ฉูโจวเจริญรุ่งเรือง ร้านรวงบนถนนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเหมือนกับครั้งก่อน พวกเขาเหล่านักโทษไม่สามารถอาศัยที่ศาลาพักม้าได้เพียงเข้าเมือง ซุนอู่ก็พาทุกคนไปยังโรงเตี๊ยมราคาถูกแห่งหนึ่ง จากนั้นจัดแจงฟูกนอนรวมให้พวกนักโทษหนึ่งห้องครั้งนี้ ทุกคนมิได้เข้าไปแย่งกันนอน แต่กลับเลือกตำแหน่งดีที่สุดไว้ให้พวกกู้หว่านเยว่“แม่นางกู้ เตียงเตาที่อยู่ข้างในนี้ยกให้พวกเจ้านอนก็แล้วกัน”“ใช่แล้ว เตียงเตาข้างในสะอาดที่สุด นอนหลับก็เงียบสงบ ให้พวกเจ้านอนเถอะ”ทุกคนต่างพากันพูดกู้หว่านเยว่ “เช่นนี้เกรงใจ...”“มีอันใดให้เกรงใจกัน หากมิใช่เพราะแม่นางกู้ช่วยพวกเราเอาไว้ พวกเราก็ตายอยู่ในป่าไอพิษตั้งแต่แรกแล้ว”“ใช่แล้วๆ แม่นางกู้อย่าปฏิเสธเลย ไปนอนกับครอบครัวของเจ้าที่ภายในเถอะ”ทุกคนพูดอย่างจริงใจกู้หว่านเยว่มองสถานการณ์ก็ไม่เกรงใจแล้ว มีสถานที่เงียบสงบให้พักผ่อนแห่งหนึ่ง อีกเดี๋ยวสกุลหลินมาก็พูดง่ายแล้ว“ขอบคุณทุกท่านมาก!” กู้หว่านเยว่พูดขอบคุณทุกคน จากนั้นช่วยพวกนางหยางขนของจากเกวียนไปที่เตียงเตาด้านในสุดส่วนทางฝั่งบ้านเก่าสกุลซู พวกเขาเข้ามาเลือกเตียงเตาไม่ทันเสียด้วยซ้ำทันทีที่เข้ามาถึงโ
หลินหรูไห่พูดอย่างรู้สึกผิด “น้าไม่มีความสามารถ หากสามารถเป็นขุนนางคนหนึ่งได้ ก็สามารถดูแลเจ้าระหว่างเดินทางเนรเทศได้”สกุลหลินทำการค้ามาหลายชั่วอายุคน ในมือมีเงินแต่ไร้อำนาจ มีฐานะต่ำที่สุดของสังคมเพราะเหตุนี้ แรกเริ่มสกุลหลินถึงส่งลูกสาวไปแต่งงานที่จวนโหว ปรารถนาเพียงให้นางหลุดพ้นจากชีวิตลำเค็ญ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารหรือเสื้อผ้าอีกใครจะคาดคิด...ชายหลายใจคนนั้นของจวนโหว ถึงขั้นทรมานมารดาของกู้หว่านเยว่จนตายกู้หว่านเยว่รีบปลอบทุกคน“ท่านน้าอย่าโทษตัวเองเลย ยิ่งไปกว่านั้นข้าเพียงถูกเนรเทศ มิใช่ไปตายเสียหน่อยรอไปถึงหนิงกู่ถ่าอย่างปลอดภัยแล้ว ข้าจะต้องเขียนจดหมายถึงพวกท่าน หากภายภาคหน้ามีโอกาสก็สามารถกลับมาพบหน้ากันได้ ข้าจะกตัญญูต่อพวกท่านอย่างแน่นอน”คำพูดรู้ความถูกเปล่งออกมา ทำให้คนเหล่านั้นขอบตาร้อนผ่าว ร้องไห้สะอึกสะอื้นหากเป็นไปได้ พวกเขาอยากรั้งกู้หว่านเยว่ไว้ มิให้นางไปตกระกำลำบากที่หนิงกู่ถ่ากู้หว่านเยว่เห็นพวกเขาร้องไห้โอดครวญยกใหญ่ รู้สึกทุกข์ภายในใจแต่นางไม่มีเวลาเสียใจมากมายนัก ต้องคิดหาทางเล่าเรื่องสกุลหลินถูกโจรปล้น ถึงจะสามารถยับยั้งโศกนาฏกรรมเอาไว้ได้ค
บังเอิญนายท่านผู้เฒ่าหลินเองก็อยากสนทนากับซูจิ่งสิงพอดีอย่างไรเสียกู้หว่านเยว่ก็คือหลานสาวสุดที่รักของพวกเขา ส่วนซูจิ่งสิงเป็นหลานเขยของพวกเขา เป็นคนที่กู้หว่านเยว่ต้องพึ่งพาอาศัยทั้งชีวิตนายท่านผู้เฒ่าหลินมาที่เตียงเตา เพ่งพิศซูจิ่งสิงซูจิ่งสิงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ทำความเคารพเขาในฐานะผู้น้อยทีหนึ่งจากนั้นสุขุมหนักแน่นดุจภูเขาไท่ซาน ตั้งแต่เริ่มจนจบยิ้มน้อยๆ อย่างมีมารยาท ปล่อยให้นายท่านผู้เฒ่าหลินสำรวจตนเองอย่างอิสระอันที่จริง นายท่านผู้เฒ่าหลินไม่ค่อยพอใจซูจิ่งสิงอยู่ภายในใจหลานสาวเพิ่งแต่งงานเข้าไปก็ต้องเดือดร้อนถูกเนรเทศไปด้วยกัน ยังกลายเป็นคนพิการอีก มีครอบครัวญาติที่ใดจะชมชอบแต่สบมองสีหน้าสุขุมหนักแน่นของซูจิ่งสิง นายท่านผู้เฒ่าหลินเองจะไม่ยอมรับคงไม่ได้ ว่าเด็กคนนี้มีรัศมีไม่ธรรมดาเขาเป็นฝ่ายนั่งลงพูดคุยกับซูจิ่งสิงก่อนกู้หว่านเยว่มองอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าซูจิ่งสิงพูดอะไรกับท่านตามองเห็นท่านตาเผยสีหน้าใคร่ครวญหนักใจเป็นอย่างแรก ต่อมาค่อยๆ เผยสีหน้าเลื่อมใสในที่สุดทั้งสองสนทนากันราวสิบกว่านาที ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนแม้กู้หว่านเยว่แปลกใจ แต่กลัวทำให้แผน
“ครอบครัวพวกเขาอยู่อย่างถ่อมตน ไม่เคยมีปัญหากับผู้อื่น ที่เหลือก็มีเพียงศัตรูทางการค้าแล้วส่วนที่สามารถทำเรื่องฆ่าล้างตระกูลพรรค์นี้ได้ จะต้องหาคนชั่วเสียยิ่งกว่าชั่วในยุทธภพ คนเช่นนี้จ้างวานยากนักดังนั้น ข้าจึงถามว่าช่วงนี้มีโจรนักฆ่าหนีมายังฉูโจวหรือไม่”กู้หว่านเยว่ฟังการวิเคราะห์โดยละเอียดของซูจิ่งสิงแล้ว สายตาชื่นชมอย่างอดไม่ได้สมองของชายคนนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้วกระมัง เวลาสั้นๆ ถึงขั้นวิเคราะห์ออกมาได้มากเพียงนี้“ถ้าอย่างนั้นท่านตาสามารถสืบหาคนอยู่เบื้องหลังได้หรือไม่?”“ย่อมได้ เจ้าวางใจ คนมีความคิดลึกซึ้งเพียงนี้มีไม่กี่คน ท่านตาของเจ้าตั้งข้อสันนิษฐานดูสักหน่อยก็เดาออกแล้ว”ซูจิ่งสิงพูดจบ ครู่ต่อมาลูบผมนางเป็นการปลอบนี่เป็นเพราะเรื่องของสกุลหลินทั้งคู่จึงคืนดีกันชั่วคราว ลูบผมแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องอึดอัดใจต่อกัน ถัดมาหันมองอีกฝ่ายสายตาสอดประสานกัน พลันเกิดความรู้สึกประหม่า เบือนหน้าหนีเร็วรี่กู้หว่านเยว่รีบลุกขึ้น พูดอย่างประหม่า “เอ่อ ขอบคุณท่าน...”แววตาซูจิ่งสิงหม่นลง “ครอบครัวของเจ้าก็คือครอบครัวของข้า ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”อะไรเรียกว่าครอบครัวของ
ทางฝั่งนี้กู้หว่านเยว่กินมื้อเย็นอิ่มดีแล้ว ก็นั่งบนเตียงเตาแสร้งหลับตาพักผ่อน เพียงนึกคิดก็เข้าสู่มิติวิเศษตรวจดูหอการค้าแล้วทำให้นางดีใจก็คือ เก้าอี้ไม้หลีฮวาถูกขายไปแล้ว!ยิ่งไปกว่านั้นเพราะนางตั้งราคาอย่างไม่ตั้งใจเพียงหมื่นเดียว ถูกมากเกินไป ผู้ซื้อไม่เพียงไม่ต่อรองราคา ยังเขียนข้อเสนอแนะหนึ่งพันตัวอักษรให้นาง เป็นการแนะนำในหน้าแรกของการค้นหาเรียกความสนใจจากนักสะสมซื้อของสะสมเป็นจำนวนมาก นักสะสมเหล่านี้ต่างทิ้งข้อความไว้ที่หน้าแรกของนาง ถามว่านางยังมีของโบราณขายอีกหรือไม่คราวนี้ ผู้ติดตามของกู้หว่านเยว่ก็เพิ่มขึ้นหลายสิบคนแล้วทันใดนั้นกู้หว่านเยว่กระตือรือร้นขึ้นมาแล้ว ยามนางปล้นก็มิได้ใส่ใจดูสิ่งของที่ได้มาในท้องพระคลังหลวงหรือคลังส่วนตัว นำของใส่ลงไปในมิติวิเศษทั้งหมดอันที่จริงบางอย่างก็ไม่ได้ใช้ แสดงออกมาก็แสดงไม่หมดมิสู้นำของที่ไม่ได้ใช้ทั้งหมดวางลงบนหน้าจอขายสินค้า ให้ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นเงินจากนั้นใช้เงินเหล่านี้ ไปซื้อของภายในหอการค้าเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงสามารถขายสินค้าที่ปล้นมาเหล่านี้ออกไป ยังสามารถซื้อสินค้าในยุคปัจจุบันเข้ามาได้อีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น หอกา
ก่อนนี้กู้หว่านเยว่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเงินในกระเป๋ามาจากที่ใด บัดนี้มีสกุลหลินบังหน้า นางจับจ่ายขึ้นมาก็ไม่ต้องปิดบังเลยแม้แต่น้อยเสื้อผ้าเครื่องนอน เสบียงอาหาร ยังซื้อเสื้อฟางกันฝนเตรียมไว้ใช้ในยามจำเป็นขณะเตรียมของสำหรับครอบครัวตนเอง นางเองก็ไม่ลืมพวกสกุลเหยียนและสกุลเซิ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซื้อให้พวกเขาอีกเล็กน้อยแค่เพียงเล็กน้อย รับรองว่าพวกเขาไม่มีวันหิวตายก็พอ มากไปนางกู้หว่านเยว่มิใช่พระแม่ ไม่สามารถมอบให้ได้กระนั้นสิ่งนี้ทำให้กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด ต้องให้พวกเขาพยายามหามาด้วยตนเองถึงจะใช้ได้หาปลาให้คนกินมิสู้สอนคนจับปลา พึ่งพานางไปตลอดมิใช่หนทางแก้ปัญหาทว่านี่คือความคิดเกิดขึ้นชั่วขณะของกู้หว่านเยว่ ส่วนต้องทำเยี่ยงไร ยังต้องให้นางคิดดีๆทางฝั่งนี้ จางเอ้อร์และพวกนักการศาลาว่าการเห็นกำลังการซื้อของกู้หว่านเยว่แล้ว แต่ละคนล้วนตกตะลึงอ้าปากค้างดูท่าแล้วสกุลหลินมอบเงินให้ไม่น้อย หาไม่แล้วคงไม่จับจ่ายตามสะดวกได้มากเพียงนี้“พี่ใหญ่จาง ข้าอยากไปดูสกุลหลินสักหน่อย” กู้หว่านเยว่ซื้อของเรียบร้อยแล้วก็วางบนลาเทียมเกวียน หันหน้าปรึกษาจางเอ้อร์“ท่านอยากไปดูบ้าน
“อยู่ต่อหน้านักการแห่งศาลาว่าการก็กล้าตีคน เจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง?”จางเอ้อร์และนักการแห่งศาลาว่าการอีกสองคนยืนขนาบข้างกายกู้หว่านเยว่ ช่วยสนับสนุนนางแม้ไม่รู้เพราะเหตุใดกู้หว่านเยว่ต้องช่วยออกหน้าแทนคนไม่รู้จัก แต่คนเหล่านี้ล้วนเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่โดยไม่มีเงื่อนไขยิ่งไปกว่านั้นคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าของร้าน พวกเขาเองก็ได้ยินแล้ว เจ้าของร้านคนนี้เป็นพวกรังแกคนอ่อนแอกว่าคนหนึ่ง“บัณฑิตคนนี้ไม่อยากขายตำรับให้เจ้า เจ้าก็แย่งเขา? ไฉนเลยจะปล่อยให้เจ้าทำเช่นนี้ได้?”“เข้าใจผิดๆ ก็คือพวกเดียวกันไม่รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันดุจน้ำหลากลงวัดมังกร พวกใต้เท้าอย่าถือสาเลย” เจ้าของร้านเองก็คิดไม่ถึง ตนเองตีคนจนคุ้นชินแล้ว วันนี้ถึงขั้นยังมีนักการแห่งศาลาว่าการขวัญกล้ามาดูแล รีบเอ่ย “เป็นเจ้าคนนี้พูดว่าต้องการขายตำรับอาหารให้ข้า ผลปรากฏว่านึกเสียใจภายหลังแล้ว ท่านว่านี่เขามิใช่กำลังหลอกคนหรือ?”เว่ยเฉิงเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก เปล่งเสียงหนัก “ตำรับนี้ข้าขายหนึ่งร้อยตำลึง เจ้ากลับให้เพียงสิบตำลึง ไม่ให้เจ้าก็แย่งไป ข้าว่าเจ้าไม่ใช่เจ้าของร้าน เป็นโจรต่างหาก!”“เจ้า!” ใบหน้าเจ้าของร้านแดงก่ำ ให้ตายเ
ทว่าน่าเสียดายหญิงเช่นนี้ สุดท้ายกลับถูกผู้คุมนักโทษขืนใจจนพุ่งชนกำแพงตายหากนางจำไม่ผิด ตำรับอาหารเลิศรสในมือเว่ยเฉิงนี้ สุดท้ายถูกพระเอกหวายหนานอ๋องนำไปขายหวายหนานอ๋องเองก็กลายเป็นผู้ค้นพบพรสวรรค์ของเว่ยเฉิง สำหรับเขาก็คือผู้มีบุญคุณต่อกันกู้หว่านเยว่ครุ่นคิด หากตำรับอาหารนี้ถูกสกุลหลินซื้อไปถ้าอย่างนั้นใช่หรือไม่ว่าบุญคุณที่หวายหนานอ๋องมีต่อเว่ยเฉิง ก็ไม่มีเฉกเดียวกัน ส่วนจุดจบของเว่ยเฉิงเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้?ระหว่างครุ่นคิด เรือนสกุลหลินอยู่ข้างหน้าแล้วนายท่านผู้เฒ่าหลินกำลังคิดจะไปหากู้หว่านเยว่อยู่พอดี ครั้นมองเห็นนางสีหน้าก็ยังมีความกลัวติดอยู่“ต้องขอบคุณความฝันนั้นของเจ้า เมื่อคืนพวกเราจับพวกโจรชั่วได้แถวเรือนจริงๆ หลังมอบคนให้ทางการแล้ว ก็ทรมานให้เผยตัวคนลงแรงอยู่เบื้องหลังออกมาหากมิใช่พวกเจ้าเตือนได้ทันเวลา อีกสองวันพวกเขาก็จะลงมือแล้ว เมื่อนั้นก็สายไปแล้วล่ะ”นายท่านผู้เฒ่าหลินพูดไป เหงื่อเย็นผุดออกจากแผ่นหลังเรื่องนี้พูดง่าย แต่เกิดขึ้นจริง พวกเขาทั้งครอบครัวยี่สิบกว่าคน ล้วนต้องตายไม่มีใครรอด!บัดนี้เขารู้สึกโชคดีเหลือเกิน เมื่อวานฟังคำเตือนของกู้ห
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป