แล้วทิ้งบุตรชายไว้ข้างหลัง“เข้มแข็งหน่อยนะเจ้า”ซูจิ่งสิงรับเสี่ยวจ้านจ้านมาไว้ในอ้อมกอด น่าเสียดายที่เด็กน้อยน่าชังผู้นี้อยากอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นมารดา เขาดิ้นพล่านปฏิเสธทันที ด้วยความจนปัญญา เขาทำได้เพียงส่งบุตรชายกลับไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง“แค่นี้ก็พอ อย่าทำให้แม่เจ้าเหนื่อยล่ะ”ไม่ว่าเด็กน้อยน่าชังผู้นี้จะเข้าใจหรือไม่ ขอแค่เขาได้สั่งสอนบ้านสกุลเซวียในเวลานี้ ทันทีที่นายท่านเซวียกลับมาถึงบ้าน เขามักจะไปตรวจสอบคลังส่วนตัวอยู่เสมอ จนกระทั่งพบว่าคลังส่วนตัวถูกขโมยไปเรื่องที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือ สมุดบัญชีในคลังส่วนตัวของเขาก็หายไปด้วย“ฮูหยินล่ะ ฮูหยินอยู่ไหน?”นายท่านเซวียออกมาด้วยความรีบร้อน ตามหาร่องรอยของฮูหยิน“วันนี้มีใครเข้ามาในจวนหรือไม่ คลังส่วนตัวถูกขโมยจนหมดเกลี้ยง เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”นายท่านเซวียกระชากตัวภรรยาที่กำลังหลับฝันหวานขึ้นมา กระทั่งผ้าห่มลื่นหลุดมือ เขารีบปล่อยมือด้วยความตกใจทันที“เจ้า ทำไมเจ้าถึงได้มีผื่นแดงเต็มตัวเช่นนี้”“คัน คันยิ่งนัก....”เซวียฮูหยินยังคงละเมอเพ้อฝัน ก่อนที่นางจะเข้านอนวันนี้นางรู้สึกคันทั้งตัว จึงตั้งใจอาบน้ำแต่อาก
“บุรุษผู้นั้นไม่ได้เข้าตามตรอกออกตามประตู แต่เข้ามาทางประตูหลัง ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยเจ้าค่ะ”อนุภรรยาฉินไม่รู้ว่านั้นคือชู้ของนางหรือไม่ แต่ขอให้ยุ่งเรื่องคนอื่นก็พอฮูหยินมักจะรังแกนางลับหลังนายท่านเสมอ ครั้นได้โอกาสนางก็ขอซ้ำเติมเต็มที่“อนุภรรยาฉิน หากเจ้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะฉีกปากเจ้า พรุ่งนี้ข้าส่งเจ้าไปขายเสีย”“นายท่าน นางจะส่งข้าไปขายเจ้าค่ะ”อนุภรรยาฉินออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของนายท่านเซวีย แต่ปากยังคงพร่ำพรรณนาไม่หยุด“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล เด็กรับใช้และสาวใช้ต่างก็เห็นว่ามีบุรุษปริศนาแอบเข้ามาเมื่อคืนเจ้าค่ะ”ในใจของนายท่านเซวียเชื่อไปแล้วสามส่วน และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “นางหลี่ เจ้าสารภาพด้วยตัวเองเถอะ ข้าไม่อยากลงโทษเจ้า”“นายท่าน?”เซวียฮูหยินคิดไม่ถึงว่านายท่านจะไม่เชื่อใจนางจริง ๆ นางรับอธิบายด้วยใจที่แตกสลายว่า “ข้าอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายท่านมาสี่ห้าปี จะเป็นหัวขโมยได้อย่างไรละเจ้าคะ นั้นคือเจ้าของร้านในร้านของข้า ข้าแค่เรียกเขามาถามไถ่งาน””“จะถามไถ่งานก็ถามกลางวัน ทำไมต้องถามกลางคืนด้วย?” นายท่านเซวียจะเชื่ออย่างนั้นหรือ? หากเชื่อเขาก็โง่เต็มทนแล้ว“เร
“เซวียผิง ข้าคือพี่ใหญ่ของเจ้า พวกเราเป็นพี่น้องแท้ ๆ ”“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ผู้แสนดี บุญคุณที่ท่านมีต่อข้า ข้าจะตอบแทนเป็นร้อยเท่าพันเท่า”เซวียผิงกัดฟันเน้นย้ำคำพูดสองสามคำหลังอย่างหนัก ทำให้นายท่านเซวียหน้าซีดเผือด “เจ้า เจ้า...”“นำตัวไป!”ไม่ว่าจะเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของนายท่านเซวีย พ่อบ้าน รวมถึงเซวียฮูหยิน และเจ้าของร้านเสิ่น ทุกคนล้วนถูกจับเข้าคุกเมื่อกู้หว่านเยว่ตื่นขึ้นมา นางหยางและซูจิ้งก็เพิ่งกลับมาจากฟาร์มหมูพอดีนางหยางพบเจอเรื่องน่ายินดี จิตใจเบิกบานแจ่มใส จึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปดูพื้นที่นั้นมาแล้ว เลี้ยงหมู่น่ะดีจริง ๆ แถวนั้นมีฟาร์มเกษตร ใบผักเน่าเสียที่ฟาร์มไม่เอา เราก็เอามาทำอาหารหมูได้ ส่วนมูลหมูก็เอามาทำปุ๋ยได้ แบบนี้ไม่เรียกว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายหรือ?”แถวนั้นยังมีหมู่บ้านอีก ถึงตอนนั้นก็ไปจ้างคนงานจากในหมู่บ้านได้เลย สะดวกดี “ท่านพ่อท่านแม่ชอบก็ดีแล้ว”กู้หว่านเยว่ดึงนางหยางไปด้านข้างอย่างเงียบ ๆ “ท่านพ่อดีขึ้นบ้างหรือยัง?”นางหยางพยักหน้า “แม่เฒ่าซูก็ไม่ใช่แม่ที่ดีอะไรนักหรอก ท่านพ่อของเจ้าก็คงคิดได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินว่าไม่มีเรื่องอะไรก็รู้
“ว่ามา”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว ขณะสอบสวนคดี ใบหน้าก็กลับมาเย็นชาไร้อารมณ์อีกครั้ง“เขาสารภาพมาแค่ครึ่งเดียว ที่เหลือไม่ยอมพูด”แววตาของเซวียผิงเผยความแค้นออกมาแวบหนึ่ง ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกสงสัย“พวกเขาไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ กันหรอกหรือ เหตุใดดูเหมือนมีความแค้นฝังลึกเช่นนี้”ยิ่งกว่านั้นทั้งสองคนยังเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันแท้ ๆ ตกลงมีความแค้นอะไรกันแน่ เซวียผิงถึงได้เกลียดนายท่านเซวียขนาดนี้?“ฮูหยินของเซวียผิง ถูกนายท่านเซวียบีบบังคับให้ผูกคอตาย” ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูนางสิ่งที่สามารถทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งยอมจบชีวิตตัวเองด้วยการแขวนคอได้ ก็มีเพียงเรื่องครอบครัวหรือไม่ก็เรื่องชื่อเสียง“น้องรอง ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ...”นายท่านเซวียอ้อนวอนด้วยลมหายใจรวยริน เขาแทบทนไม่ไหวแล้ว คนอายุสามสิบกว่าปี จะทนการทรมานแบบนี้ได้อย่างไรเซวียผิงถือเหล็กเผาไฟเข้าใกล้เขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไว้ชีวิตท่าน แล้วใครไว้ชีวิตอาอวิ๋นเล่า?”เมื่อได้ยินชื่อนี้ ดวงตาของนายท่านเซวียก็สั่นไหว “นาง การตายของนางไม่เกี่ยวกับข้า”“ไม่เกี่ยวข้องงั้นหรือ ท่านคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไร!”เมื่อพูดถึง
“ประหารชีวิตต่อหน้าชาวบ้านเถิด”ซูจิ่งสิงวางคำให้การลง และรู้สึกขยะแขยง“ส่วนคนอื่น ๆ เจ้าจัดการตามสมควร ตัดสินอย่างยุติธรรม”คดีของสกุลเซวียสิ้นสุดลง กู้หว่านเยว่ยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องร้านเพียวเซียงที่ไม่มีเจ้าของ สามารถซื้อกิจการมาได้ จึงดึงซูจิ่งสิงแล้วเดินออกไป“ไป ลากเซวียติงกลับเข้าคุก รอประหารชีวิตพรุ่งนี้”ภายในคุก เซวียฮูหยินและอนุภรรยาฉินพวกนางถูกขังรวมอยู่ในห้องเดียวกัน เมื่อเห็นนายท่านเซวียถูกลากเข้ามาในสภาพปางตาย ทั้งสองคนก็รีบเข้าไปหา“นายท่าน ๆ ผลการพิจารณาคดีเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเราจะได้ออกไปเมื่อไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”ที่แท้เซวียฮูหยินก็ไม่ได้สนใจว่านายท่านเซวียจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่กังวลว่าตัวเองจะได้ออกไปเมื่อไรต่างหาก“นางสารเลว!” นายท่านเซวียออกแรงบีบคอนางไว้แน่น“อ่อก ท่านพี่ ท่านทำอะไร?”“เป็นเพราะเจ้าไปทำให้กู้หว่านเยว่ไม่พอใจ จนข้าต้องเป็นแบบนี้”นายท่านเซวียได้ยินชัดเจน ตอนที่กู้หว่านเยว่พูดคุยกับซูจิ่งสิง นางพูดถึงเซวียฮูหยินและร้านเพียวเซียง“นางสารเลว เจ้าทำอะไรลงไป!”“ท่านหมายถึงซูฮูหยิน นาง นางก็แค่สตรีในเรือนคนหนึ่งมิใช่หรือ?”เซวียฮูหย
กู้หว่านเยว่ตั้งใจจะแจ้งเรื่องร้านเพียวเซียงให้หลี่ชิวเตี๋ยทราบ พอไปถึงร้านดอกท้อก็เจอหลี่ชิวเตี๋ยกำลังคำนวณบัญชีพอดีเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ นางรีบยื่นสมุดบัญชีให้ด้วยความเคารพ“เถ้าแก่เนี้ย ข้าคำนวณบัญชีของช่วงหลายวันที่ผ่านมาแล้ว เชิญท่านตรวจดู”หลี่ชิวเตี๋ยกังวลจนปากเป็นแผล แม้ว่าลูกค้าเก่าจะยังอยู่ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ถูกดึงดูดด้วยราคาที่ต่ำกว่าของร้านเพียวเซียง ยอดขายช่วงนี้จึงไม่ค่อยดีนัก“ร้านเพียวเซียงคอยแย่งลูกค้าของเราตลอด ไม่ว่าพวกเราจะออกสินค้าใหม่ชนิดใด พวกเขาก็ลอกเลียนแบบไปหมด น่าโมโหจริง ๆ ข้าอยากจะหาคนไปทุบร้านพวกเขาให้พังไปเสีย!”หลี่ชิวเตี๋ยไม่ได้พูดเล่น นางอยากจะทุบร้านเพียวเซียงให้พังจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่หาคนไม่ได้กู้หว่านเยว่ยิ้ม “ใจเย็น ๆ ก่อน วันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะบอกเจ้าว่า เตรียมตัวซื้อกิจการร้านเพียวเซียงเถอะ”“หา?”หลี่ชิวเตี๋ยเพิ่งจะระบายอารมณ์เสร็จ ก็ได้ยินข่าวนี้ ถึงกับงงไปแล้ว“เถ้าแก่เนี้ย ข้าหูฝาดไปเอง หรือว่าท่านพูดผิดกันแน่”“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง รอหลังจากซื้อกิจการร้านเพียวเซียงแล้ว ก็เปิดสาขาเพิ่ม เรื่องนี้ข้ามอบหมายให้เจ้าเป็นคนจัดการ”
“อาซือ วันนี้เจ้ากลับจวนไปก่อนเถอะ”อาซือขยับคิ้วเล็กน้อย “บ่าวต้องปกป้องคุณหนู”“ไม่ต้องให้เจ้ามาปกป้องหรอก หากมีอันตราย คุณชายอวิ๋นจะปกป้องข้าเอง”มองตามแผ่นหลังของนางที่เดินออกไปอย่างมีความสุข ฉินซือถอนหายใจเบา ๆ แล้วถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ “คุณชายอวิ๋น ข้ามาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”หลี่ชิวเตี๋ยเดินไปอยู่ตรงหน้าอวิ๋นมู่ แล้วจงใจสะบัดผม“ไปกันเถอะ”อวิ๋นมู่ไม่มีอารมณ์สักเท่าไร จึงเผยรอยยิ้มแห้ง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่านางรู้จักกับกู้หว่านเยว่ ก็คงไม่มีมื้ออาหารวันนี้หรอกกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจูงมือกันกลับมาถึงจวนกู้ บังเอิญเจอกับปรมาจารย์แพทย์เข้าพอดี“เจ้าเด็กบ้า ๆ ข้ากำลังจะก่อตั้งหุบเขาราชาโอสถ เจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่?”“ท่านเอาจริงหรือ?”กู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจ ปรมาจารย์แพทย์ในความทรงจำของนางเป็นคนที่มีนิสัยไม่ยึดติด แม้แต่การรับศิษย์ก็จำใจรับลั่วยางมาคนเดียว“ก่อตั้งหุบเขาราชาโอสถ มันยุ่งยากมาก”ท่านไม่ใช่คนที่กลัวความยุ่งยากที่สุดหรอกหรือ?”“ข้าเอาจริงแน่นอน”ปรมาจารย์แพทย์ลูบเครา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคิดดูแล้ว วิชาแพทย์ทั้งหมดนี้ไม่ควรจะฝังไปพร้อมกับข
หุบเขาราชาโอสถ ไม่ใช่พวกปลาซิวปลาสร้อยทั่ว ๆ ไปจะเข้ามาได้“เจ้าหนูสกุลซู เรื่องก่อตั้งหุบเขาราชาโอสถ ฝากเจ้าช่วยใส่ใจด้วยนะ”ในที่สุดสายตาของปรมาจารย์แพทย์ก็มองเห็นซูจิ่งสิง ซูจิ่งสิงจูงมือของกู้หว่านเยว่ จากนั้นหยักหน้า“น้องหญิงสนับสนุนท่านผู้อาวุโส ข้าก็สนับสนุนด้วยเช่นกัน”“บ้าเอ๊ย เริ่มอวดความหวานกันอีกแล้ว ข้าไปก่อนละ ไปแล้ว”ปรมาจารย์แพทย์วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วเขาจะรับลูกศิษย์ก่อน จากนั้นหาสถานที่ก่อตั้งหุบเขาราชาโอสถ!“ปรมาจารย์แพทย์เปลี่ยนไปมาก หากเทียบกับเมื่อก่อน”ซูจิ่งสิงจูงมือของกู้หว่านเยว่ แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์แพทย์ไม่เคยสนใจชีวิตความเป็นความตายของใคร“นี่เป็นเรื่องที่ดี”ทั้งสองคนเข้าไปในจวน ไปดูจ้านจ้านที่หลังเรือน เช้าวันรุ่งขึ้น หวังปี้และซูหรานหร่านก็มาจากหมู่บ้านสือหานทั้งสองคนมาเพื่อแสดงความยินดี“ข้าตั้งครรภ์แล้ว”ซูหรานหร่านลูบท้องของนาง บนใบหน้ามีความอ่อนโยนของการที่จะได้เป็นแม่คน“หมอบอกว่าสองเดือนแล้ว”เพราะเป็นหลานสาวแท้ ๆ นางหยางและซูจิ้งก็ยินดีกับนางเช่นกันคิดดูแล้วหวังปี้ก็เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ส่วนซูหรานหร่าน
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้