“ได้” ซูจิ่งสิงไม่ปฏิเสธ กู้หว่านเยว่พาคนวาบเข้าไปในหอแห่งโอสถ ฟู่เยียนหรานกำลังอยู่ในอาการสลบไสล นางถูกวางลงบนเตียงในห้องทดลองครั้นนึกถึงเรื่องที่หวงเหล่าเคยเตือนพวกเขา หลังจากที่ตัวกู่บินออกมาแล้ว มันจะออกตามหาสถานที่ที่ปลอดภัย ด้วยการบินเข้าไปในร่างกายของคนทันทีกู้หว่านเยว่ตัดสินใจว่าจะใช้มาตรการป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวกู่บินเข้ามาในร่างกายของพวกเขา ไม่เช่นนั้นคงเลวร้ายไม่น้อยในขณะที่กำลังวิเคราะห์ส่วนประกอบของตัวยาอยู่ในห้องทดลองนั้น กู้หว่านเยว่ได้หยิบชุดป้องกันสองชุดออกมา ให้ซูจิ่งสิงและตัวเองใส่“การสวมหมวกกันน็อกจะช่วยปกป้องจมูกและตาได้ ต่อให้ตัวกู่จะมีขนาดเล็กมาก ก็ไม่สามารถบินเข้ามาในร่างกายของพวกเราได้”“ดี” ซูจิ่งสิงนั้นว่องไวมาก ไม่นานก็ใส่ชุดป้องกันเรียบร้อยเขาเคยเข้ามาในหอแห่งโอสถครั้งหนึ่ง เวลานี้จึงไม่ได้ดูแปลกตากับสิ่งของที่อยู่ข้างในนัก เขารู้ว่าภายในหอแห่งโอสถแห่งนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขายังไม่รู้จักอีกมากมายแต่ครั้นเห็นว่าภายในห้องทดลองยังมียาที่หวงเหล่ามอบให้นางอีกหลายขวด ก็พลันตกใจไม่น้อย“ทำไมถึงได้มียามากมายขนาดนี้? ข้าจำได้ว่าหวงเ
ในขณะเดียวกับที่นางเอ่ยนั้น ซูจิ่งสิงได้ลอยตัวออกไป ตวัดขวดแก้วใส่แมลงตัวนั้น แล้วจับมันขังไว้ข้างใน“ดูสิ”กู้หว่านเยว่จ้องเขม็ง เห็นได้ชัดว่ากู่ตัวนี้กำลังตื่นตกใจ พยายามบินวนไปมาอยู่ในขวดแก้ว“ลูกกู่ได้รับอันตราย มันกำลังตามหาแม่กู่”ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของกู้หว่านเยว่ จะหาคนที่ใช้กู่ควบคุมฟู่เยียนหลานผ่านลูกกู่ได้ไหมนะ?เมื่อเห็นกู้เยียนหรานมีท่าทีจะตื่นหลังจากที่ดึงตัวกู่ออกมาจากร่างกาย กู้หว่านเยว่ก็รีบวางเรื่องนี้ลง จากนั้นก็โบกมือพาทั้งสามคนออกจากห้วงมิติ“ที่นี่ที่ไหน? ฟู่เยียนหรานตื่นขึ้นมาในทันที“กู้ กู้หว่านเยว่นังสารเลว ....” ครั้นเทียบกับความบ้าคลั่งก่อนหน้านั้น เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว นี่สิถึงจะเป็นสีหน้าของคนปกติ หลังจากที่ดึงลูกกู่ที่ควบคุมนางออกมาได้แล้ว นางก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม“ข้าไม่สามารถแพร่เชื้อโรคระบาดให้เจ้าได้ น่าเสียดายนัก”“นังบ้า” กู้หว่านเยว่ไม่เกรงใจนางอีกต่อไป ตบหน้าไปฉาดใหญ่ฟู่เยียนหรานต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าที่บวมแดงและกล่าวถาม “เจ้ากล้าตบข้าหรือ? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตบข้า หากไม่ใช่เพราะเจ้า
แต่ก่อนจะถึงครานั้น พวกเขาต้องจัดการฟู่เยียนหรานก่อน“ทำให้นางมีความสุขสักหน่อย”ฟู่เยียนหรานมีความคิดเจ้าเล่ห์ ก่อกรรมทำชั่วไว้มากมาย ผลลัพธ์ของการไว้ชีวิตนางแทบจะสร้างความเดือดร้อนให้ไม่น้อยครั้งนี้กู้หว่านเยว่ไม่ใจอ่อนอีกแน่นอน“พวกเจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ? ท่านพ่อของข้าคือหนานหยางอ๋อง หากท่านพ่อทรงทราบ เขาไม่มีวันให้อภัยเจ้าแน่!”ฟู่เยียนหรานคิดว่ากู้หว่านเยว่ไม่กล้าฆ่านางอย่างแน่นอน เพราะนางรู้ว่าหลังจากที่หนานหยางอ๋องหนีออกมาจากลั่วอันได้ ก็เข้ามาช่วยดูแลเจดีย์หนิงกู่อยู่ภายใต้การบัญชาของกู้หว่านเยว่เพียงแต่น่าเสียดายที่ฟู่เยียนหรานประเมินความเด็ดขาดของกู้หว่านเยว่ต่ำเกินไป ส่วนกู้หว่านเย่วไม่ใช่คนบ้าจี้จากการตัดสินของผู้อื่น “หนานหยางอ๋องมีบุตรีแบบนี้ ไม่สู้ไม่มีดีกว่า”กู้หว่านเยว่ขี้เกียจจะลงมือเอง จึงสั่งให้องครักษ์จันทราสร้างความสุขให้นาง“กู้หว่านเยว่ หากเจ้ากล้าฆ่าข้า ท่านพ่อไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่ อ๊าก.....นังแพศยา นังแพศยาอย่างเจ้าทำไมถึงมีแต่คนปกป้องเจ้า ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ต้องตกเป็นของเจ้า....”เสียงนั้นค่อย ๆ เบาลง กระทั่งหายไปในที่สุด กู้หว่านเยว่หยิบ
“เจ้าอยากให้สามีของเจ้ามาเข้าฝันสินะ” หวงเหล่ายิ้มเยาะอย่างอดไม่ได้ “เกรงว่าเขาจะไม่อยากพบเจ้านะสิ”“ท่านพูดเหลว!” เทียนอวี๋พรวดลุกขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็โต้เถียงอย่างสุดกำลัง “สามีของข้าไม่มีทางไม่คิดถึงข้า!”สามีผู้ล่วงลับของนางคือคนที่นางรักที่สุดในโลก เมื่อครั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาดูแลนางอย่างดี“หากไม่ใช่เพราะคนชั่วช้าสามานย์เหล่านั้น สามีและข้าบัดนี้คงได้รักกันอย่างมีความสุขไปแล้ว” นัยน์ตาของเทียนอวี๋แฝงไปด้วยความโหยหา บุรุษที่นางรักเพียงนี้ จะปฏิเสธที่จะได้เจอนางในห้วงความฝันได้อย่างไร?หวงเหล่าไม่เคยเอ่ยในสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ หากพูดแล้ว ก็แสดงว่าเรื่องนั้นต้องมีการพิสูจน์แล้ว“เจ้าอยากให้สามีมาเข้าฝัน เช่นนั้นข้าถามเจ้าหน่อย ที่เจ้าตามแก้แค้นให้สามีของเจ้ามาหลายปี สามีของเจ้าเคยเข้าฝันเจ้าสักครั้งหรือไม่?”เทียนอวี๋ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก็ไม่เคย นางถึงได้มาขความช่วยเหลือหวงเหล่าอย่างไรเล่า“มือของเจ้าเปื้อนเลือด ก่อกรรมทำชั่วนับไม่ถ้วน เจ้าและสามีของเจ้าต้องได้รับผลกรรม เกรงว่าคงจะทุกข์ทรมานอยู่ในยมโลก”“ท่านพูดเหลวไหล!” เทียนอวี๋ส่ายหน้า แต่สีหน้ากลับเป็นกังวล
“หวงเหล่า ท่านอยู่ข้างในหรือไม่?”ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบนางก็ยกเท้าถีบประตูอย่างแรง ผลปรากฏว่าทันทีที่เข้าไป นางได้เจอเข้ากับเงาในชุดคลุมยาวสีขาวกำลังพุ่งตัวออกไปทางหน้าต่างพอดี และหายตัวไปในความมืดกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงหน้าถอดสีลง เวลานี้สองสามีภรรยามั่นใจแล้วว่าเงาในชุดขาวนั้นคือสตรีลึกลับที่พวกเขาเคยปะทะกันเมื่อครั้งอยู่ในเขตซีเป่ยวิชาตัวเบาของอีกฝ่ายนั้นคุ้นมาก พวกเขามองออกตั้งแต่แวบแรกเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าสตรีลึกลับผู้นี้จะระแวดระวังตัว ในขณะเดียวกับที่พวกเขาเข้ามาในห้อง นางก็ไหวตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว“ข้าจะตามสตรีผู้นั้นไป เจ้าอยู่ดูหวงเหล่าละกัน”ซูจิ่งสิงเปิดหน้าต่างและไล่ตามไป กู้หว่านเยว่เดินมาตรงหน้าของหวงเหล่า เห็นเลือดสดไหลออกมาจากคอของเขา ก็รู้ทันทีว่าเขาเพิ่งถูกบีบบังคับ นางจึงรีบปรี่เข้าไปถามเขา“หวงเหล่าท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่? นอกจากบาดแผลตรงคอแล้ว สตรีผู้นั้นทำอะไรท่านอีกหรือไม่?”ไม่แปลกใจที่กู้หว่านเยว่จะถามเช่นนี้ เพราะฝีมือของสตรีลึกลับผู้นั้นไม่ธรรมดา ทั้งยังมีวิชาหุ่นเชิดและวิชากู่ ยากจะรับมือได้อาจารย์หวงเหล่าคือผู้อาวุโสที่นางให้ความเคารพมาก ก่อนหน้
ปรมาจารย์แพทย์เหลือบมองกู้หว่านเยว่ด้วยความไม่พอใจ “เจ้าเด็กบ้า เจ้าอย่าคิดมากเกินไป พวกข้าทั้งสองบริสุทธิ์ใจต่อกัน”ปรมาจารย์แพทย์จมอยู่ในห้วงความทรงจำ ครั้งนั้นเมื่อยังเยาว์วัย ทั้งสองมีรสนิยมตรงกัน และยังตกหลุมรักหญิงสาวคนเดียวกันอีกด้วยทว่าสุดท้ายแล้ว พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้ครองคู่กับหญิงสาวผู้นั้น นางแต่งงานกับชายอื่นและให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน หลังจากที่สามีภรรยาถูกศัตรูฆ่าตาย บุตรสาวก็ถูกฝากฝังให้พวกเขาทั้งสองเลี้ยงดู“เด็กคนนั้นก็คือเทียนอวี๋ อ้อ และก็คือหญิงสาวลึกลับที่เจ้าพูดถึงนั่นแหละ ชื่อเทียนอวี๋นี้ข้าเป็นคนตั้งให้เอง”ปรมาจารย์แพทย์ทำเสียงจิ๊จ๊ะ สมัยนั้นเขายังรักสนุก ไม่ได้ใส่ใจเด็กคนนี้มากนัก ปล่อยให้หวงเหล่าเป็นคนเลี้ยงดูเสียส่วนใหญ่เมื่อได้ยินดังนั้น กู้หว่านเยว่ก็เข้าใจในทันที “กล่าวคือ แท้จริงแล้วพวกท่านทั้งสองเป็นพ่อบุญธรรมของหญิงสาวลึกลับคนนั้นหรือ?”เมื่อเห็นทั้งสองคนพยักหน้า นางก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ “ถ้าเช่นนั้น เทียนอวี๋ก็น่าจะเคารพท่านทั้งสองมากสิ เพราะอย่างไรเสียก็มีบุญคุณเลี้ยงดูมา”แต่เมื่อครู่ตอนที่นางบุกเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเทียนอวี๋เอาดาบจ่อที่คอข
“รักกันอย่างลึกซึ้งใช้บรรยายถึงสามีภรรยา แต่เท่าที่ข้ารู้ หนานหลีอ๋องไม่เคยแต่งภรรยาหรือมีอนุภรรยา”เรื่องนี้ นางสอบถามกงซุนหงเป็นการเฉพาะในครอบครัวของหนานหลีอ๋อง นอกจากน้องสาวคนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสตรีอื่นใดอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภรรยาหรืออนุภรรยาได้ยินมาว่า แม้แต่คนรับใช้ใกล้ชิดเขาก็ล้วนเป็นผู้ชายทั้งหมด“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ข้าคือภรรยาของท่านอ๋อง” บนใบหน้าของเทียนอวี๋แสดงความเขินอายออกมา“คืนนั้น ข้าและท่านอ๋องมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันแล้ว”พวกเขาแค่ยังไม่ทันได้ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินก็เท่านั้น หากท่านอ๋องไม่ตาย ต้องรับผิดชอบนางอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขาคงเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกัน“ฮ่า ๆ ๆ ” ปรมาจารย์แพทย์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา เจ้าหมายถึงเจ้าขโมยยาปลุกกำหนัดของข้าไปงั้นหรือ?”บ้าจริง วางยา?กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน ทั้งสองคนสามีภรรยารู้สึกได้ว่าตอนนี้กำลังจะได้รู้ความลับอันน่าตกใจแล้วอืม ไม่รีบร้อน ค่อย ๆ ฟังไป“ไม่ ข้าไม่ได้...” เทียนอวี๋ยังปากแข็ง “ต่อให้ไม่มียาปลุกกำหนัด ท่านอ๋องก็จะ...”เพียงแต่เสียงกลับค่อย ๆ เบาลง หวงเหล่า
คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร ทุกคนยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจก็พบว่าปรมาจารย์แพทย์กำลังมองเทียนอวี๋ด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมาย ส่วนเทียนอวี๋ก็รู้สึกหวาดหวั่นเป็นระยะ ๆ กู้หว่านเยว่นึกขึ้นมาได้ทันทีว่ากงซุนหงเคยบอกว่า เดิมทีฮ่องเต้ไม่รู้จักหนานหลีม่านมีคนนำภาพวาดของหนานหลีม่านไปให้ฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น“ภาพวาดของหนานหลีม่าน เจ้าเป็นคนเอาไปให้ฮ่องเต้หรือ?!”กู้หว่านเยว่เกิดความคิดขึ้นมา จ้องมองไปยังเทียนอวี๋ เทียนอวี๋สายตาหลุกหลิก ยิ่งเป็นการยืนยันความคิดนี้ดูเหมือนว่านางจะเดาไม่ผิด ภาพวาดนั้นเป็นฝีมือของเทียนอวี๋จริง ๆ ที่นำไปมอบให้ฮ่องเต้“เพื่อที่จะแยกหนานหลีอ๋องและหนานหลีม่านผลสุดท้าย กลับทำให้คนที่เจ้ารักต้องตาย”เวลานี้ กู้หว่านเยว่ได้รู้ความจริงทั้งหมดของเรื่องราวแล้ว “ความอวดฉลาดของเจ้า เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมทั้งหมด”“ไม่ ไม่ ไม่ใช่! ข้าแค่อยากให้หนานหลีม่านไปจากท่านอ๋อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ในสายตาของท่านอ๋องก็จะไม่มองเห็นนางเพียงคนเดียว” เทียนอวี๋ส่ายหน้าสีหน้าของนางราวกับว่าคนทั้งโลกไม่เข้าใจนาง “ข้าไม่ได้อยากทำร้ายใคร แค่อยากได้รับความรักจากท่า
ทันทีที่เข้ามา เกาเจี้ยนก็เอ่ยถามอย่างทนรอแทบไม่ไหวกู้หว่านเยว่ดื่มน้ำก่อนหนึ่งแก้ว กระแอมไล่เสียง“อย่าเพิ่งรีบ ข้าจะเล่าให้พวกเจ้าช้าๆ เรื่องนี้ยาวยิ่งนัก”จากนั้นนางให้ทั้งสองคนขยับขึ้นมาข้างหน้า เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอุโมงค์เหมืองให้พวกเขาทั้งคู่ฟัง แน่นอนว่าส่วนของมิตินั้น นางหลีกเลี่ยงไปได้อย่างแนบเนียน“ศาสตร์ความเป็นอมตะ?”เกาเจี้ยนได้ยินมุมปากก็กระตุกริกกู้หว่านเยว่มองเขาอยากแปลกใจ “ท่านยิ้มอันใด?”“ข้าแค่ยิ้มที่คนเหล่านี้คิดเพ้อฝัน พวกเราเป็นคนมีกายเนื้อ ไฉนเลยจะมีความเป็นอมตะ? มากที่สุดก็อายุยืนมากหน่อยเท่านั้น”“ยิ่งไปกว่านั้นทางที่พวกเขาเลือกเดิน เพียงได้ยินก็รู้ว่าชั่วร้าย เพียงแค่ไม่ได้รับผลกระทบก็ดีมากแล้ว”เขาส่ายหน้า สีหน้าหมิ่นแคลนกู้หว่านเยว่ลอบถอนหายใจ คนผู้นี้สมเป็นสหายที่ดีของซูจิ่งสิงคนทั่วไปได้ยินศาสตร์ความเป็นอมตะ ใบหน้าล้วนเผยแววกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งแม้แต่ตอนที่ชวีเฟิงได้ยินเจ้าสิ่งนี้ ชั่วขณะนั้นก็เผยความละโมบออกมาจนนางจับได้ทว่าตั้งแต่เริ่มจนจบสายตาเกาเจี้ยนแหลมคม ไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ส่วนทางด้านอวิ๋นมู่เองก็ไม่ใส่ใจในเรื่อง
“เฮ้อ นี่เพราะข้ากังวลไม่ใช่หรือ? สหายอวิ๋น เจ้าดูเจ้าพูดเข้า ไม่น่าฟังเอาเสียเลย”เกาเจี้ยนอึดอัดใจอวิ๋นมู่เป็นคนสสุภาพอ่อนโยน พูดจาไม่น่าฟังน้อยมากอวิ๋นมู่ค้อมตัวลง “ขออภัย อันที่จริงสองวันนี้ได้ยินเจ้าพูดซ้ำไปมาว่าจะเกิดเรื่องกับพวกเขาหรือไม่ หูฟังเสียจนจะด้านแล้ว”“ข้าผิดไปแล้วๆ นี่เพราะข้ากำลังกังวลไม่ใช่หรือ? ก่อนจากมา ฝ่าบาทกำชับข้าเอาไว้ว่าจะต้องดูแลฮองเฮาดีๆ”“หากเขารู้ว่าข้าปล่อยให้ฮองเฮาไปหนานเจียงเพียงลำพัง จะต้องเด็ดหัวข้าลงมาแน่”เกาเจี้ยนหมดอาลัยตายอยากเรื่องนี้ย่อมปิดเอาไว้ไม่มิดเขาสามารถนึกภาพออกได้ หลังกลับไปเมืองหลวงแล้วจะต้องเจอกับพายุคลั่งเช่นไร“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ!”ทหารวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ ตอนถึงหน้าประตูเกือบบล้มคะมำลงไป“กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว!”“อะไรกลับมา เจ้าพูดให้ชัดเจนหน่อย” เกาเจี้ยนขมวดคิ้วดวงตาอวิ๋นมู่กลับทอประกาย “ใช่พวกฮองเฮากลับมาหรือไม่?”ทหารกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ออกแรงพยักหน้า“ใช่แล้วๆ ฮองเฮากลับมาแล้ว ตอนนี้เข้าค่ายใหญ่มาแล้ว กำลังมาทางนี้ขอรับ”“ดียิ่งนัก!”เกาเจี้ยนดีใจอย่างบ้าคลั่ง อวิ๋นมู่พุ่งพรวดพราดออกไปพบกู้หว่านเยว่
ฮองเฮาหนานเจียงเงียบไป แต่นางคิดมากยิ่งกว่านั้น“ไป ไปสกุลชวีตอนนี้เลย หากพบใคร ก็จับทุกคนเอาไว้”นางออกคำสั่งหน่วยลาดตระเวนรีบไปจับคนไว้วูเหมิงถอนหายใจโล่งอกเฮือกหนึ่ง ในเมื่อมีคนรับผิดที่แท้จริงแล้ว เรื่องนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก“วูเหมิง”ฮองเฮาหนานเจียงกลับผินมองใบหน้าเขาอย่างเชื่องช้า ตอนนางไม่ยิ้ม ดวงตาเหยี่ยวดุดันและเย็นชาอยู่บ้าง“ข้าเชื่อใจเจ้าถึงเพียงนั้น ปรากฏว่าเจ้าทำให้ข้าผิดหวังเสียได้”ข้อมูลภายในห้องปรุงพิษล้วนเสียหายไปแล้วงูยักษ์ตัวนั้นก็ถูกเผากลายเป็นเถ้าไปแล้วได้ยินมาว่าตอนนี้ทั้งอุโมงค์เหมืองล้วนถล่มไปแล้ว ไม่สามารถลงไปตรวจสอบได้อีกฮองเฮาหนานเจียงรู้สึกโมโหเดือดดาลภายในใจ เพียงแค่สกุลชวีไม่เพียงพอให้นางระบายโทสะทั้งหมดออกมาได้“เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า”ฮองเฮาหนานเจียงลุกขึ้น เดินมาหยุดต่อหน้าวูเหมิง“หากไม่ใช่เพราะเจ้าต้องการแต่งงานกับชวีอวี้ บดบังสติปัญญา มอบโอกาสให้สกุลชวี พวกเขาก็คงไม่พบห้องปรุงพิษ”ฮองเฮาหนานเจียงยกความผิดเรื่องห้องปรุงพิษถูกเปิดเผยทั้งหมดไว้ที่วูเหมิงนางหยั่งเดา จะต้องเป็นวูเหมิงต้องการแสดงความสามารถต่อหน้าชวีอวี้แ
“เสี่ยวเฟิง เจ้ายังจะไปสมคบคิดกับคนของต้าฉีอีกหรือ?”สีหน้านายท่านชวีโกรธจัดอิงตามการมองของเขา น่าจะฉวยโอกาสนี้จับตัวกู้หว่านเยว่เอาไว้ใช้ข่มขู่ต้าฉี เพื่อให้พวกเขาถอนทัพ“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่หญิง”ชวีเฟิงพูดด้วยท่าทางจริงจัง“ไม่ว่าพวกท่านสามารถเข้าใจได้หรือไม่ ข้าก็ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว จะต้องไปขอรับ”เขาสั่ง “หลังข้าจากไปแล้ว หวังว่าพวกท่านจะพาคนในตระกูลลี้ภัยไปในทันที ข้าจะเอาชีวิตรอดกลับมาขอรับ”“ขวับ!”นายท่านชวีเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองเขานายหญิงชวีน้ำตาไหล “เสี่ยวเฟิง เจ้าจะต้องกลับมานะ”“เสี่ยวเฟิง พี่หญิงเข้าใจเจ้า” ชวีอวี้ตบบ่าชวีเฟิงเบาๆ พลางพูดเสียงอ่อนโยนนอกจากเอาชีวิตรอดกลับมา น้องเล็กยังต้องการสร้างเส้นทางที่แตกต่างออกไปให้สกุลชวีอีกด้วย“รีบกลับมา”“ขอรับ...”กู้หว่านเยว่รอที่หน้าประตูนานราวครึ่งก้านธูปแล้ว ชวีเฟิงจึงออกมาเขาหดหู่ใจอย่างมาก สีหน้าลังเล“เสียใจภายหลังตอนนี้ก็สายไปแล้ว รีบไปเถอะ”“ฮองเฮาเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยไม่ได้เสียใจภายหลัง”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น เขาไม่สมควรเสียใจภายหลังจริงนั่นล่ะ ต่อให้บิดาไม่เข้าใจเขา แต่เขาก็อยากมีชีวิตอยู่ อยาก
“ท่านพี่หญิง เพื่อช่วยพวกท่าน เกือบจะต้องแต่งงานกับวูเหมิงแล้ว ตอนนี้นางยังรอพวกท่านอยู่ที่บ้าน หากพวกท่านไม่อยากให้นางเป็นห่วง ก็ตามข้ามาดี ๆ เถิด”“เจ้า!”นายท่านชวีหมดหนทางแล้ว นายหญิงชวีจึงเกลี้ยกล่อม “ลูกพูดถูกแล้ว รีบกลับบ้านกันเถิด”“ที่เขาทำไปก็เพื่อช่วยพวกเราเช่นกัน”“กว่าพวกเราจะหนีออกมาจากสถานที่บ้า ๆ นั่นได้ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือกลับบ้านก่อน”“ก็ได้” นายท่านชวีพยักหน้าอย่างจนใจ“ตามข้ามา”ชวีเฟิงพาทั้งสองคนกลับไปยังสถานที่ที่เขากับกู้หว่านเยว่ผูกม้าไว้ก่อนหน้านี้สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ กู้หว่านเยว่กลับมารออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว“พระมเหสี?”ชวีเฟิงวิ่งเข้าไปข้างหน้าด้วยความตกตะลึง“เหตุใดท่านจึงมาถึงเร็วกว่าพวกเราเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ?”กู้หว่านเยว่อารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย เมื่อครู่นี้ นางเก็บผลึกสีน้ำเงินข้างล่างไปจนหมดเกลี้ยงแล้วคราวนี้ได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่น้อยเลยทีเดียวอีกทั้งยังได้ศาสตร์ศพพิษนั่นมาอีก สามารถนำไปศึกษาค้นคว้าให้ดีได้“ข้าใช้ทางลัดออกมา ก็เลยเร็วกว่าพวกเจ้าหน่อย ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน พวกเรารีบไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่พลิกตัวขึ้นม้า“พวกคนงานเหมื
“ใต้เท้า ไฟรุนแรงขนาดนี้ ดับไม่ทันแล้วขอรับ อีกอย่างห้องปรุงพิษก็ถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว”“อะไรนะ ห้องปรุงพิษถูกเผาแล้วหรือ?”สีหน้าของวูเหมิงเปลี่ยนไปอย่างมาก แทบจะกระโดดขึ้นมาในทันทีใบหน้าของเขาซีดเผือด ไม่สนใจจะพูดคุยกับหน่วยลาดตระเวนอีกต่อไป รีบเดินโซซัดโซเซไปยังทิศทางของห้องปรุงพิษพอเขาได้เห็นห้องปรุงพิษที่กลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน เขาก็ตกตะลึงจนตาค้าง“ของล่ะ ของที่อยู่ข้างในล่ะ?”ข้างในยังมีไฟลุกไหม้อยู่ วูเหมิงก็พุ่งเข้าไปโดยตรง โชคดีที่คนที่ตามมาขวางไว้ได้ทัน“ไม่ ของที่ข้าศึกษาค้นคว้ามานานขนาดนี้ หยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดของข้าสูญเปล่าหมดแล้ว!”วูเหมิงแสดงสีหน้าราวกับแตกสลายเขาได้รับคำสั่งจากราชินี ให้มาทำการศึกษาค้นคว้าที่นี่ เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วภายในห้องปรุงพิษแห่งนี้ มีหลายสิ่งที่เป็นผลงานจากการศึกษาค้นคว้าทั้งวันทั้งคืนของเขา แต่ตอนนี้กลับมอดไหม้ไปในกองเพลิงจนไม่เหลือซากเขาไม่เพียงแต่กังวลว่าราชินีหนานเจียงจะตำหนิเขา แต่ยังเจ็บปวดใจยิ่งกว่าที่ความพยายามทั้งหมดของเขาสูญเปล่าไปอย่างสิ้นเชิง“ใต้เท้า ท่านเข้าไปไม่ได้นะขอรับ ข้างในไฟรุนแรงเกินไป ถ้าท่านเข้าไป ก็จะออกม
คนของหน่วยลาดตระเวนก็ไม่ได้สงสัยอะไร พอเดินมาถึงตรงหัวมุม กู้หว่านเยว่ถึงได้เดินแยกไปอีกทาง นางต้องการจะเก็บผลึกสีน้ำเงินในบริเวณนี้ไป“ระบบ เตรียมคลังสำหรับเก็บผลึก”กู้หว่านเยว่แจ้งระบบเสียงหนึ่ง ตามด้วยเสียง “ติ๊ด ๆ ๆ ” ดังขึ้นในหัว นางก็เคลื่อนไหวด้วยจิต ผลึกที่เห็นในทุกที่ที่นางผ่านไปก็ถูกเก็บเข้าไปในคลังจากนั้นก็ถือโอกาสวางเพลิงอีกครั้ง เพื่อสร้างความโกลาหลไม่นานนัก ทั่วทั้งถ้ำเหมืองเบื้องล่างก็ตกอยู่ในสภาพจลาจล ควันไฟหนาทึบลอยคลุ้งไปทั่ว“แย่แล้ว ไฟไหม้ ไฟไหม้แล้ว!”เมื่อเห็นสถานการณ์ไฟลุกลามข้างใน แม้แต่คนของหน่วยลาดตระเวนก็กังวลว่าจะต้องมาทิ้งชีวิตน้อย ๆ ไว้ที่นี่ ต่างก็พยายามวิ่งหนีออกไปข้างนอกกู้หว่านเยว่เห็นว่าสถานการณ์ความวุ่นวายถูกสร้างขึ้นมาพอสมควรแล้ว จึงเข้าไปในมิติเพื่อเปลี่ยนกลับเป็นชุดของตนเอง พร้อมกับโยนวูเหมิงทิ้งไปจากนั้น นางก็เทเลพอร์ตไปยังปากถ้ำ แล้วหยิบปืนพ่นไฟกระบอกหนึ่งออกมาจากในมิติทุกที่ที่ปืนพ่นไฟผ่านไป แมงมุมที่เกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่นเหล่านั้นก็ล้วนกลายเป็นเถ้าถ่านนางบุกนำหน้าไปเพื่อเปิดทาง จัดการเผาแมงมุมในอุโมงค์ใต้ดินจนหมดสิ้นทุกครั
หลังจากเปิดห้องขังที่อยู่โดยรอบทุกห้องแล้ว กู้หว่านเยว่ก็อาศัยช่วงชุลมุน หายวับเข้าไปในมิติทันทีเมื่อนางออกมาจากมิติอีกครั้ง ก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว“วูเหมิง?!”ชวีเฟิงร้องเสียงหลง เขาเพิ่งจะพาท่านผู้เฒ่าทั้งสองของสกุลชวีออกมาจากคุกใต้ดิน ก็เหลือบไปเห็นวูเหมิงยืนอยู่ตรงหน้าท่ามกลางความตื่นตระหนก ก็รีบชักอาวุธออกมาทันที“เสี่ยวเฟิง ระวังนะ” นายท่านชวีกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง ส่วนนายหญิงชวีก็แสดงสีหน้าวิตกกังวลเต็มเปี่ยม“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวพวกท่านวิ่งหนีไปเลยนะขอรับ”ชวีเฟิงกล่าวเสียงเบา ๆ “วูเหมิง” หันศีรษะกลับมา เลิกคิ้วเล็กน้อย “เจอพ่อแม่เจ้าแล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”น้ำเสียงที่คุ้นเคยนี้...“พระมเหสี?” ชวีเฟิงเอ่ยถามอย่างลองเชิงจนปัญญาจริง ๆ “วูเหมิง” ที่อยู่ตรงหน้าช่างเหมือนจริงเหลือเกิน แม้กระทั่งแววตาดูแคลนและความหยิ่งผยองบนใบหน้าก็เหมือนจริงอย่างยิ่ง“อืม ข้าเอง”กู้หว่านเยว่พยักหน้าเล็กน้อยชวีเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก “เป็นท่านก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ข้าน้อยยังคิดว่าเจ้าวูเหมิงนั่นตื่นแล้ว ตกใจหมดเลย”วูเหมิงเป็
แม้แต่หน่วยลาดตระเวน ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ถ้ำมากเกินไปได้ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นในทันทีว่าถ้ำเกิดไฟไหม้กว่าจะมองเห็นควันดำลอยออกมาจากในถ้ำ ก็สายเกินไปเสียแล้ว“แย่แล้ว ยังมีท่านผู้ใหญ่อีกสองท่านอยู่ในถ้ำนี้ ยังไม่ได้ออกมา!”“สองคนนั่นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย แต่ตอนนี้ห้องปรุงพิษถูกไฟไหม้ การศึกษาค้นคว้าและข้อมูลข้างในถูกทำลายจนหมดสิ้น พวกเราจะไปรายงานราชินีได้อย่างไร?”หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแสดงสีหน้าย่ำแย่พวกเขาล้วนเป็นทหารส่วนพระองค์ของราชินี ย่อมรู้ดีว่าสิ่งของในห้องปรุงพิษนี้มีความสำคัญเพียงใด“ห้องปรุงพิษไม่มีทางลุกไหม้ขึ้นมาเองโดยไม่มีสาเหตุ ต้องมีคนบุกรุกเข้ามาแน่ ๆ !”หัวหน้าหน่วยหรี่ตาลง ในใจพลันปรากฏลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาแวบหนึ่ง“ท่านวูเหมิงเล่า?”“วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่านวูเหมิง เขาลาหยุดไปแล้ว จึงยังไม่ได้กลับมาขอรับ”“คราวนี้เรื่องแย่แล้ว” หัวหน้าจึงตัดสินใจทันที “พวกเจ้ารีบไปปิดทางออกทุกทาง ห้ามใครออกไปเด็ดขาด ส่วนคนที่เหลือไปดับไฟกับข้า ช่วยอะไรได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น”“ขอรับ”หัวหน้านึกอะไรขึ้นมาได้ จึงสั่งต่อว่า“ไปสั่งหน่วยลาดตระเวนอื่น ๆ ให