง “ลูกหลานหนานเจียงของเรา เบื้องบนคุกเข่าต่อฟ้าดินและกษัตริย์กับฮองเฮา เบื้องหลังคุกเข่าต่อพ่อแม่และผู้อาวุโส ไม่มีธรรมเนียมคุกเข่าต่อฮ่องเต้แคว้นอื่
“ท่านนี้คือพระมเหสีของต้าฉีกระมัง ท่านโปรดช่วยพูดจาระวังหน่อย ถ้าหากทำให้ราชาแมงป่องพิษที่อยู่ข้างหลังข้าโกรธ ระวังจะตายไม่รู้ตัว”เฟิ่งหวู่โจมกล่าวข่มขู่ด้วยสายตาเย็นชา“แกร๊ก!”ราชาแมงป่องพิษที่อยู่ข้างหลังเขาชูห่างขึ้น แสดงแสนยานุภาพหางชี้ไปทางเหล่าขุนนาง ทุกคนตกใจจนเกือบจะกรีดร้องออกมา“ฮ่าๆๆ!”เฟิ่งหวู่โจวหัวเราะอย่างได้ใจ“ช่วยด้วย แมงป่องตัวนี้น่ากลัวมาก”“เหตุใดจึงมีแมงป่องพิษที่ตัวใหญ่เช่นนี้ ไม่เคยพบไม่เคยเห็นจริงๆ”“แมงป่องผิดตัวนี้แหละ ที่กัดชาวบ้านตายกลางถนนใช่หรือไม่?”เหล่าขุนนางต่างหวาดกลัวโดยเฉพาะพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ไม่เป็นวรยุทธ์ ล้วนหวาดกลัวแมงป่องพิษขนาดใหญ่ตัวนี้“เจ้า?”เวลานี้เอง ซูจิ่งสิงชักกระบี่สุริยันคำรามที่ข้างบัลลังก์มังกรออกมากะทันหัน และพุ่งตัวออกไป ใช้กระบี่พาดคอของเฟิ่งหวู่โจวโดยตรงเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน เฟิ่งหวู่โจวตั้งตัวไม่ทัน“นี่เจ้าจะทำอะไร? ข้า ข้าคือองค์ชายของหนานเจียงนะ”“องค์ชายของหนานเจียงแล้วอย่างไร?”ซูจิ่งสิงยกกำปั้นขึ้น ชกไปที่ใบหน้าของเขาโดยตรง“ซูจิ่งสิง!” เฟิ่งหมิงกวงตะโกนเสียงดัง รีบออกคำสั่งราชาแมงป่องพิษโจม
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว”“นี่เป็นแมงป่องพิษที่หนานเจียงของเราใช้ความพยายามอย่างมากในการเพาะเลี้ยงออกมา พวกเจ้ากลับเผามันทั้งเช่นนี้ ต้องการเป็นศัตรูกับหนานเจียงของเราหรือ?”ในใจเฟิ่งหวู่โจวกำลังมีเลือดไหลแล้ว กู้หว่านเยว่หันกลับไปมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง“เจ้าพูดถูกแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้าฉีขอประกาศสงครามกับหนานเจียงอย่างเป็นทางการ”“อะไรนะ?”เฟิ่งหวู่โจวก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงขั้นนี้ คราวนี้ไปกันใหญ่แล้ว ต้าฉีโดนพวกเขายั่วจนโมโห จะเปิดศึกกับพวกเขา“พวกเจ้าเพิ่งจบสงครามไม่ใช่หรือ แคว้นของพวกเจ้าเกิดความอดอยากมากมายไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ควรพักฟื้นหรือ? พวกเจ้าบุ่มบ่ามเปิดศึกกับพวกเรา รู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?”เฟิ่งหวู่โจวร้อนใจจนแสดงออกทางสีหน้าสามารถมองออกได้ว่าเขากำลังตื่นตระหนกจากสีหน้า“ผลที่ตามมาอะไร หนานเจียงของเจ้ากล้าฆ่าแม่ทัพต้าฉีของเรา ต้าฉีของเรายังต้องอดกลั้นอีกหรืออย่างไร?”กู้หว่านเยว่มองแมงป่องพิษที่อยู่ใจกลางท้องพระโรงแวบหนึ่ง ภายใต้การถูกไฟย่าง แมงป่องพิษตัวนั้นถูกย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทองและกรอบแล้ว“ไปจูงสุนัขมา
“คือเขา”แม่ทัพแห่งต้าฉีผู้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั่นเฟิ่งหวู่โจวเห็นเขาแล้วรู้สึกขัดตา จึงหาโอกาสให้แมงป่องยักษ์ต่อยเขาด้วยพิษ จากนั้นก็ตัดศีรษะของเขาออกมา“เขาข่มขืนอนุภรรยาสุดที่รักของข้า ต่อให้ตายก็ยังน้อยไป!” แววตาของเฟิ่งหวู่โจววูบไหวเล็กน้อย ยืนกรานในข้ออ้างนี้อย่างหนักแน่น“เจ้าพูดจาเหลวไหล!”ร่างกายอันอ่อนแอบอบบางของเหลียงถงอวี้ พลันระเบิดพลังสายหนึ่งออกมา“สามีของข้าเป็นผู้มีคุณธรรม ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้เป็นอันขาด เจ้าชาวหนานเจียงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ฆ่าสามีของข้าแล้ว ยังไม่กล้าเอ่ยความจริงออกมา ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”เฟิ่งหวู่โจวกระทืบเท้า “จะ เจ้า พูดจาเหลวไหล!”“บอกมา สามีข้าตายด้วยเหตุใดกันแน่ เขาไปล่วงเกินอะไรเจ้าตรงไหน เจ้าไม่เพียงแต่จะฆ่าเขา ยังต้องใส่ร้ายป้ายสีชื่อเสียงอันดีงามของเขาอีก?”เหลียงถงอวี้ก้าวเข้าไปหาเฟิ่งหวู่โจวทีละก้าว เห็นได้ชัดว่าใบหน้าดูอ่อนโยนบอบบาง แต่เวลานี้ ทั่วร่างกายกลับเต็มไปด้วยแรงกดดัน“หรือว่าท่านเทพธิดาไหมแห่งหนานเจียงของพวกเจ้า ก็เป็นเหมือนองค์ชายหนานเจียงผู้นี้ กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ ปากก็มีแต่คำโป้ปดเช่นนั้นหรือ?”“บังอาจ บัง
ณ มุมหนึ่ง สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าโจวและนายท่านโจวเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนความแค้นที่พวกเขามีต่อเฟิ่งหวู่โจวนั้นท่วมท้นทว่าแม้แต่พวกเขาเองก็ยังไม่กล้าคิดที่จะลงมือสังหารเฟิ่งหวู่โจว“เหลียงถงอวี้ผู้นี้...” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวนึกถึงเมื่อวานที่นางไปหยามเกียรติเหลียงถงอวี้ถึงที่ บนใบหน้าชราก็ปรากฏความละอายใจแวบหนึ่งนายท่านโจวก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน“สตรีหอคณิกา กลับมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้”“เป็นพวกเราเองที่มองคนแค่เพียงภายนอก”คราวนี้ทั้งสองคนไม่ลังเล รีบวิ่งออกมาแล้วคุกเข่าลงข้างกายเหลียงถงอวี้“ฝ่าบาท ฮองเฮา ถงอวี้นางถูกความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามีครอบงำทำให้ขาดสติ จึงได้สังหารองค์ชายสามแห่งหนานเจียงฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดทรงเมตตา เห็นแก่หน้าบุตรชายของกระหม่อมที่ตายไปก่อนวัยอันควร ได้โปรดไว้ชีวิตเหลียงถงอวี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหลียงถงอวี้มองพวกเขาด้วยสายตาซับซ้อนกู้หว่านเยว่ยิ้มหากนางคิดจะลงโทษเหลียงถงอวี้จริง ๆ เมื่อครู่นางคงไม่ยืนดูอยู่เฉย ๆ แล้วปล่อยให้เฟิ่งหวู่โจวตายด้วยน้ำมือของนางไปต่อหน้าต่อตา“พวกท่านไม่โทษเหลียงถงอวี้แล้วหรือ?”สองผู้เฒ่าสกุลโจวสั่นสะท้านขึ้นมา ที
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป