ชายคนนั้นดูเหมือนจะอดใจรอไม่ไหวเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สวีหลานก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทั้งที่ทำมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว นางก็ยังไม่ท้องเสียที“ข้าว่าเจ้าคงไม่มีปัญหาหรอกกระมัง?”สวีหลานมองชายคนนั้นด้วยความสงสัยคำพูดนี้ไปกระทบความภาคภูมิใจของชายคนนั้น เขาโอบกอดสวีหลานแล้วเอ่ยขึ้น“ข้ามีปัญหาหรือไม่มีปัญหา เจ้าไม่รู้หรือไร เช่นนั้นก็ให้เจ้ามาลองด้วยตัวเอง!”เห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะเริ่มต้นบทรักกันอีกครั้ง กู้หว่านเยว่ที่อยู่นอกประตูไม่อยากดูต่อแล้ว จึงพังประตูเข้าไปโดยตรงสวีหลานและชายคนนั้นกำลังเพลิดเพลินอยู่ในห้วงรัก ไม่คิดเลยว่าจะมีคนบุกเข้ามาจากข้างนอกทั้งสองคนหน้าถอดสี จากนั้นสวีหลานก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว กดปุ่มกลไกที่อยู่บนเตียง ผนังก็เปิดออกเผยให้เห็นทางลับ นางรีบวิ่งหนีเข้าไปในทางลับนั้นทันทีชายคนนั้นดึงกางเกงขึ้น แล้วรีบตามไป“หยุดนะ!”กว่าจะคว้าโอกาสนี้มาได้ ซูจิ่งสิงจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร จึงพุ่งไปข้างหน้าแล้วคว้าคอเสื้อด้านหลังของชายคนนั้นไว้คิดไม่ถึงเลยว่าชายคนนี้ก็มีวรยุทธ์เหมือนกัน เขาถดตัวกลับมาด้านใน หลบไปได้อย่างคล่องแคล่วคราวนี้ซูจิ่ง
“อย่าพูดเลย เจ้าจะมีเงินสักเท่าไหร่กัน”กู้หว่านเยว่มองร่างเปลือยเปล่าของสวีหลานด้วยความรังเกียจ ไม่อยากจะพูดอะไรมากมาย จึงทุบนางจนสลบไปมองไปยังเณรน้อยและสวีหลานที่ล้มอยู่บนพื้น กู้หว่านเยว่ก็เอื้อมมือไปจับคอเสื้อด้านหลังของพวกเขาจากนั้นก็หายตัวไปในพริบตา มาถึงที่หน้าห้องท่านหลี่โหว“หว่านเยว่?”ซูจิ่งสิงได้ยินเสียง ก็รีบพุ่งออกมา เมื่อเห็นว่ากู้หว่านเยว่ปลอดภัยดี แต่ก็อดถามไม่ได้ว่า“เจ้าไม่เป็นไรนะ?”“จะไปเป็นอะไรได้ล่ะ”เห็นความกังวลของซูจิ่งสิง กู้หว่านเยว่ก็แลบลิ้นแล้วอธิบายหนึ่งประโยค“ท่านก็รู้ว่าข้ามีความสามารถขนาดไหน”ซูจิ่งสิงรู้ แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้“ต่อไปห้ามทำอะไรคนเดียวเด็ดขาด”“รู้แล้วน่า”เมื่อครู่ประตูหินปิดลงเร็วเกินไป กู้หว่านเยว่ไม่ทันได้คิดอะไรมาก ก็รีบพุ่งตัวเข้าไปเลยเพราะว่าครั้งนี้ถ้าปล่อยให้สวีหลานหนีไป ต่อไปคงจะยากที่จะหาหลักฐานสำคัญขนาดนี้ได้อีก“อุโมงค์นั้นตรงไปยังห้องพระเล็ก ๆ ข้าเดาว่าพระปลอมนั่นคงจะมาที่นี่ทุกวันผ่านอุโมงค์นี้ เพื่อมาพบกับสวีหลาน พอเสร็จกิจ ก็กลับไปที่ห้องพระเล็ก ๆ ผ่านทางอุโมงค์”เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้คนอื่นได้ยิน
เรื่องนี้ก็ใกล้เคียงกับสิ่งที่กู้หว่านเยว่ได้ยินมาเมื่อครู่เวลานี้ สวีหลานเกลียดผู้ชายคนนี้เข้ากระดูกดำ“เจ้ามันไอ้ขี้ขลาดตาขาว พอโดนจับได้ก็ขายข้าจนเกลี้ยง ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฆ่าเจ้าทิ้งตั้งแต่แรกก็ดี!”ผู้ชายคนนั้นหดคอด้วยความกลัว “ข้าก็ไม่มีทางเลือก เจ้าไม่เห็นหรือว่าสองคนนั้นจะฆ่าข้าแล้ว ถ้าพวกเขาฆ่าข้าจริง ๆ เจ้าก็ต้องเสียดายแน่ ๆ !”สวีหลานโกรธจนตาแดงกู้หว่านเยว่เหลือบมองท่านหลี่โหวที่นอนอยู่บนเตียง ถูกทรมานจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว รู้สึกว่าท่านหลี่โหวน่าสงสารจริง ๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ยังต้องมาทนดูภรรยาเล่นชู้กับชายอื่นต่อหน้าต่อตาอีกแม้แต่คนที่ถูกสวมเขาก็ยังไม่น่าอนาถขนาดนี้หลังจากเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสวีหลานกับผู้ชายคนนี้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปมองสวีหลาน แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง“ท่านหลี่โหวเป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมอง นี่เป็นฝีมือเจ้าหรือไม่?”“ไม่ใช่ข้า”สวีหลานจะยอมรับได้อย่างไร ถ้ายอมรับ นางไม่ตายแน่ ๆ หรือ?นางเหลือบมองท่านหลี่โหว แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ“ท่านโหวเป็นอัมพาตเอง ไม่เกี่ยวกับข้าหลังจากที่เขาเป็นอัมพาต ข้าก็ดูแลเขาอย่างดี กินดีอยู่ดี เ
“หญิงชั่ว เจ้ามันหญิงชั่วจริง ๆ ”หลี่เฉินอันส่ายหน้า“หึ ข้าก็แค่ปกป้องตัวเอง”เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว สวีหลานจึงยอมเปิดเผยทุกอย่าง“ท่านแม่เจ้าเป็นคนดีแล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือข้าไม่ใช่หรือ?แต่พ่อของเจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร ตอนนั้นเพื่อตำแหน่งโหว เขาจึงต้องแต่งงานกับข้า ทำให้ข้าต้องพลัดพรากจากคนที่ข้ารักแต่พอแต่งกับข้าแล้ว เขาก็ไม่เห็นค่าของข้า! เขาสมควรตาย! เขาติดค้างข้า พวกเขาทั้งหมดติดค้างข้า!”หลี่เฉินอันขมวดคิ้วแน่น เขายังอายุน้อย สิ่งที่สวีหลานพูดออกมานั้น ชัดเจนว่ามันเกินกว่าที่เขาจะรับไหว“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปที่หอบรรพบุรุษ และจะเปิดเผยความผิดทั้งหมดของเจ้าต่อหน้าทุกคน”หลี่เฉินอันข่มขู่“เจ้าควรจะอธิบายสาเหตุการตายของแม่ข้าให้ชัดเจน อย่าใส่ร้ายนาง!”สายตาของสวีหลานสั่นไหว “ถ้าอยากให้ข้าแก้ต่างให้แม่ของเจ้า ก็ได้แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร ตอนนี้นางเห็นชัดเจนแล้วว่านางแพ้ข้างกายหลี่เฉินอันมียอดฝีมือสองคน นางหนีไม่พ้นหรอก“เจ้าอย่าหวัง” หลี่เฉินอันไม่อยากถูกนางข่มขู่“เช่นนั้น เจ้าฆ่าข้าแ
“ทั้งหมดนั่นก็แค่หลอกเจ้า ใครใช้ให้เจ้าให้เงินข้ามากมายเช่นนั้น ข้าก็ต้องพูดอะไรดี ๆ ให้เจ้าฟังสิ”“ทะ ท่าน...อุ๊บ!” สวีหลานคงไม่คาดคิดว่าจางเย่ว์จะพูดเช่นนี้ นางโกรธจนกระอักเลือดออกมา แล้วล้มลงไปบนตัวจางเย่ว์อย่างอ่อนแรงจางเย่ว์เหมือนอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง รีบผลักสวีหลานออกจากตัวเขา“ตอนนี้พวกท่านคงเชื่อแล้วสินะ ขอแค่พวกท่านปล่อยข้าไป ข้ารับรองว่าจะไม่แก้แค้นอ้อ แล้วก็ข้ายังสามารถช่วยเป็นพยานให้พวกท่าน เปิดโปงนางด้วย”ในขณะที่จางเย่ว์กำลังเอาตัวรอด เขาก็ไม่ลืมที่จะหักหลังสวีหลานแม้ว่ากู้หว่านเยว่จะเกลียดสวีหลานมาก แต่ในเวลานี้ก็อดสงสารนางไม่ได้ผู้ชายคนนี้ น่ากลัวมากจริง ๆ !”“น้องหญิง ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่มีวันเป็นแบบนี้”ซูจิ่งสิงรีบเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองจางเย่ว์ด้วยสายตารังเกียจ เขาตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไร ชีวิตของจางเย่ว์ก็ต้องจบลง“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ ท่านรักข้า”สวีหลานยังคงส่ายหัว“ข้ารู้ว่าท่านรักตัวกลัวตาย นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกที่ท่านพูดเพื่อเอาตัวรอดแน่ ๆ ข้าไม่โทษท่านหรอก พี่เย่ว์”“ไม่ ข้าไม่ได้รักเจ้าจริง ๆ ”จางเย่ว์กลอกตาไปมา ไม่รู้ว่าสำนึกผิดห
ซูจิ่งสิงมองตามสายตาของกู้หว่านเยว่ กระทั่งเห็นบุรุษผมขาวผู้หนึ่งเดินนำผู้ติดตามเข้ามาอีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีดำทมิฬ ขับให้ผมสีขาวของเขาดูโดดเด่นมากขึ้น ยามเขาเดินอยู่บนถนนก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนในบริเวณนั้นไปไม่น้อยบุรุษผมขาวมีท่าทีนิ่งสงบ สายตามองตรงไม่มีไขว่เขวแต่จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาของสองสามีภรรยากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง จนต้องหันไปมองพวกเขาเมื่อสายตาประสานกัน ในใจของกู้หว่านเยว่กลับไม่ได้รู้สึกเกลียงชัง ทั้งยังพยักหน้าเล็กน้อยให้บุรุษผมขาวเพื่อแสดงความเป็นมิตรนัยน์ตาของจงหลี่วูบไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมสตรีผู้นี้ถึงทำให้เขารู้สึกคุ้นหน้ายิ่งนักแต่น่าเสียดายที่กู้หว่านเยว่ใส่ผ้าคลุมหน้า เขาเห็นแค่ดวงตาคู่นั้นแม้ว่าจะเห็นเพียงดวงตาคู่นั้น แต่เรื่องที่น่าแปลกใจก็คือ จงหลี่เกิดความรู้สึกดีกับเจ้าของดวงตาคู่นี้เขาผู้ซึ่งไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า แม้ว่าจะอยากเข้าไปทำความรู้จักกับกู้หว่านเยว่แต่กู้หว่านเยว่กลับละสายตากลับไป นางชอบดูคนซุบซิบนินทากันแต่ก็ได้แค่ดูเท่านั้น ในใจของนางยังอยากเดินเล่นตลาดในเมืองอวี้ อยากเห็นว่าเมืองอวี้แห่งนี้เป็นอย่างไร“ท่านพ
กู้หว่านเยว่กำชับสั้น ๆ หลี่เฉินอันพยักหน้าน้อมรับคำสั่งทั้งสามคนเดินมาถึงห้องโถง มู่หรงอวี้กำลังรออย่างกระวนกระวายใจ จากเมืองตู้เปียนมาถึงเมืองอวี้ เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางเดียวกับโรงเตี๊ยมเลยสักนิด ทุกคนรู้ดีว่าเจดีย์หนิงกู่นั้นยากจน แต่ไม่คิดว่าจะยากจนข้นแค้นเช่นนี้มู่หรงอวี้เดินทางอยู่หลายวัน แทบไม่ได้ล้างเนื้อล้างตัวเลย คนกลัวความสกปรกอย่างเขาจึงค่อนข้างทรมานจนแทบทนไม่ไหวเดิมทีคิดว่าหากถึงจวนโหวแล้ว ทุกคนคงรู้สถานะของเขา ต้อนรับเขาราวกับแขกผู้มีเกียรติใครจะรู้ละว่าเขาและเถาเอ๋อร์จะถูกทิ้งอยู่ในนี้ รอจนเวลาผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยามทันทีที่หลี่เฉินอันและกู้หว่านเยว่เข้ามา ก็ได้ยินเสียงที่พยายามข่มความโกรธและประชดประชันของมู่หรงอวี้“อ๋องหลี่ก็ช่างวางอำนาจบาตรใหญ่เสียจริง ๆ ปล่อยให้ข้ารออยู่ในนี้หนึ่งชั่วยามแล้ว ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดจะทำเรื่องใหญ่อะไรนะขอรับ”สายตาคู่นั้นมองข้ามหลี่เฉินอันไปโดยสิ้นเชิง เด็กอายุเพียงสิบสองสิบสามปี แต่จิตใจกลับต่ำช้ายิ่งกว่าสิ่งใดสายตาคู่นั้นกวาดมองมายังกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง ทั้งสองคนปลอมตัวเข้ามา มู่หรงอวี้กลับมองไม่ออก เพียงแวบเดียวก็ไม่ได้ใ
บุรุษผู้ใส่เสื้อผ้ารัดรูปทั้งตัว ดูแล้วคล้ายกับข้ารับใช้ของขุนนางใหญ่ เคราบนหน้าก็รกรุงรังน่าขยะแขยงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้“เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ”หลี่เฉินอันกำหมัดแน่น ทุบโต๊ะอย่างโกธเคือง “อาจารย์และอาจารย์หญิงของข้าไม่ใช่พลหทารไร้นาม ท่านเป็นใคร กล้าดียังไงมาพูดแทรกเช่นนี้?”กล้าว่าร้ายอาจารย์ของเขาโดยเฉพาะอาจารย์หญิง? เขาทนไม่ได้เถาเอ๋อร์กลับคิดไม่ถึงว่าหลี่เฉินอันจะกล้าลองดีกับตนเช่นนี้ ในสายตาของนางหลี่เฉินอันเป็นแค่เครื่องมือ “หากไม่ใช่เพราะข้าเขียนถึงเจ้า เดิมทีเจ้าก็ไม่มีตัวตน เจ้ากล้าดีอย่างไรมากล่าวหาว่าข้าเป็นใคร?”นางคือผู้เขียนต้นฉบับ เทียบกับองค์หญิงแล้ว ไม่สิ เทียบกับฮ่องเฮาแล้วยังมีเกียรติมากกว่าเสียอีก ชะตาของทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแต่อยู่ในการควบคุมของนางทั้งสิ้น!หลี่เฉินอันตกอยู่ในความงุนงง “ท่านแม่ให้กำเนินข้า จะมีตัวตนหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าไม่ทราบ?”วาจาของคนผู้นี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หางตาของกู้หว่านเยว่กลับปรากฏเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่แท้เถาเอ๋อร์ก็เป็นผู้เขียนต้นฉบับนี่เองในต้นฉบับกู้หว่านเยว่มักจะพูดแขวะถึงผู้เขียนอยู่หลายครั้ง ทำไมต้องเขียนให้ข
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้