ต้าซานรู้สึกเหมือนได้รับเผือกร้อน “ข้ารับไว้ไม่ได้!”“ท่านอ๋องผู้เฒ่า ปีนั้นชาวบ้านของเราถูกโจรลักพาตัวไป ขุนนางท้องถิ่นก็ไม่สนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน คนในครอบครัวของเราคงตายไปนานแล้ว ท่านคือผู้มีพระคุณของเรา พวกเรารับเงินนี้ไว้ไม่ได้!”หนานหยางอ๋องส่ายหน้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “รับไว้เถอะ เอาไปสร้างสถานศึกษาในหมู่บ้าน แล้วส่งเด็ก ๆ ไปเรียนหนังสือ”ต้าซานตกตะลึง น้ำตาคลอเบ้าทันทีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เด็ก ๆ มาเยี่ยมท่านอ๋องผู้เฒ่าด้วยกัน และพูดถึงความปรารถนาที่จะได้เรียนหนังสือเหมือนเด็ก ๆ ในเมืองโดยไม่ได้ตั้งใจไม่คิดเลยว่าท่านอ๋องผู้เฒ่าจะจำใส่ใจ ต้าซานจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป เขารับเงินนั้นไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านอ๋อง พวกเราจะรอท่านกลับมา เราจะเป็นประชาชนของท่านตลอดไป”“ดี ดี!” หนานหยางอ๋องขอบตาแดงเล็กน้อย“ท่านอ๋อง นี่คืออาหารที่พวกเรานำมา ท่านทานระหว่างทางนะ” ชาวบ้านต่างนำซาลาเปา มันเทศ และผักกาดขาวมาใส่ในรถม้าจนเต็มรถม้าออกเดินทางในยามค่ำคืน เคลื่อนตัวไปบนถนนอย่างช้า ๆ ชาวบ้านที่มาส่งต่างคุกเข่าลงกับพื้นกู้หว่านเยว่ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “หนานหยางอ๋
กู้หว่านเยว่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เหตุใดเจ้าของโรงเตี๊ยมถึงมีท่าทีแบบนี้ในการทำธุรกิจ?“นี่คือโรงเตี๊ยมไม่ใช่หรือ พวกเรามาพัก”“อ้อ” ชายคนนั้นมองไปที่รถม้าหลายคันซึ่งอยู่ด้านหลังพวกเขา ดวงตาก็เบิกกว้างทันที และน้ำเสียงก็กระตือรือร้นขึ้นมา“ข้าไม่ได้ตั้งตัว เชิญทุกท่านเข้ามาข้างในเถอะ”พูดจบก็เปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป“ที่นี่เป็นร้านของเราสองสามีภรรยา ปกติแล้วก็ต้อนรับแขกที่เดินทางผ่านไปมา ช่วงนี้ ทางตอนเหนือมีภัยพิบัติจากหิมะตก มีพวกโจรลักลอบข้ามมาเยอะ จึงปิดประตูไว้ตลอด”ชายคนนั้นลูบมือ แล้วเรียกภรรยาและลูกสาวของเขาออกมาเพื่อต้อนรับกู้หว่านเยว่และคนอื่น ๆ “มีห้องว่างอยู่หลายห้องที่บริเวณเรือนหลัง ด้านซ้ายมีคนเข้าพักอยู่แล้ว ด้านขวายังว่างอยู่ พวกท่านเลือกได้ตามสบายเลย”“ขอบคุณ” กู้หว่านเยว่ถามราคาค่าห้องพักต่อคืน รู้สึกว่าราคาก็พอรับได้ประกอบกับไม่สามารถหาโรงเตี๊ยมอื่น ๆ ได้ในบริเวณใกล้เคียง จึงให้ซูจื่อชิงจูงม้าเข้าไปในลานบ้าน“ให้ข้าทำ ข้าทำเอง” ลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมก้าวเข้ามา แล้วจ้องมองซูจื่อชิงตาไม่กะพริบ“ก็ได้” กู้หว่านเยว่พูดกับซูจื่อชิง “เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยชิงหว่าน
“ก็ได้” ป้าเสิ่นเหลือบมองห่อผ้าที่โป่งออกมาด้านหลังของกู้หว่านเยว่ เลียริมฝีปาก สายตาของนางเต็มไปด้วยความโลภแต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็กลับมาทำหน้าตาซื่อ ๆ อีกครั้งกู้หว่านเยว่เห็นว่าฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว จึงหยิบเสบียงแห้งออกมาบางส่วน และนำเนื้อตากแห้งออกมาจากมิติ เรียกให้ทุกคนมารับประทานอาหารด้วยกัน“จื่อชิงล่ะ?” ทุกคนมาแล้ว แต่ไม่เห็นซูจื่อชิงเมี่ยชิงหว่านเอ่ยเสียงเบา “เมื่อกี้ยังเห็นเขาคุยกับลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมอยู่ในลานบ้านเลย”“เรากินกันก่อนเถอะ”น้ำเสียงของซูจิ่งสิงเย็นชาเล็กน้อยหลังจากทุกคนทานข้าวเสร็จ ก็เห็นว่าถึงเวลาเข้านอนแล้ว แต่ซูจื่อชิงยังไม่กลับมากู้หว่านเยว่รู้สึกกังวลเล็กน้อย ถึงอย่างไรซูจื่อชิงก็ไม่มีวรยุทธ์“ข้าจะออกไปดู เจ้ารอข้าอยู่ในห้อง” ซูจิ่งสิงก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเจ้าเด็กนี่ ชอบสร้างปัญหาให้เขาจริง ๆ “ท่านรีบไปรีบกลับนะ” กู้หว่านเยว่หยิบหน้าไม้ออกมาจากมิติ แล้วมัดไว้ที่แขนของตัวเอง และโรยผงพิษไว้ที่ตัวเล็กน้อยปรากฏว่า ซูจิ่งสิงเพิ่งจะออกไปได้ไม่ทันไร กู้หว่านเยว่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่หน้าประตูจากนั้น ป้าเสิ่นที่เจ
“บ่อย ๆ อะไรกัน?” ซูจื่อชิงหน้าแดงก่ำ จากนั้นพูดแก้ตัวเสียงเบา “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”“ครั้งเดียวยังไม่พออีกหรือ? ข้าบอกแล้วว่าครอบครัวนี้มันแปลก ๆ ให้เจ้าระวังตัวหน่อย แต่พอเจ้าเห็นเขาร้องไห้สะอึกสะอื้น เจ้าก็ใจอ่อนแล้ว น่าขยะแขยงจริง ๆ ”ซูจื่อชิงเบิกตากว้าง “อะไร ใจอ่อนอะไรกัน ข้าไม่ได้ใจอ่อนสักหน่อย”เขาไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเตี่ยจะใช้ความเห็นใจของเขา นี่มันไม่ใช่ใจอ่อนสักหน่อย?“มีคนมาแล้ว หุบปาก!” กู้หว่านเยว่ถลึงตาใส่ซูจื่อชิง แล้วรีบห้ามเขาเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกประตูเจ้าของร้านเสิ่นเดินเข้ามา“ให้ตายสิ คราวนี้เราได้ผลประโยชน์เยอะเลยนะ พวกเขาสองครอบครัวรวยมากทั้งคู่”นอกจากกู้หว่านเยว่และคนอื่น ๆ แล้ว ยังมีอีกครอบครัวหนึ่งอยู่ที่มุมห้อง พวกเขากำลังกอดกันตัวสั่นเทาป้าเสิ่นดวงตาเป็นประกาย แล้วนับเงินอยู่ข้าง ๆ ส่วนเจ้าของร้านเสิ่นก็จ้องพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาและน่าขนลุก“คนเยอะขนาดนี้ พอจะทำซาลาเปาเนื้อได้เยอะเลย”ซาลาเปาเนื้อ?ครอบครัวที่อยู่ตรงมุมห้องก็เริ่มอาเจียนออกมาอย่างรุนแรง กู้หว่านเยว่ได้สติกลับคืนมา สีหน้าของนางก็แสดงความน่าขยะแขยงออกมาเช่นกันครอบครัวนี้
แต่กู้หว่านเยว่ไม่ได้คิดที่จะเข้าไปช่วยในทันที ซูจื่อชิงหุนหันพลันแล่นและเชื่อคนง่าย นางตั้งใจจะปล่อยให้เขาได้รับบทเรียนบ้างทางด้านซูจื่อชิง เขาแทบจะบ้าคลั่งแล้ว ตะโกนด่าทอด้วยความโมโห“พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ อย่าให้ข้ากินยา เจ้ามันคนสารเลว ข้าเห็นเจ้าแล้วก็อยากจะอาเจียน”เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ถึงได้หลุดปากพูดคำหยาบออกมา เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่หน้าด้านขนาดนี้มาก่อน ให้เขาแต่งงานกับเสี่ยวเตี่ยสู้ให้เขาตายไปเลยยังจะดีเสียกว่า“เจ้าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้เจ้าต้องเข้าหอกับข้าซะดี ๆ แล้วปีหน้าเราก็จะมีลูกอ้วนท้วนด้วยกัน และสืบทอดกิจการของพ่อข้าไปด้วยกัน”สายตาของเสี่ยวเตี่ยดูบ้าคลั่งเล็กน้อย นางหยิบหญ้าหมูติดสัดขึ้นมา จากนั้นยัดเข้าไปในปากของซูจื่อชิงซูจื่อชิงถูกมัดเอาไว้ ขยับตัวไม่ได้ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ จากนั้นตะโกนด่าทอเสียงดังเมี่ยชิงหว่านก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย ทันใดนั้น กู้หว่านเยว่ก็สะบัดตัวเองให้หลุดจากเชือก แล้วพุ่งเข้าไปเตะเสี่ยวเตี่ยจนกระเด็นออกไป“โอ๊ย!” เสี่ยวเตี่ยล้มลงกับพื้นอย่างน่าเวทนา“ลูกสาว!” ป้าเสิ่นและเจ้าของร้านเสิ่นส่งสายตาดุร้าย แล้วต่างคนต่างคว้าไม้ขึ้
การที่พวกเขาใช้วิธีนี้ ไม่เพียงแต่จะแก้ไขความอดยากได้ ซ้ำยังเก็บเงินได้อีกไม่น้อยด้วยหลังจากที่สองสามีภรรยาได้ลิ้มลองความหอมหวานจากผลประโยชน์ พวกเขาก็ไม่เคยได้สัมผัสกับความอดยากอีกเลย ทั้งยังเปิดธุรกิจสีดำมานานเป็นสิบปีคนผ่านทางที่เคยสัญจรเข้ามาต่างถูกฆ่าตายนับไม่ถ้วนกู้หว่านเยว่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ซูจิ่งสิงกล่าวว่า”ไว้เป็นหน้าที่ของข้า จะได้ไม่ต้องมีภาพติดตาด้วย”กู้หว่านเยว่พยักหน้า จากนั้นก็เก็บรวบรวมทรัพย์สินมีค่านางตั้งใจว่าหลังจากนี้หากเจอคนจนระหว่างทาง ค่อยแจกจ่ายของมีค่าเหล่านี้ ถือว่าเป็นการระบายความขุ่นเคืองในใจด้วยหลังจากค้นหาหนึ่งรอบ ทั้งสองคนก็รวบรวมหลักฐานทั้งหมด ก่อนจะกลับไปยังลานกว้างด้านหลังอีกครั้ง“ฮูหยิน ปล่อยพวกเราไปเถอะ ขอแค่ท่านเมตตาลดหย่อนผ่อนผัน เงินก็ไม่ใช่ปัญหา”เจ้าของร้านเสิ่นยังไม่รู้ว่ากู้หว่านเยว่ไปทำไม ยังพยายามเจรจาต่อรองกับนางอย่างไม่ลดมานะ“ขอปฏิเสธ สามีของข้าได้สั่งให้คนไปรายงานต่อเจ้าหน้าที่แล้ว เจ้ารอบรับทลงโทษตามกฎหมายได้เลย”“ฮูหยิน อย่าทำเช่นนี้ จับข้าไว้แล้วท่านจะได้ประโยชน์อะไร ....” เจ้าของร้านเสิ่นหน้าซีดเผือด ก่อนจะกล่าวอย่า
จี้ฮั่นโม่ยกมือปาดเหงื่อ ซูจื่อชิงไม่ใช่คนโง่ รีบพยักหน้าตอบรับ“ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าจะปิดปากเงียบไม่บอกใคร เรื่องที่เจอพวกเราที่นี่วันนี้หวังว่าใต้เท้าจะเก็บไว้เป็นความลับนะเช่นกัน”“คุณชายน้อย อย่าฆ่าข้าเลย ข้ายอมรับใช้ท่าน”ในขณะที่ทั้งสองกำลังพร่ำพรรณนานั้น เสี่ยวเตี่ยน้อยรีบสบโอกาสขอร้องซูจื่อชิงด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ข้าชอบคุณชายจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าสัญญาว่าหลังจากวันนี้ไป ข้าจะปรนนิบัติท่านอยู่บนเตียงอย่างเต็มที่”ซูจื่อชิงแทบหงายหลัง“ไสหัวออกไป! ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาปรนนิบัติข้า น่ารังเกียจ สตรีแพศยาจิตใจโหดเหี้ยมเช่นเจ้า อยู่ห่างได้ยิ่งดี!”“คุณชาย ข้ารักท่านจริง ๆ นะเจ้าคะ”เสี่ยวเตี่ยอยากจะพูดบางอย่าง แต่จู่ ๆ ก็มีบุคคลปริศนาสามคนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซูจิ่งสิงพาผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนสองคนเดินเข้ามา “พวกเราเก็บของ แล้วรีบออกไปจากที่นี่ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เมื่อมีการมาถึงของผู้ตรวจการ ย่อมมีการถามถึงชื่อเสียงเรียงนามเพื่อไม่ให้ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น พวกเขาต้องออกไปจากที่นี้ก่อนกู้หว่านเยว่เข้าใจความหมายของซูจิ่งสิง จึงให้คนเหล่านั้นเก็บข้าวของ พาหนานหยางอ๋องกระโดดขึ้
ในขณะที่รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทันใดนั้นเสียงตะโกนด้วยความร้อนใจก็ดังมาจากด้านหลัง“น้องหญิง น้องหญิงเจ้าอดทนไว้นะ!”“เกิดอะไรขึ้น?”กู้หว่านเยว่ออกมาจากห้วงมิติ เมื่อครู่นางแอบงีบหลับอยู่ในห้วงมิติ และอาบน้ำจากในนั้น“ดูเหมือนภรรยาของใต้เท้าจี้จะเกิดเรื่องเสียแล้ว”ทันทีที่ซูจิ่งสิงกล่าวจบ จี้ฮั่นโม่ก็วิ่งมาจากด้านหลัง ขวางรถม้าไว้“คุณชายซู ซูฮูหยิน ขอข้ายืมม้าของท่านไปหาหมอในเมืองได้หรือไม่ ภรรยาของข้ามีเลือดออก”กู้หว่านเยว่เปิดม่านจากข้างใน ท่ามกลางแสงตะวันในตอนรุ่งสาง นางเห็นจี้ฮั่นโม่ที่กำลังอุ้มทารกน้อยไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็แบกฮูหยินไว้บนหลัง โดยมีเลือดสีแดงฉานจากตัวจี้ฮูหยินหยดลงบนหิมะมาตลอดทาง“ฮูหยินของเจ้าเป็นอะไร?”จี้ฮั่นโม่รีบกล่าว “นางเพิ่งคลอดลูกขอรับ แต่ร่างกายของนางยังไม่ฟื้นตัวดี นางติดตามข้ามาตลอดทาง วันนี้อาจเพราะตื่นตระหนก จึงทำให้นางเสียเลือดไม่หยุด”เขาหันกลับไปมองจี้ฮูหยินด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ เมื่อเห็นว่ากู้หว่านเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด จึงคิดว่านางคงไม่ให้ยืมม้าแน่ จึงรีบกล่าวว่า “ขอร้องฮูหยินโปรดช่วยข้าด้วย ข้ายอมรับใช้ฮูหยินไปตลอดชีวิต
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป