“ไอหยา”คนชอบวิ่งอย่างจ้านจ้านไม่ทันระวัง จู่ๆ ก็ล้มลงบนตัวหญิงออกเรือนแล้วท่านหนึ่ง“จ้านจ้าน!” กู้หว่านเยว่รีบปรี่ถลันเข้าไปหญิงออกเรือนแล้วมือไม้คล่องแคล่วว่องไวคว้าตัวจ้านจ้านที่กำลังจะล้มไว้ ไม่โทษเด็กน้อยวิ่งเล่นซุกซน ตรงข้ามกันช่วยเช็ดใบหน้ารูปไข่ให้เขาอย่างอ่อนโยน“ออกนอกบ้านต้องระวังสักหน่อย หาไม่แล้วพ่อแม่เจ้าจะปวดใจเอาได้”จ้านจ้านหน้าแดงเรื่อ “ข้า ข้าไม่เป็นไร”หญิงออกเรือนยังเยาว์วัยหัวเราะ เด็กน้อยน่ารักเหลือเกินหากลูกของนางยังอยู่ น่ากลัวว่าคงโตไล่เรี่ยกับเขากระมัง“มีเพียงเจ้าคนเดียวหรือ? พ่อแม่ของเจ้าเล่า?”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงรีบสืบเท้าขึ้นไป อุ้มจ้านจ้านขึ้นมากู้หว่านเยว่มองด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขออภัย ฮูหยินท่านนี้ ลูกชายข้าอุปนิสัยร่าเริงจนชนท่าน ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”หญิงออกเรือนแล้วยังเยาว์วัยส่ายหน้ายิ้มๆ พูดเสียงนุ่มนวลว่า “เด็กตัวเล็กเพียงแค่นี้จะมีแรงมากสักเพียงใดกัน วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ขออภัยจริงๆ”“ไม่เป็นไร” ห่าวเจินเจินส่ายหน้าเบาๆ ลูบผมจ้านจ้านอย่างแผ่วเบา จากนั้นจากไปพร้อมรอยยิ้มใบหน้าเล็กของ
ทีแรกซูจิ่นเอ๋อร์อยากหันหน้ากลับไป เพียงนึกได้ว่าเมื่อครู่ตอนฮูหยินผู้เฒ่าฟู่ร้องรับกับหลินเซียนเอ๋อร์ ฟู่หลานเหิงยืนไม่พูดจาที่ฝั่งหนึ่ง นี่ทำให้โมโหจนหัวเราะเสียงเยียบเย็น“ตามข้ามาทำอันใด? ไปมีความสุขกับญาติผู้น้องเขาเถอะ!”ชิงเหลียนลอบพยักหน้า ‘ครั้งนี้องค์หญิงใหญ่โมโหจริงๆ แล้ว’กู้หว่านเยว่เองก็ไม่ห้ามเรื่องรับอนุเป็นฮูหยินผู้เฒ่าจัดการด้วยตนเอง แต่หากฟู่หลานเหิงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดตั้งแต่แรก ไฉนเลยจะมีเรื่องเหมือนอย่างวันนี้เกิดขึ้น?พูดไปแล้ว ยังเป็นฟู่หลานเหิงสามีคนนี้ไม่ใส่ใจต่อให้มองความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าฟู่ออก แต่ก็เลือกรักษาความสงบไว้กู้หว่านเยว่ลอบบ่น ความขัดแย้งระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ก็คือความขัดแย้งของสามีและภรรยา หากสามีมอบพลังให้ ต่อให้แม่สามีอยากสอดปากก็ไม่มีโอกาสซูจิ่นเอ๋อร์พูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่อยากพบเขา ให้รถม้าแล่นเร็วหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ออกคำสั่งชิงเหลียนที่เป็นคนขับรถม้าหนึ่งประโยค รถม้าแล่นไปด้วยความว่องไว เพียงครู่เดียวก็สลัดฟู่หลานเหิงไว้ทางด้านหลัง“แย่แล้วขอรับใต้เท้า ข้าว่าครั้งนี้องค์หญิงโมโหจริงๆ” บ่าวเผยสีหน้าร้อนใจ
แต่งงานกับองค์หญิงไม่ต่างจากแต่งเข้าบ้าน หลังทั้งสองคนแต่งงานกันแล้วก็ควรอาศัยอยู่ในจวนองค์หญิง แม้ว่าภายนอกเป็นสามีภรรยา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นกษัตริย์และขุนนาง องค์หญิงต่างหากเป็นนายหญิงของบ้านเพียงแต่ซูจิ่นเอ๋อร์อุปนิสัยอ่อนโยนและพูดง่าย นี่จึงไม่สั่งให้ฟู่หลานเหิงไปอยู่กับนางภายในจวนองค์หญิงที่เมืองหลวง ส่วนนางไปเป็นเพื่อนเขารับราชการที่อื่น และมอบความเคารพที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่พึงได้รับแก่นางต่อให้เป็นองค์หญิง แต่ยังมาเยี่ยมคารวะแม่สามีทุกวันกลับคิดไม่ถึงเลยว่าความอ่อนโยนและใจกว้างของนางจะแลกมากับการถูกคนหมิ่นแคลนฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายถูกเหยียบหางก็มิปาน สีหน้าไม่สบอารมณ์ตอนทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกัน เหตุเพราะลูกชายนางแต่งกับองค์หญิง นี่จึงมีบารมีไม่น้อยยามอยู่ภายนอกหลังอยู่ร่วมกันแล้ว เห็นว่าซูจิ่นเอ๋อร์ไม่วางอำนาจขององค์หญิง กอปรกับนางไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน นี่จึงเกิดความคิดบงการขึ้นมาคำพูดของซูจิ่นเอ๋อร์ นางไม่สามารถโต้แย้งได้ทำได้เพียงพูดว่า “จิ่นเอ๋อร์ นี่เจ้าไม่รู้ความแล้ว ชายใดไม่มีสามภรรยาสี่อนุบ้างเล่า? หากแม้แต่อนุคนเดียวเจ้าก็ยอมปล่อยผ่านไม่ได้ เล
สัญชาตญาณบอกซูจิ่นเอ๋อร์ สถานการณ์ไม่ชอบมาพากลอย่างมากสายตายามสตรีนามว่าเซียนเอ๋อร์คนนี้สบมองฟู่หลานเหิงแปลกประหลาดอย่างมาก ยิ่งไปกว่านี้เหตุใดนางต้องเรียกแทนตนว่าพี่หญิงด้วยเล่า?ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่กล้าคิดต่อแขนเสื้อกำแน่น ร่างกายโงนเงนหลินเซียนเอ๋อร์พูดเสียงนุ่มนวล “พี่หญิง ข้าคือญาติผู้น้องของใต้เท้าฟู่ ครั้งนี้ตั้งใจมาเพื่อคารวะฮูหยินผู้เฒ่า”ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่จูงมือของหลินเซียนเอ๋อร์ ปรบมือ พูดยิ้มๆ “เซียนเอ๋อร์รู้ความยิ่งนัก เพียงข้าได้เห็นนางก็รู้สึกชมชอบ คิดพานางมาอยู่ข้างกาย องค์หญิงน่าจะไม่ถือสากระมัง?”ซูจิ่นเอ๋อร์สมควรพูดอย่างไร? นางย่อมถือสา! สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าฟู่และหลินเซียนเอ๋อร์แสดงออกชัดเจนอย่างมาก“ข้า”ซูจิ่นเอ๋อร์อยากพูดบางอย่าง หลินเซียนเอ๋อร์ชิงพูดก่อน “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่สบาย ข้าอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อปรนนิบัติดูแลนาง พี่หญิงน่าจะไม่ถือสากระมัง?”ซูจิ่นเอ๋อร์อยากพูดแต่กลับติดอยู่ในลำคอตอนนี้นางพูดว่าถือสา นั่นจะยังไม่ถูกตราหน้าว่าอกตัญญูอีกหรือฮูหยินผู้เฒ่าฟู่เองก็พูดยิ้มๆ “จิ่นเอ๋อร์ นิสัยของเซียนเอ๋อร์ดีมาก อ่อนโยนนุ่มนวล ไม่มีวันทำให้เจ้าเดือด
หมอบอกว่ามารดาของเขาเป็นลมชัก ต้องมีคนคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ฟู่หลานเหิงไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงให้ซูจิ่นเอ๋อร์กลับเมืองหลวงไปก่อนตามลำพัง ส่วนตนเองอยู่ดูแลมารดา แต่ใครจะรู้ว่าซูจิ่นเอ๋อร์เพิ่งจากไปได้เพียงวันเดียว มารดาที่เคยนอนซมอยู่กับเตียงกลับลุกขึ้นมาเดินเหินได้ตามปกติสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ ยังคิดจะหาอนุภรรยาที่บ้านเกิดให้เขาอีกด้วยฟู่หลานเหิงไม่ใช่คนโง่เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา เขาก็พลันเข้าใจได้ในที่สุด โรคลมชักเป็นเรื่องโกหก การที่จงใจส่งซูจิ่นเอ๋อร์ไปก่อนต่างหากคือเรื่องจริง“ท่านแม่ ข้าเคยบอกแล้วว่า ข้าจะไม่รับอนุภรรยา”สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าฟู่ฉายแววมืดมน “ไม่รับอนุภรรยา แล้วจะให้สกุลฟู่สิ้นทายาทหรือไร? ซูจิ่นเอ๋อร์นั่น มีลูกไม่ได้!”สีหน้าของฟู่หลานเหิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านแม่โปรดระวังคำพูด จิ่นเอ๋อร์ไม่ได้มีปัญหา เป็นปัญหาของข้าเอง!”“เจ้าถึงกับแบกรับความรับผิดชอบไว้ที่ตนเอง เพื่อจะปกป้องนางอย่างนั้นหรือ?”ความไม่พอใจที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่มีต่อซูจิ่นเอ๋อร์ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกส่วน นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูด “ใต้หล้านี้บุ
ซูจิ่นเอ๋อร์พยักหน้า เมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่พูดกับนางมากมายแล้ว นางเองก็รู้ว่าควรทำอย่างไร นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วลงมาจากรถม้าซูจิ่นเอ๋อร์พาไฉ่จวี๋สาวใช้ที่กู้หว่านเยว่จัดหาให้ เดินไปยังหน้าประตูบ้านสกุลฟู่ ทันใดนั้น ก็มีรถม้าหลายคันมาถึงหน้าประตู พ่อบ้านได้สังเกตเห็นแล้วเขาจำซูจิ่นเอ๋อร์ได้ในทันที สายตาฉายแววประหลาดใจ “องค์หญิงใหญ่? ท่าน ท่านกลับมาได้อย่างไร?”ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะกลับมานี่มันกะทันหันเกินไปแล้วไฉ่จวี๋ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “นี่มันท่าทีอะไรของเจ้า! หรือว่าองค์หญิงใหญ่จะกลับมา ยังต้องรายงานให้บ่าวรับใช้เช่นเจ้ารับทราบด้วยหรือ?”“มะ ไม่ใช่ขอรับ” “ยังไม่รีบคุกเข่าอีก”ไฉ่จวี๋ตวาดเสียงเย็น ซูจิ่นเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก ๆ ในใจรู้สึกผิดเล็กน้อยแม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงใหญ่ แต่เวลาอยู่ข้างนอกนางไม่เคยวางอำนาจแบบองค์หญิงใหญ่ โดยเฉพาะต่อหน้าคนสกุลฟู่แล้ว ยิ่งพูดจาด้วยง่าย ไฉ่จวี๋ดุดันเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งแต่ไม่คุ้นเคยก็ต้องปรับตัวไฉ่จวี๋เป็นคนที่พี่สะใภ้ใหญ่ส่งมา พี่สะใภ้ใหญ่ทำเช่นนี้เพื่อสร้างบารมีให้นาง!นางต้องเรียนรู้ให้ดีซ