สีหน้าของซูจิ่นเอ๋อร์ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเจ็บปวดเล็กน้อย“แม่สามีมักจะพูดกับข้าอยู่บ่อย ๆ ว่า ข้าอายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะให้กำเนิดทายาทแก่สกุลฟู่ได้แล้ว”ตอนแรกซูจิ่นเอ๋อร์ยังไม่ได้ใส่ใจนัก คิดว่าใช้ชีวิตร่วมกันในโลกส่วนตัวสองคนไปอีกสักพักคงจะดีกว่าแต่ก็น่าเสียดายที่บางคำพูด เมื่อได้ฟังนาน ๆ เข้า ก็ย่อมมีผลกระทบต่อคนฟัง“แม่สามีมักจะพูดถ้อยคำเหล่านี้ข้างหูข้าไม่หยุดหย่อน ทั้งยังเชิญฮูหยินของเหล่าขุนนางมาที่บ้านบ่อย ๆ ซึ่งฮูหยินเหล่านั้นล้วนมีลูกกันหมดแล้ว”ตอนแรกซูจิ่นเอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่เมื่อเห็นเด็ก ๆ เหล่านั้นวิ่งเล่นอยู่ตรงหน้า นางก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา“ต่อมาข้าก็ตั้งใจที่จะมีลูก แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะไม่ตั้งครรภ์เสียที”“ท่าทีของแม่สามีที่มีต่อข้าก็เปลี่ยนไป นางมักจะพูดเป็นนัย ๆ ว่าร่างกายของข้ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ถึงได้ไม่ตั้งครรภ์เสียที”กู้หว่านเยว่ฟังมาถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะซูจิ่นเอ๋อร์ “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฟู่หลานเหิงไม่รู้หรือ?”ซูจิ่นเอ๋อร์ส่ายหน้า“ข้าเคยคิดจะบอกเขาเหมือนกัน แต่พอคิดว่าเป็นปัญหาของตัวเอง ก็เลยพูดไม่ออก อีกทั้งแม่สา
กู้หว่านเยว่ไม่ได้รู้จักแม่สามีของซูจิ่นเอ๋อร์ดีเท่าไรนัก แค่จำได้ราง ๆ ว่าตอนที่ซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิงแต่งงานกัน นางน่าจะอยู่ในงานด้วยตอนนั้นยังดูเป็นหญิงชราที่ใจดีอยู่เลย เหตุใดหลังจากแต่งงานถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?มิน่าเล่าจิ่นเอ๋อร์ถึงไม่ยอมพูดอะไรมาก เกรงว่าคงจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าฟู่บงการทางความคิดมาเป็นเวลานาน จนทำให้นางรู้สึกว่าตนเองเป็นคนไร้ประโยชน์ และมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอับอาย จึงไม่ยอมบอกใคร“ทนดูไม่ได้ ทนดูไม่ได้จริง ๆ มีแม่สามีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!แล้วก็เจ้าเด็กจิ่นเอ๋อร์นั่นอีก เป็นเด็กที่ฉลาดคนหนึ่งแท้ ๆ เหตุใดถึงเลอะเลือนไปได้ คนอื่นพูดอะไรนางก็เชื่อไปเสียหมด”ปรมาจารย์แพทย์ผู้เฒ่าเบ้ปาก“ตอนนี้นางก็โง่เง่าถึงเพียงนี้แล้ว หากมีลูกคงจะโง่เง่ายิ่งกว่าเดิมข้าไม่ยอมให้นางมีลูกหรอก ก็เลยบอกไปตรง ๆ ว่าไม่มีทางรักษา”จากคำพูดพึมพำของปรมาจารย์แพทย์ กู้หว่านเยว่ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้คร่าว ๆ ไม่คิดเลยว่าในเรื่องนี้ยังมีเรื่องราวแบบนี้ซ่อนอยู่อีก ดูแล้วก็โทษปรมาจารย์แพทย์ไม่ได้ ด้วยนิสัยของเขา การทำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติแต่สำหรับกู้หว่านเยว่แล้ว
องครักษ์ที่อยู่หน้าประตูขวางปรมาจารย์แพทย์ไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจตาเฒ่าผู้นี้ช่างไร้มารยาทนัก!ฮองเฮายังไม่ได้อนุญาตให้เข้าไปเลยกู้หว่านเยว่รีบเอ่ยขึ้น “รีบให้ปรมาจารย์แพทย์เข้ามา อย่าได้ล่วงเกินท่านผู้เฒ่า”เหล่าองครักษ์ที่ขวางทางอยู่จึงรีบแยกออกไปสองข้างทาง ปรมาจารย์แพทย์จัดเสื้อผ้าของตนเองพลางเบ้ปาก กล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าก็มาตั้งหลายครั้งแล้ว ถือเป็นคนคุ้นเคยกันหมดแล้ว ยังจะมาขวางอีก ไร้มารยาทเสียจริง”องครักษ์หลายคนมีสีหน้าลำบากใจปรมาจารย์แพทย์อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ โกรธง่ายหายเร็ว พอพูดจบก็รีบวิ่งตรงไปยังกู้หว่านเยว่ทันทีสีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี“เจ้าเด็กแสบ ไม่เจอกันสองปี ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าแล้ว พอข้าได้ยินข่าวเจ้าก็รีบกลับมาทันที เจ้ายังเหมือนเมื่อสองปีก่อนไม่มีเปลี่ยน ยังคงงดงามเช่นเคย”กู้หว่านเยว่กระแอมหนึ่งครั้ง ก่อนจะเปิดโปงอย่างไม่ไว้หน้า“ท่านผู้เฒ่าได้ยินข่าวของข้า หรือว่าได้ยินข่าวเรื่องสมุนไพรกันแน่ถึงได้รีบร้อนมาขนาดนี้”ปรมาจารย์แพทย์กระแอมออกมา กล่าวเก้อเขิน “โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กแสบคนนี้ ยังพูดตรงไปตรงมาเหมือนเดิม ทำให้คนอื่นลำบากใจเสียจริง”ขณะพูดก็รี
“เสด็จแม่ ท่านจะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ?”จ้านจ้านเม้มริมฝีปากน้อย ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ ดวงตากลมโตที่คลอไปด้วยน้ำตาทำให้กู้หว่านเยว่ใจอ่อนยวบนางยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็ก ๆ ของจ้านจ้าน “เสด็จแม่กับเสด็จพ่อมีเรื่องต้องไปทำ เมื่อทำเสร็จแล้วจะรีบกลับมาทันที ดีหรือไม่?”จ้านจ้านทรุดตัวลงนั่งกอดต้นขาของกู้หว่านเยว่ไว้แน่น “ลูกจะไปกับเสด็จแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เสด็จแม่เพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน อยู่ได้เพียงสองสามวันก็จะออกไปอีกแล้ว ในใจของจ้านจ้านรู้สึกน้อยใจสองมือเล็ก ๆ ของเขาเขย่าไปมากู้หว่านเยว่รู้สึกจนใจ “เสด็จแม่ต้องออกไปทำเรื่องสำคัญ อาจจะเจออันตราย จะพาเจ้าไปด้วยได้อย่างไร?”จ้านจ้านรีบตบหน้าอกเล็ก ๆ ของตน “ลูกปกป้องตัวเองได้ ถ้าเจออันตรายก็จะรีบไปซ่อนก่อน ไม่เป็นภาระให้เสด็จแม่!”เขาเม้มปากเล็ก ๆ เผยให้เห็นสีหน้าที่ดูน่าสงสาร“ได้โปรด ได้โปรดเถอะ...”กู้หว่านเยว่ใจอ่อนยวบไปหมดแล้วเมื่อลูกชายอ้อนวอนถึงเพียงนี้ การจะปฏิเสธก็ช่างยากเย็นเหลือเกินกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงการจะทิ้งจ้านจ้านไว้ในวังคนเดียว นางเองก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์มาก หากจะพาจ้านจ้านไปชายแดน
นางอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่มานานที่สุด ความคิดบางอย่างจึงได้รับอิทธิพลจากกู้หว่านเยว่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงนางหยางได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใดตอนที่นางได้ยินคำพูดของซูจิ่นเอ๋อร์ครั้งแรก ก็รู้สึกว่าบุตรสาวของตนช่างเลอะเลือนเกินไปแล้ว แต่นางก็เข้าใจดีว่าการสืบทอดตระกูลนั้นสำคัญเพียงใด“เรื่องนี้จะโทษจิ่นเอ๋อร์ก็ไม่ได้ หากสกุลฟู่ต้องการจะหย่านาง ก็สามารถใช้เรื่องไร้ทายาทซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดข้ออ้างในการหย่าร้างได้ นางเองก็ไม่มีทางเลือก” นางหยางเอ่ยขึ้นตามสัญชาตญาณในใจของนางยังคงเข้าใจซูจิ่นเอ๋อร์ได้ แต่กู้หว่านเยว่กลับส่ายหน้า “จิ่นเอ๋อร์เป็นคนนิสัยเด็ดเดี่ยว ยอมหักไม่ยอมงอ”มิฉะนั้นแล้ว เมื่อก่อนคงไม่ดึงดันที่จะติดตามฟู่หลานเหิง ยอมตายแต่ไม่ยอมหันหลังกลับ เพียงเพื่อจะแต่งงานกับเขาให้ได้คนที่มีนิสัยเช่นนี้ จะเป็นคนที่บอกว่าจะรับอนุภรรยาให้สามีง่าย ๆ ได้อย่างไร“เช่นนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”นางหยางถอนหายใจ จับมือกู้หว่านเยว่ไว้พลางเอ่ยขึ้น“ช่างเถิด ไม่ว่าเรื่องราวมันจะเป็นมาอย่างไร ทุกอย่างล้วนเกิดจากการที่จิ่นเอ๋อร์ไม่สามารถตั้งครร
ภายในตำหนักเฟิ่งอี๋มีทั้งห้องน้ำชา ห้องหนังสือ ห้องปรุงยา ด้านหลังตำหนักยังมีแปลงสมุนไพรเล็ก ๆ อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ส่วนตัวของกู้หว่านเยว่ที่แห่งนี้คือสถานที่สงบจิตใจของนางหากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง ใครก็ห้ามย่างกรายเข้ามาโดยพลการในยามปกติ กู้หว่านเยว่จะปรุงยาและอ่านตำราแพทย์อยู่ที่นี่วันนี้ นางตั้งใจจะนำสมุนไพรที่เก็บมาจากในมิติเมื่อหลายวันก่อนออกมาแปรรูปเสียหน่อยอันที่จริงแล้ว สมุนไพรในมิติสามารถแปรรูปได้โดยอัตโนมัติ แต่ในฐานะแพทย์ กู้หว่านเยว่กลับชอบลงมือทำด้วยตนเองมากกว่า เพื่อที่นางจะได้ไม่ลืมทักษะนี้ไปเพราะไม่ได้ลงมือทำมานาน ทั้งนึ่งต้ม คั่ว บด ไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาช่วงบ่ายได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่นานนัก เสียงของนางกำนัลก็ดังขึ้นจากนอกประตู “ทูลฮองเฮา ฮูหยินกั๋วกงเข้าวังมาแล้วเพคะ”กู้หว่านเยว่รีบวางของในมือลง พลางนวดต้นคอที่ปวดเมื่อย แล้วออกไปต้อนรับนางหยางด้วยตนเอง“ท่านแม่”“ฮองเฮา” สายตาของนางหยางฉายแววสงสัย “เรียกข้าเข้าวังมาเสียเย็นค่ำ มีเรื่องอันใดหรือ?”นางหยางและซูจิ้งอาศัยอยู่ที่จวนกั๋วกง เข้าวังมาเป็นประจำ แต่โดยปกติแล้วจะมาในช่วงเช้าและกลับในช่วงพลบค่ำ