“ไม่เลว ๆ ”ปรมาจารย์แพทย์เห็นว่ากู้หว่านเยว่อายุก็ยังไม่มาก ไม่เพียงแต่มีฝีมือทางการแพทย์ ยังเชี่ยวชาญด้านพิษอีกด้วย“ให้ทำงานแบบนี้ ข้าไม่มีแรงจูงใจหรอก ให้ห้องครัวเอาของอร่อย ๆ มาเพิ่มหน่อย”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางกำชับหงเจาหนึ่งประโยค ให้นางไปบอกพ่อแม่ของเฉียวโต้วว่า ให้ทำกับแกล้มมาส่งที่เรือนนี้เพิ่มอีกหนึ่งที่กู้หว่านเยว่รู้สึกยินดีมากที่ได้ให้ที่พักพิงแก่ครอบครัวนั้น ทั้งสามคนเป็นคนที่ไม่สร้างความหนักใจ เฉียวโต้วแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ไม่ได้กินอยู่ฟรี ๆ ช่วยพ่อแม่ส่งผักไปตามเรือนต่าง ๆ ทุกวันพ่อแม่ของเฉียวโต้วคนหนึ่งรับหน้าที่ซื้อผัก ส่วนอีกคนเป็นคนทำอาหาร จัดการเรื่องอาหารการกินของจวนกู้ได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ช่วยให้กู้หว่านเยว่ประหยัดเวลาได้มาก“แหะ ๆ กับแกล้ม เจ้าเด็กบ้า เจ้าเข้าใจข้าดีจริง ๆ ”ปรมาจารย์แพทย์ดีใจอย่างยิ่ง ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานจากข้างนอก ในที่สุดฟู่หลานเหิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก“หว่านเยว่ เรื่องโรคระบาดไม่ได้ลุกลามไปที่อื่นใช่หรือไม่?หร่านเหยียนนั่นเป็นอย่างไรบ้าง จับตัวพวกพ้องของนางได้หรือยัง?”ปรมาจารย์แพทย์แบะปาก “เจ้าเด็กนี่อยู่เฉยไม่เ
เมื่อเห็นซูจิ่งสิงสีหน้าเหนื่อยล้า กู้หว่านเยว่ใช้นิ้วเรียวยาวนวดขมับให้เขาเบา ๆ “ข้าจะนวดให้ท่านเอง”“ขอบคุณ”ซูจิ่งสิงจับมืออันนุ่มนวลของกู้หว่านเยว่เอาไว้ แล้วอธิบายว่า “ข้ากำลังจัดการกับทหารใต้บังคับบัญชาของหนานหยางอ๋อง”กู้หว่านเยว่หยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาดู “ท่านวางแผนจะส่งพวกเขาไปที่ไหน?”“ให้ประจำการอยู่แถบแม่น้ำมู่ตัน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า หนานหยางอ๋องเข้าร่วมกับพวกเขาแล้ว แน่นอนว่าต้องจัดการกับคนสนิทของเขาให้ดีทั้งสองคนตกลงกันปิดบังเรื่องการตายของฟู่เยียนหรานถึงแม้ฟู่เยียนหรานจะชั่วร้ายอย่างยิ่ง แถมยังแทงข้างหลังหนานหยางอ๋อง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของหนานหยางอ๋องสายเลือดตัดไม่ขาด ต่อให้หนานหยางอ๋องรู้ ก็มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ใจ ไม่รู้ยังจะดีเสียกว่า“ศพของเยียนหรานเล่า?”“เผาไปแล้ว” ดวงตาของซูจิ่งสิงฉายแววเย็นชาไร้เยื่อใย เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ครุ่นคิด เขาก็ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย“จริงสิ ข้าได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากผู้เฒ่าโจว ข้างในมีจดหมายที่ซ่งเสวี่ยเขียนถึงเจ้าด้วย”“รีบเอามาให้ข้าดูหน่อย”เมื่อได้ยินชื่อของซ่งเสวี่ย ดวงตาของกู้หว่านเยว่ก็เป็นประก
“ห้ามบอกว่าข้าอยู่ในจวนเด็ดขาด บอกว่าไม่รู้จักข้า”ปรมาจารย์แพทย์หงุดหงิดมาก เหมือนตาแก่ขี้บ่นที่น่าสงสาร เขาก็แค่รักษาคนไข้ ช่วยชีวิตผู้คน ไปทำให้ใครไม่พอใจกัน“ครอบครัวนี้ช่างตามตื๊อไม่เลิก ข้าหนีมาถึงที่นี่แล้ว ยังไม่ยอมปล่อยข้าไปอีก”เดิมทีปรมาจารย์แพทย์คิดว่าเมื่อเขาย้ายออกจากเรือนหลังเล็กที่เคยอยู่ ครอบครัวนั้นคงคิดว่าเขาจากไปแล้ว คงจะเลิกรา ช่างไร้เดียงสาเสียจริง เหอะ ๆ “ไปเร็ว ๆ เข้า อย่าบอกว่ารู้จักข้า”ชิงเหลียนมองไปยังกู้หว่านเยว่ เห็นว่าฮูหยินพยักหน้า จึงรีบออกไป“เป็นครอบครัวของหญิงชราที่ท่านผ่าตัดลำไส้ให้ครั้งก่อนหรือ?”กู้หว่านเยว่กะพริบตา นึกถึงเรื่องที่ปรมาจารย์แพทย์เคยเล่าให้ฟัง แต่ตอนนั้นพวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าครอบครัวนั้นจะบุกมาถึงจวนกู้“ใช่พวกนั้นแหละ พวกเขาตามตื๊อข้าไม่เลิก”ปรมาจารย์แพทย์เกาหัว อยากจะวางยาพิษพวกนั้นให้ตายไปซะทั้งหมด“ก่อนที่ข้าจะรักษาก็บอกแล้วว่า ลำไส้ส่วนนั้นเก็บไว้ไม่ได้ ต้องตัดออก พวกเขาก็ตกลงอย่างดี พอผ่าตัดเสร็จ กลับไม่ยอมรับปรมาจารย์แพทย์ผู้นี้ มีชีวิตอยู่มานานหลายปี ยังไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาเลยคนที่รู้จักเขารู้ดีว่าเขานิสัยไ
ชายคนหนึ่งกำลังดึงเสื้อคลุมยาวของปรมาจารย์แพทย์ “ชดใช้ ชดใช้ค่าเสียหาย!”ข้างกายเขามีหญิงสูงอายุวัยสี่สิบนอนอยู่ กำลังกุมท้องที่อ้วนกลม“โอ๊ย โอ๊ย ถูกตัดลำไส้ ปวดท้องมาก ๆ”ฝูงชนที่รายล้อมชะโงกหน้าเข้ามามุงดูเรื่องคนอื่นปรมาจารย์แพทย์โมโหจนทนไม่ไหวแล้ว “ลำไส้ส่วนนั้นของท่านเน่าแล้ว ควรตัดทิ้งไป ถ้าไม่ตัดออกจะเกิดการอักเสบ ข้าตัดออกให้ท่านคือการช่วยชีวิตท่าน ต้องชดใช้ค่าเสียหายอะไร?”ครอบครัวนี้ควรจะดีใจที่บังเอิญโชคดี เขาอารมณ์ดีกว่าเมื่อก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจัดยาให้ชุดใหญ่แล้ว“ร่างกายของเราได้รับจากพ่อแม่ ตัดลำไส้ทิ้งแล้ว ในอนาคตหากเกิดอะไรผิดพลาดส่งผลกระทบต่อชีวิตแล้วจะทำเช่นไร? ท่านบอกว่าท่านกำลังช่วยชีวิตแม่ของข้า แต่ความจริงแล้วท่านเป็นหมอเถื่อน จงใจทำร้ายแม่ของข้า!” ชายหนุ่มกลอกตาพูดปรมาจารย์แพทย์โกรธจัด “ได้รับจากพ่อแม่อะไร ก่อนตัดทิ้ง ข้าก็ถามหญิงสูงอายุผู้นี้แล้วไม่ใช่หรือ นางก็เห็นด้วย”“ข้าเปล่านะ” สายตาของหญิงอ้วนระยิบระยับ“ข้าไม่ได้เห็นด้วย ใครเห็นด้วยหรือท่านฉวยโอกาสตอนที่ข้าหมดสติ ตัดมันออกให้ข้า”ปรมาจารย์แพทย์ถึงกับพูดไม่ออก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั
เงินยี่สิบตำลึงเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับจวนกู้ สมุห์บัญชีจ่ายแผ่นทองแดงยี่สิบตำลึงออกมาอย่างรวดเร็ว ยังวางลงบนถาดโดยเฉพาะ กองไว้เหมือนเนินเขาเล็ก ๆเมื่อครอบครัวหญิงอ้วนเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้ ดวงตาก็เป็นประกายหญิงอ้วนเลียปาก อยากจะตรงเข้าไปคว้าเงินมาใจจะขาด แต่เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังแกล้งป่วย ก็รีบนอนลงร้องโอดโอยเหมือนเดิมลูกชายของหญิงอ้วนไม่ทันคิดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว พลางถูมือ “รวยแล้วๆ!”“ท่านแม่ ให้ข้าสักห้าตำลึงได้ไหม” ภรรยาของชายคนนั้นพูดเสียงเบา “ข้าอยากไปหาหมอ จะได้มีลูกให้ท่านพี่สักคนไว ๆ”“ให้ข้า ให้ข้าไปซื้อขนมถังหูลู่!” ลูกชายตัวน้อยเช็ดน้ำลายทั้งครอบครัวไม่ได้ปิดบังความโลภที่มีต่อเงินยี่สิบตำลึงนั้นเลย ถึงกับปรึกษากันว่าจะใช้จ่ายเงินอย่างไรต่อหน้าทุกคนด้วยผู้คนที่มุงดูเริ่มรู้สึกขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามันเริ่มไม่ถูกจริตแล้ว นี่ตั้งใจจะเล่นงานหมอเถื่อน หรือพุ่งเป้าไปที่เงินกันแน่?ดูสายตาที่เปล่งประกายนั่นสิ จับจ้องมาที่เงินอย่างชัดเจน หน้าตาอย่าให้มันออกชัดเจนจนเกินไป“เอาเงินมาให้พวกข้าเร็วเข้า”ชายคนนั้นถูมือ แล้วรีบเดินไปที่หน้าสมุห์บัญชีกู้หว่านเยว่ส่งสายตาไป ชิ
ในช่วงเวลานี้ ปรมาจารย์แพทย์ได้ฝึกฝนการแพทย์ในเมืองอวี้ ต้องรักษาผู้คนจำนวนมากได้แน่ก่อนหน้านี้ไม่มีความคิดว่าสร้างปัญหาอะไร ทุกคนกำลังดูละครฉากใหญ่กันหมด แต่เมื่อกู้หว่านเยว่เอาเงินออกมาล่อ ก็ต้องมีคนแรกที่เอ่ยปากแน่นอนหากมีคนที่หนึ่งก็ต้องมีคนที่สอง มีคนที่สามก็ต้องมีคนที่สี่“ฮูหยิน ข้าจะไปตรวจกับหมออาวุโสคนนี้” ชายอ่อนแอในฝูงชนยกมือขึ้น“เดิมทีข้ามีอาการปวดกระดูกในวันที่ฟ้าครึ้ม แต่หลังจากที่เขาสั่งยากอเอี๊ยะให้ไม่กี่แผ่น ก็ไม่กำเริบอีกเลย”ดวงตาของหงเจาสว่างไสวขึ้น “มีจริง ๆ เห็นไหม แล้วทำไมทางท่านถึงไม่พูดอะไรสักคำ ดูเหมือนว่าปรมาจารย์อาวุโสของพวกเราจะมีทักษะมากพอสมควร”นางช่วยพูดเสริม “มา ๆ ๆ มาเอาแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่นเถอะ”ชายคนนั้นเข้ามาเอาแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่นอย่างมีความสุข เขาไม่ได้พูดว่าเพราะครอบครัวนั้นดูก็รู้ว่าเป็นคนชั่ว เขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวแต่สำหรับแผ่นทองแดงยี่สิบแผ่น เสมือนมีกับแกล้มเคล้านารีให้โดยไม่เสียเงิน ใครบ้างจะไม่เอาหญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งยกมือขึ้นตัวสั่นงันงก ในขณะที่ชิงเหลียนเลิกคิ้วขึ้น “อะไรนี่ เจ้าก็เคยไปตรวจอาการป่วยกับปรมาจารย์อาวุโสด้วยหร
“โอ๊ยเดี๋ยวก่อน...” ชายคนนั้นอยากจะขัดขวาง แต่น่าเสียดายที่วิชาตัวเบาของชิงเหลียนนั้นมีความเร็วมาก“ทำยังไงดี?” หญิงอ้วนเริ่มสับสนแล้วนางดึงชายเสื้อของลู่ซาน “ลูก พวกเขาตามหมอมาแล้ว หรือว่าจะ...”ป้าลู่รู้สึกหวาดหวั่นมาก อากัปกิริยานั้นอยู่ในสายตากู้หว่านเยว่ ทำให้นางยิ่งยิ้มหนักขึ้น“ไม่ได้ กลับไปไม่ได้ แล้วยี่สิบตำลึงล่ะ”สายตาของเขาร้ายกาจขึ้นอย่างฉับพลัน“เจ้าก็ยืนกรานท่าเดียวว่าไม่สบายตัวสิ หมอก็มองไม่ออกหรอก”“ใช่แล้ว ท่านแม่สามีได้โปรดอดทนไว้ ทั้งหมดก็เพื่อครอบครัวนี้”ลูกสะใภ้สาวปิดปากแอบหัวเราะ คำพูดนี้แต่ก่อนแม่สามีเคยพูดกับนางอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุดก็ถึงวันที่นางจะได้ตอกกลับบ้างแล้วอย่าให้ต้องพูด ความรู้สึกนี้มันสะใจมากทีเดียว “เจ้า...”หญิงอ้วนเริ่มเสียดาย เหมือนว่านางไม่ควรมาที่นี่ วินาทีต่อมา นางก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเห็นเพียงชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมขุนนางวิ่งไปถึงตรงหน้ากู้หว่านเยว่แล้วคุกเข่าลง“ข้าน้อยมาช้าไป”กู้หว่านเยว่นึกดูสักครู่ “ผู้พิพากษาสวี?”“ข้าน้อยเอง” ผู้พิพากษาสวี่เช็ดเหงื่ออันเย็นเยียบ เขาเข้าใจตำแหน่งของกู้หว่านเยว่ในหัวใจของซูจิ่งสิงเป็นอย่างด
แววดุร้ายฉายแวบขึ้นในดวงตาของลู่ซาน “ยืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมรับก็พอ”หลังจากนั้นไม่นาน หมอทั้งหลายก็ตรวจชีพจรให้ป้าลู่ทีละคน จากนั้นก็รวมตัวพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันใหญ่ผู้คนรอบ ๆ กำลังรอผลตรวจอยู่ ปรมาจารย์แพทย์จะเป็นหมอเถื่อนหรือไม่ใช่กันแน่นะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?ผู้พิพากษาสวี่อดถามไม่ได้ว่า “เป็นไงบ้าง?”ครอบครัวของป้าลู่ก็เริ่มกังวลเช่นกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขารู้อยู่แก่ใจดีหมอทั้งหลายตอบว่า “ปรมาจารย์อาวุโสดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของป้าลู่ได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ”หมอหลินที่ค่อนข้างเด็กกว่าพูดว่า “ความจริงแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน ป้าลู่ก็เคยไปเยี่ยมโรงหมอของประชาชนเช่นกัน แต่ประชาชนมีความรู้น้อย ไม่กล้าใช้อาวุธโดยพลการ”กู้หว่านเยว่จับประเด็นสำคัญ “พูดแบบนี้ ลำไส้ของป้าลู่ก็ควรถูกตัดใช่ไหม?”“ถูกต้อง” หมอทั้งหลายพยักหน้า “ป้าลู่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ดูจากฝ่ามือของนางนั้นมีรูปโลงศพอยู่แล้ว แต่ลายมือนั้นมีร่องรอยการจางหายไป จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ปรมาจารย์แพทย์ผ่าตัดเอาอวัยวะที่เป็นจุดศูนย์รวมของโรคออกไป นางก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”“โชคดีที่ได้พบกับปรมาจารย์อาวุโส หากเป็นพว
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป