หนานหยางอ๋องมองตาม พลันตกตะลึงทันที“ปานดอกท้อ เป็นปานดอกท้อจริงๆ หรือ?!”เมื่อเห็นว่าหนานหยางอ๋องตกใจ กู้หว่านเยว่จึงเริ่มกล่าวว่า “ครั้งก่อนเพราะท่านอ๋องผู้เฒ่าเชื่อคนง่ายจึงมีภัยถึงตัว ครั้งนี้ เพราะความปลอดภัย ข้าสามารถทดสอบทั้งสองด้วยผงสายสัมพันธ์ได้”“เหมือน เหมือนกันเหลือเกิน ทั้งยังมีปานนี้อีก...” หนานหยางอ๋องพึมพำกับตัวเองความจริงแล้ว เขาแทบไม่ต้องทดสอบอะไรพวกนั้นเลย อาศัยเพียงสองสิ่งนี้ เขาก็เกือบจะแน่ใจแล้วว่าเมี่ยชิงหว่านเป็นลูกของตนแม่ทัพหลี่นึกขึ้นมาได้ พูดว่า “แม่นางน้อยกู้ นี่ไม่ใช่สหายของท่านหรอกหรือ? ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนเคยเจอนางที่โรงเตี๊ยมมาก่อน”ในเวลานั้น แม่ทัพหลี่ก็ยังนึกแปลกใจ เมี่ยชิงหว่านเหมือนฮูหยินผู้ล่วงลับไปอย่างยิ่งเพียงแต่เขาไม่ทันนึกให้ดี ทั้งยังไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือด เพียงแค่คร่ำครวญว่าบนโลกนี้มีคนสองคนที่คล้ายกันมากเช่นนี้อยู่ด้วยกู้หว่านเยว่พยักหน้าและอธิบายว่า “ความจริงแล้ว ตอนนั้น ข้าเองก็เริ่มสงสัยว่าเมี่ยชิงหว่านเป็นลูกสาวท่านหายตัวไปของท่านอ๋องเพียงแต่ว่าตอนนั้นท่านเองก็ได้พบกับคุณหนูรองตัวปลอม ข้าจึงไม่ได้บอกเรื่องนี
หนานหยางอ๋องและเมี่ยชิงหว่านพูดคุยอยู่ข้างในเป็นเวลาครึ่งชั่วยามครึ่งชั่วยามต่อมา เมี่ยชิงหว่านก็เดินออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ เดินไปหากู้หว่านเยว่“พี่หญิงหว่านเยว่ พี่ใหญ่ซู ท่านพ่อบอกให้พวกท่านเข้าไปเจ้าค่ะ เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับพวกท่าน”แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของหนานหยางอ๋องจะไม่สู้ดีนัก ทั้งยังตกอยู่ในอันตรายเหลือเวลาให้เขาคุยกับเมี่ยชิงหว่านไม่มากนัก เขาต้องรีบจัดเตรียมกำลัง ย้ายคนไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด“เกาซิ่นพาคนออกตามหาครั้งใหญ่อยู่ด้านนอก อยากออกจากลั่วอันโดยไม่เป็นที่สังเกต ยากอย่างยิ่งขอรับ”กู้หว่านเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋องผู้เฒ่า ด้วยอาการบาดเจ็บท่านในตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเจ็ดแปดวันถึงจะเคลื่อนไหวร่างกายได้ ทั้งเส้นทางที่ต้องเดินทางยังขรุขระไม่เรียบง่าย ดังนั้น พักอยู่ที่นี่จึงดีที่สุดแล้ว”หนานหยางอ๋องกระดูกซี่โครงและกระดูกไหปลาร้าหัก เมื่อประกอบกับความชราและการฟื้นตัวที่ค่อยข้างช้า เจ็ดแปดวันถือเป็นเวลาที่ค่อนข้างเร็วแล้วเพราะอย่างน้อย ก็ต้องพักผ่อนถึงครึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำ“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดหรอก”หนานหยางอ๋องมองดูกู้หว่า
ไร้ซึ่งเรื่องต้องกังวลใจ กู้หว่านเยว่ตัดสินใจออกเดินทางไปที่เมืองลั่วอันในคืนนี้ทันที ค้นหาคำตอบที่ต้องการ“ท่านอ๋องผู้เฒ่า สองวันนี้ท่านก็พักผ่อนเยอะๆ นะเจ้าคะ จำไว้ว่าอย่าดีใจหรือเสียใจจนเกินไป และอย่าลุกขึ้นนั่งหรือขยับกายมานัก จะสะเทือนถึงบาดแผล รอฟังข่าวดีจากพวกเราก็พอเจ้าค่ะ”เมื่อมองดูใบหน้าที่มั่นใจของกู้หว่านเยว่ หนานหยางอ๋องที่ตอนแรกไม่ค่อยจะมั่นใจนัก ยามนี้อดรู้สึกไม่ได้ว่ามีความหวังเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว“ข้าจะอยู่ดูแลท่านพ่อ”เมี่ยชิงหว่านเหลือบมองซูจื่อชิง แสดงออกว่าไม่คิดจะตามพวกเขากลับไปที่หมู่บ้านอีก“ได้” สองพ่อลูกเพิ่งได้พบหน้ากัน หนานหยางอ๋องเองก็มีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว เมี่ยชิงหว่านควรอยู่ที่นี่ดูแลเขาจริงๆซูจื่อชิงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย “ข้าจะอยู่ที่นี่ ดูแลท่านอ๋องผู้เฒ่าเป็นเพื่อนเจ้า”หนานหยางอ๋องเหลือบมองชายหนุ่มแล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่ม อยากเป็นลูกเขยข้าหรือ?”“ไม่ใช่นะขอรับ!”ซูจื่อชิงตอบโต้ทันที ใบหน้าแดงก่ำโดยพลัน พึมพำตามท้ายอีกสองสามคำ“นางแค่เป็นคนี่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าเพียงอยากตอบแทนนางเท่านั้น”ไม่กล้ามองดูการแสดงออกของเมี่ยชิงหว่าน เขาเดินออกไ
บางครั้งก็เห็นคราบเลือดแห้งกรังตามข้างถนน ในตรอกยังมีเสียงผู้หญิงกรีดร้องขอความเมตตา“เมืองลั่วอันเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในบรรดาเมืองต่าง ๆ ของแคว้นต้าฉี แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นนรกบนดิน”“เห็นได้ชัดว่าภายในเวลาไม่กี่วัน เกาซิ่นได้ปล่อยให้ลูกน้องของเขาก่อเรื่องชั่วร้ายภายในเมืองมากมายเพียงใดซูจิ่งสิงมองด้วยสายตาเย็นชา กู้หว่านเยว่ยิ่งโกรธจนแทบกัดฟันกรอด อยากจะสั่งสอนคนชั่วพวกนั้นเดี๋ยวนี้เลยเวลานี้ จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนควบม้าพุ่งตรงมาจากข้างหน้า“หลีกไป พวกเจ้าทั้งหมดหลีกไปให้พ้น!”ซูจิ่งสิงรีบดึงกู้หว่านเยว่หลบไปด้านข้าง จากนั้นทั้งสองคนก็เงยหน้าขึ้นมองเห็นเพียงทหารกลุ่มหนึ่งถือแส้ยาวอยู่ในมือ เฆี่ยนตีผู้คนตามท้องถนน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรูปโฉมของกู้หว่านเยว่ดึงดูดคนพวกนั้นหรือไม่ ชายที่เป็นผู้นำรีบขี่ม้าเข้ามา แล้วยิ้มอย่างยั่วยวนให้กับกู้หว่านเยว่“แม่นางน้อยช่างงดงามเหลือเกิน ไปเล่นสนุกกับพวกพี่ ๆ ในตรอกกันเถอะ”“ไสหัวไป!”น้ำเสียงลามกนั่นทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกขยะแขยง คนพวกนี้คงเป็นพวกที่ก่อเรื่องชั่วร้ายในเมืองลั่วอันสินะ?“เจ้ากล้าด่าข้า?” สีหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนไป “
“ใช่แล้ว พวกท่านรีบหนีไปเร็ว!”กู้หว่านเยว่จำภารกิจหลักของตัวเองได้ว่าคืออะไร จึงไม่อยากเสียเวลาที่นี่มากนัก ลากซูจิ่งสิงแล้วหายตัวไปทันทีที่ทั้งสองจากไป กลุ่มทหารลาดตระเวนก็รีบรุดมาถึง“แย่แล้ว ใต้เท้าหลิว ขุนพลเกาเสียชีวิตแล้ว!”หลิวซู่ที่สวมชุดขุนนางสีเขียว หันสายตาออกจากทิศทางที่กู้หว่านเยว่หลบหนี จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “คงเป็นการล้างแค้นส่วนตัว นำศพกลับไปรายงานใต้เท้าเกาก่อนเถอะ”พูดจบ หลิวซู่ก็ขึ้นม้าก่อน โดยไม่มีทีท่าว่าจะไปจับกู้หว่านเยว่เลยทางด้านกู้หว่านเยว่มองไปที่แผ่นหลังของหลิวซู่อย่างครุ่นคิด คนผู้นี้ค่อนข้างแปลก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกเขาหลบหนีไปทางไหน แต่กลับไม่มาจับกุมพวกเขาเมื่อเห็นว่าทุกคนไปหมดแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หยิบแผนที่เมืองลั่วอันออกมาจากมิติ“เราไปที่คุกกันก่อน”คุกอยู่ข้าง ๆ ที่ว่าการอำเภอ เดินต่อไปสามร้อยเมตรก็จะมีบ่อน้ำแห้ง ซึ่งเป็นทางลับที่หนานหยางอ๋องสั่งให้คนขุดไว้โดยเฉพาะ สามารถทะลุออกไปนอกเมืองได้โดยตรงสองสามีภรรยาเดินทางไปยังคุก กู้หว่านเยว่หยิบผงยาออกมา ทำให้ทหารยามหมดสติจากนั้นก็ไปยังสถานที่คุมขังของคนในตระกูลเมื่อทุกคนเห็นกู้หว่านเย
หลังจากปรากฏตัว กู้หว่านเยว่ก็ไม่รอช้า ขว้างมีดสั้นออกไป ปาดคอลูกสมุนที่ไม่ได้มีความสำคัญทั้งหมดเกาซิ่นค่อนข้างเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี ก็หันหลังวิ่งหนีไปทันทีซูจิ่งสิงผลักเขากลับไป“จะ พวกเจ้าเป็นใคร?ใครก็ได้ ช่วยด้วย มีนักฆ่า!” เมื่อเห็นว่าหนีไม่ได้แล้ว เกาซิ่นจึงเริ่มตะโกนกู้หว่านเยว่ค่อย ๆ นั่งลง จากนั้นเอาขาไขว่ห้าง “ข้าแนะนำว่าอย่าตะโกนเลย ทหารยามที่อยู่ข้างนอกถูกข้าวางยาหมดแล้ว”“อะไรนะ?”สีหน้าของเกาซิ่นเปลี่ยนไป แล้วเปลี่ยนเป็นประจบประแจงขึ้นมา“ผู้กล้าทั้งสองท่าน มีอะไรก็พูดกันดี ๆ ข้าล่วงเกินท่านตรงไหนกัน โปรดอภัยให้ข้าด้วย ที่จวนข้ามีทรัพย์สมบัติมากมาย หากท่านทั้งสองชอบ ก็เชิญหยิบไปได้ตามสบาย”สมแล้วที่เป็นขุนนางคนโปรดของฮ่องเต้ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์นี่รวดเร็วจริง ๆ เพียงพริบตาเดียวก็คิดจะติดสินบนพวกเขาเพื่อเอาชีวิตรอดแล้ว“เงินของเจ้า ข้าจะเอา แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าสักสองสามคำถามก่อน”กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลงกับเขา ถามขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดฮ่องเต้สุนัขนั่นถึงลงมือกับหนานหยางอ๋องย่างกะทันหัน“เอ่อ เรื่องนี้...ข้าน้อยก็ไม่ทราบ”
หลิวซู่รีบหันกลับไป แต่กลับพบสายตาหลบเลี่ยงของเกาซิ่น ความหวังสุดท้ายของเขาก็พังทลายลง“เจ้าอย่าไปเชื่อนาง พวกเราเลี้ยงดูนางเป็นอย่างดีมาตลอด เชิญหมอหลวงในวังมารักษานางด้วย”ตอนนั้น น้องสาวของหลิวซู่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง ต้องให้หมอหลวงรักษา เขาจึงยอมเป็นสุนัขรับใช้ของเกาซิ่น คอยทำเรื่องต่าง ๆ ให้“ข้าขอถามท่าน อาการไอของน้องสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”คนตายไปหลายปีแล้ว เกาซิ่นลืมไปตั้งนานแล้วว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นโรคอะไร จึงตอบอย่างคลุมเครือไปว่าดีขึ้นมากแล้ว“ท่านพูดจาเหลวไหล น้องสาวของข้าไม่เคยมีอาการไอ นางป่วยเป็นโรคหัวใจ!”“เอ่อ ข้าจำผิดไปหน่อย ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง พอกลับถึงเมืองหลวงแล้วค่อยไปดูอีกที” คำพูดของเกาซิ่นไม่มีน้ำหนักพอ หลิวซู่จึงระงับอารมณ์ไม่อยู่ ชักดาบที่อยู่ในมือออกมาแล้วแทงเข้าที่อกของเกาซิ่นทันทีเกาซิ่นมองเขาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะล้มลงกับพื้น หลิวซู่ก็ดูเหมือนจะหมดสิ้นความหวัง เขากางแขนทั้งสองข้างออก“ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นคนฆ่าเกาทง พวกท่านเอาชีวิตข้าไปด้วยเลยก็ได้ ถึงอย่างไรข้าอยู่ไปก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว”สิบปีที่เป็นทาสเป็นสุนัขรับใช้ ทำเรื่องที่ขัดต่อม
หวังปี้กล่าวด้วยความกังวล “แต่สภาพร่างกายของท่านอ๋องผู้เฒ่า ไม่สะดวกที่จะเคลื่อนย้ายมิใช่หรือ?”“ไม่เป็นไร ข้าจะเตรียมรถม้าคันหนึ่ง แล้วปูฟูกไว้ข้างในจากนั้นก็เตรียมแคร่ แล้วยกท่านอ๋องผู้เฒ่าขึ้นไปก็จะไม่กระทบกระเทือนบาดแผลของท่านแล้ว”ระหว่างทางมา กู้หว่านเยว่ได้คิดถึงเรื่องนี้แล้ว กองกำลังไล่ล่าจะต้องตามมาถึงในไม่ช้า แผนการในตอนนี้ คือพวกเขาต้องรีบกลับไปที่เจดีย์หนิงกู่“ได้”ตอนนี้ หวังปี้รู้สึกนับถือกู้หว่านเยว่เป็นอย่างมาก“เจ้ามีอะไรก็สั่งข้ามาได้เลย”กู้หว่านเยว่เหลือบมองเวลา ตอนนี้เป็นเวลาสองยาม หรือก็คือประมาณสี่ทุ่มก่อนฟ้าสาง พวกเขาต้องออกห่างจากลั่วอันให้ได้“นี่คือแผนที่จากลั่วอันไปยังเจดีย์หนิงกู่ จุดต่อไปคือเมืองเย่เฉิง ขุนพลหวัง ท่านพาพวกเขาออกเดินทางไปก่อน แล้วทำเครื่องหมายไว้ระหว่างทาง เราจะพบกันที่เมืองเย่เฉิง”หวังปี้รีบรับแผนที่ กู้หว่านเยว่ก็ยื่นกำไลระบุตำแหน่งให้เขา“ท่านสวมกำไลนี้ไว้ที่ข้อมือ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ก็ห้ามถอดออกเด็ดขาด จำไว้ให้ดี!”หวังปี้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเพ่งมอง รีบสวมมันไว้บนข้อมืออย่างว่าง่ายกู้หว่านเยว่หยิบห่อผ้าออ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้