โชคดีจริงๆเสียด้วย!กู้หว่านเยว่โมโหไม่อยากพูดแล้ว กลับเอ่ยปากอย่างใจอ่อน “ช่างเถอะๆ ข้าช่วยท่านจับชีพจร แต่หากข้าเองก็ไม่สามารถถอนพิษได้ เช่นนั้นท่านก็คงต้องตายจริงๆ แล้ว”นางจงใจทำให้ปรมาจารย์แพทย์ตกใจ ใครจะรู้ปรมาจารย์แพทย์กลับหัวเราะ “ตายเถอะๆ รีบตายรีบหลุดพ้น”“.....”นางแพ้แล้ว“เป็นเช่นไรนังหนู เจ้าสามารถคิดค้นยาถอนพิษนี้ได้หรือไม่?” ปรมาจารย์แพทย์สนใจเพียงสิ่งนี้“สามารถคิดค้นได้ แต่ต้องฝังเข็ม”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมา ใช้เวลาครู่หนึ่ง ถึงขับพิษให้ไปอยู่อีกแห่งหนึ่งได้“ข้าค่อยเขียนตำรับยาให้ท่านหนึ่งเทียบ”ช่วยแล้วก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด กำจัดพิษที่เหลืออยู่ด้วย นางก้มหน้าเขียนตำรับยา ดวงตาปรมาจารย์แพทย์ทอประกายระยับมองนาง“นังหนู วิชาพิษของเจ้าก็ไม่ธรรมดาเลยนี่”กู้หว่านเยว่หัวเราะ “โชคดีที่ไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นท่านจะต้องไปพบยมบาลแล้ว”นางพูดอีกหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้ “ภายภาคหน้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ หากครั้งหน้าท่านต้องการทดลองยาพิษ สามารถใช้หนูทดลองได้”“หนูทดลอง คือสิ่งใด?” ปรมาจารย์แพทย์ส่ายหัว ไม่เข้าใจกู้หว่านเยว่เล่าหลักการการใช้หนูทดลองในยุคสมัยใหม่ให้เขา
เฉินจื่อวั่งสีหน้างุนงง เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว เหตุใดเขาไม่รู้?สีหน้ากู้หว่านเยว่สับสน ปรมาจารย์แพทย์ลูบศีรษะอย่างเก้อกระดาก“คือว่า คือว่าเวลาออกฤทธิ์ของยาพูดความจริงนี้สั้นไปบ้างยิ่งไปกว่านั้นยามเอ่ยถามปัญหาสำคัญ เป็นไปได้มากว่าฤทธิ์ยาจะหายไป...ยังไม่ทันได้ปรับปรุง”ยาสิ้นฤทธิ์ตอนถามปัญหาสำคัญ เช่นนั้นยาพูดความจริงมีประโยชน์อะไร?กู้หว่านเยว่ยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็สามารถเข้าใจได้ เพียงยาน้ำขวดเดียว ยากจะทำให้จิตใจของคนสับสน“น้องหญิง ใต้วงแขนเขาคล้ายมีของ” สายตาซูจิ่งสิงคมกริบ ขยับขึ้นไปดึงสิ่งที่อยู่ใต้วงแขนของเฉินจื่อวั่งออกมาเฉินจื่อวั่งคล้ายให้ความสำคัญต่อของสิ่งนี้มากเป็นพิเศษ รีบร้องตะโกน “รีบคืนของให้ข้า!”เขาพยายามกระโจนเข้ามา ถูกฉู่เฟิงจับไว้แน่นๆ แล้ว“ของสิ่งนี้เป็นสิ่งล้ำค่าของข้า ขอร้องพวกท่านรีบคืนมันให้ข้า”กู้หว่านเยว่หันมองทางมือของซูจิ่งสิง พบว่าคือถุงหอมใบหนึ่งนางเมินข้ามคำอ้อนวอนของเฉินจื่อวั่ง หยิบถุงหอมมามองซ้ายมองขวา สรุปคือพบอักษรตัวเล็กๆ หนึ่งบรรทัดที่ด้านล่างถุงหอม“ท่านพี่ ท่านถือเทียนเข้ามาใกล้หน่อย”ตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิด อักษ
เดิมทีวิชายุทธ์ของเขาก็ไม่สูง หลังผ่านความตกตะลึง ขาก็ลื่นร่วงหล่นจากคานบ้านปรมาจารย์แพทย์ ‘...เหล่านี้ล้วนคือสมุนไพร ดอกไม้อะไรกัน!’“พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามาหาเจียงอวิ๋นจิ่น เจ้าอยากพานางหนีไป?” กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเอ่ยถามเฉินจื่อวั่งสบสายตาของทั้งคู่ รีบส่ายหน้า “ข้าเปล่า ข้ารู้นางไม่มีวันไปกับข้า แม่ของนางยังอยู่ในเมืองหลวง หากนางไป แม่ของนางก็ต้องตาย ข้าเพียงอยากลอบมาดูนางสักครั้ง”กู้หว่านเยว่รู้สึกเห็นใจคนผู้นี้อยู่บ้าง เขาก็คือคนหลงใหลในความรักคนหนึ่งยิ่งไปกว่านั้นฟังจากคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว เจียงอวิ๋นจิ่นไม่ได้ยินดีมาเป็นชายารองที่เจดีย์หนิงกู่เฉินจื่อวั่งขบกรามแน่นพูดว่า “เรื่องคืนนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า พวกเจ้าจะฆ่าก็ฆ่า แต่อย่าโทษนางเป็นอันขาด นางน่าสงสารพอแล้ว”เขากำหมัดแน่น “จะโทษก็โทษที่ข้าไร้ประโยชน์ ไม่สามารถปกป้องนางและครอบครัวของนางเอาไว้ได้”เขามองทางซูจิ่งสิง “ท่านอ๋องขอร้องท่านหนึ่งเรื่อง อวิ๋นจิ่นเป็นคนน่าสงสารจริงๆ ต่อให้ท่านไม่รักนาง แต่ฝ่าบาทพระราชทานนางให้ท่านแล้ว ในเมื่อนางเป็นสตรีของท่านแล้ว ขอร้องท่านดีต่อนางด้วย แม้ข้าและนางเป็นคู่รักในวัยเย
หลังใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ทันใดนั้นเขาคุกเข่าต่อหน้าคนทั้งสอง“ท่านอ๋องพระชายา ข้ามันขี้ขลาด ขอร้องพวกท่านช่วยไว้ชีวิตอวิ๋นจิ่นได้หรือไม่”เขาคล้ายคว้าต้นหญ้าช่วยชีวิตเอาไว้ ซูจิ่งสิงกลับไม่อยากสนใจเรื่องห่วยๆ พรรค์นี้ เขาสนใจเพียงกู้หว่านเยว่จะมีชีวิตดีๆ ได้หรือไม่“สตรีของเจ้า เจ้าปกป้องเอง”ใต้หล้ามีคู่รักที่น่าสงสารมากเพียงนั้น หรือว่าเขาต้องสนใจทุกคนกันเล่า?ไม่ยอมให้คุณธรรมมาบังคับให้ฝืนใจ“หากข้ามีความสามารถปกป้อง ก็คงพานางไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่ทำได้เพียงตามหลังมาที่เจดีย์หนิงกู่”อยู่ต่อหน้าอำนาจของฮ่องเต้ สามัญชนจะต่อต้านได้เยี่ยงไร?“แค้นนักข้าเป็นเพียงบัณฑิตเล็กๆ คนหนึ่ง แม้แต่คนรักก็ปกป้องไว้ไม่ได้”สีหน้าเฉินจื่อวั่งพ่ายแพ้ ครู่ต่อมาถึงขั้นคล้ายแก่ลงไปสิบปีกู้หว่านเยว่ได้ยินว่าเขาเป็นบัณฑิต หวั่นไหวภายในใจ “เจ้าเป็นบัณฑิต เช่นนั้นเจ้าสอบติดขุนนางแล้วหรือไม่?”นางอยากสร้างสำนักศึกษาแห่งหนึ่งที่เจดีย์หนิงกู่ แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือเสียที ก็เพราะไม่มีนักเรียนเฉินจื่อวั่งพยักหน้า “ข้าไม่มีพรสวรรค์ เป็นเพียงทั่นฮวา อันดับสามของรุ่น”“เจ้าเป็นทั่นฮวา?” กู้หว่านเยว่ตกต
“หลังข้าออกจากคุก ก็ได้รับข่าวว่าเจียงอวิ๋นจิ่นถูกฝ่าบาทพระราชทานเป็นชายารองให้เจิ้นเป่ยอ๋อง ข้าไปสืบข่าวดู เรื่องนี้เป็นองค์หญิงเสนอฝ่าบาท”เฉินจื่อวั่งหางตาแดงเรื่อ “เป็นข้าที่ทำร้ายอวิ๋นจิ่น”เจียงอวิ๋นจิ่นเคราะห์ร้ายยิ่งนักกู้หว่านเยว่เข้าใจต้นสายปลายเหตุเรื่องนี้แล้ว คำถามที่ต้องการถามก็ถามไปทั้งหมดแล้ว“เฉินจื่อวั่ง ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ แต่ข้าต้องการให้เจ้ารับปากข้าหนึ่งเรื่อง”เฉินจื่อวั่งไม่ต่อต้าน พูดเสียงหนักแน่น “ขอเพียงอวิ๋นจิ่นอยู่ดีมีสุข ต่อให้พระชายาต้องการชีวิตของข้า ข้าก็ยินดี”กู้หว่านเยว่หัวเราะ “หากเจ้าตาย ก็คือศพทั้งเหม็นทั้งแข็ง ข้าจะเอาชีวิตเจ้าไปทำอันใดภายภาคหน้า ข้าต้องการให้เจ้าเป็นผู้อยู่ใต้อาณัติของข้า ทำงานให้ข้า”เฉินจื่อวั่งรีบพูด “ขอเพียงพระชายาไม่ให้ทำเรื่องผิดศีลธรรม ข้ายินดีฟังคำสั่งของพระชายา”“ดี”กู้หว่านเยว่โบกมือ “ชิงเหลียน เจ้าไปหาทาง ลักพาตัวเจียงอวิ๋นจิ่นมา”นางตั้งใจให้ทั้งสองได้กลับมาครองคู่กัน แต่ ก็ต้องดูท่าทีของเจียงอวิ๋นจิ่นด้วยภายในโรงเตี๊ยม โจวกงกงกำลังโมโหเดือดดาล“ข้าโมโหยิ่งนัก พวกเรายังไม่เคยอับอายเช่นนี้มาก่อนในชีว
“อวิ๋นจิ่น ขอโทษ ขอโทษ ข้ามาช้าไปแล้ว”“เป็นเจ้าจริงหรือ?”เสียงของเจียงอวิ๋นจิ่นอ่อนแอ กระอักเลือดอีกครั้ง“ข้าคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว จื่อวั่ง ข้าเคยพูดไว้ ชาตินี้นอกจากเจ้าข้าก็ไม่แต่งกับผู้ใด ข้า ข้าทำได้แล้ว”“อวิ๋นจิ่น เจ้าโง่เหลือเกิน โง่เหลือเกิน”เฉินจื่อวั่งจับมือของนางไว้ หัวใจแทบแหลกสลาย “ข้าขอร้องเจ้า ขอร้องเจ้าให้มีชีวิตอยู่ ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอเดี๋ยวนี้”เฉินจื่อวั่งพูดไปก็อุ้มเจียงอวิ๋นจิ่นขึ้น ขอบตาแดงเรื่อสบมองกู้หว่านเยว่ “ท่านอ๋อง พระชายา สามารถเชิญหมอมาช่วยนางได้หรือไม่?”กู้หว่านเยว่เองก็คิดไม่ถึงเจียงอวิ๋นจิ่นจะอุปนิสัยรุนแรงเพียงนี้ หลังผ่านความตกตะลึง ก็รีบพูดว่า“อุ้มคนเข้าไปในห้อง ข้าเป็นหมอ ข้าสามารถช่วยนางได้”“ช้าก่อน นั่นคือห้องของข้า อุ้มไปที่ห้องด้านข้าง!”ปรมาจารย์แพทย์รีบตะโกนห้าม ภายในห้องของเขามีสมุนไพรมากมาย หากเข้าไปวุ่นวาย เขาต้องปวดใจตายเป็นแน่“ท่านเป็นหมอ ดียิ่งนัก”เฉินจื่อวั่งรีบอุ้มเจียงอวิ๋นจิ่นเข้าห้องด้านข้าง วางคนลงบนเตียง ก็หลีกทางให้กู้หว่านเยว่จับชีพจร“คือพิษดอกยี่โถ”กู้หว่านเยว่ดมกลิ่นขวดกระเบื้องเคลือบทีหนึ
นางส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องมาหาข้า ข้าถูกฝ่าบาทพระราชทานเป็นชายารองให้ท่านอ๋องแล้ว”นางกังวลซูจิ่งสิงจะตำหนิเฉินจื่อวั่ง รีบพูด “ท่านอ๋อง พระชายา พวกท่านจะตำหนิก็ตำหนิข้า ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์”กู้หว่านเยว่เห็นเสียงนางเจือคำวิงวอน ยกมุมปาก “แม่นางเจียง เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ มิสู้ฟังก่อนว่าเฉินจื่อวั่งจะพูดอะไร”เฉินจื่อวั่งมองเจียงอวิ๋นจิ่น ตอนนี้หัวใจแหลกสลายแล้ว“เหตุใดเจ้าโง่งมเพียงนั้น เหตุใดเจ้าต้องกินยาพิษฆ่าตัวตายด้วย?”เจียงอวิ๋นจิ่นคิดว่าแม้ซูจิ่งสิงไม่ให้นางเข้าจวน แต่อย่างไรนางก็เป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมาหากมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเฉินจื่อวั่ง ก็ยากจะรับประกันได้ว่าซูจิ่งสิงจะไม่โกรธ แล้วฆ่าเฉินจื่อวั่งโดยตรงดังนั้นนางขบเม้มกลีบปาก “เพราะเหตุใด ข้าเพียงแค่เข้าจวนอ๋องไม่ได้ รู้สึกกลัวภายในใจ ดังนั้นจึงกินยาพิษฆ่าตัวตาย ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า”“เจ้าพูดเหลวไหล” เฉินจื่อวั่งส่ายหน้า “ตั้งแต่เด็กขอเพียงเจ้าโกหกก็จะไม่กล้าสบตาข้า เจ้าสบตาข้าและบอกข้า เจ้าไม่อยากเข้าจวนอ๋องใช่หรือไม่?”น้ำตาของเจียงอวิ๋นจิ่น ไหลลงมาอย่างสุดระงับนางพูดอย่างสติแตก “เหตุใดเจ้าต้
“เพียงแต่ลงท้ายจะเลือกเยี่ยงไร ยังต้องดูพวกเจ้าทั้งสอง”การเลือกของเฉินจื่อวั่ง นางรู้แล้ว“แม่นางเจียง หากเจ้ายินดี ข้าสามารถทำให้เจ้าและเฉินจื่อวั่งสมปรารถนาได้”“ข้า...” ดวงตาเจียงอวิ๋นจิ่นทอประกาย ขณะต้องการพยักหน้า ก็นึกถึงอะไรขึ้นได้ รีบส่ายหน้า“ข้าไม่สามารถรับปากได้ ท่านแม่ข้ายังอยู่ในเมืองหลวง หากข้าไป ข่าวนี้ส่งไปถึงเมืองหลวง ท่านแม่ข้าก็ไม่มีชีวิตรอดแล้ว”ดังนั้นนางจึงเลือกกินยาพิษ ต่อให้ต้องตาย ก็ไม่กล้าหนี“อวิ๋นจิ่น...” พูดถึงเรื่องนี้ เฉินจื่อวั่งเงียบลงเฉกเช่นเดียวกันเขาไม่มีครอบครัว ไม่มีพันธนาการจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ทว่าเจียงอวิ๋นจิ่นไม่เหมือนกัน ตั้งแต่เด็กนางและมารดาดูแลกันและกัน ไฉนเลยจะสามารถใช้ชีวิตของมารดามาแลกความสุขได้?เจียงอวิ๋นจิ่นพูดอย่างจริงใจ “ท่านอ๋องพระชายา ข้ารู้ทั้งสองท่านรักกันด้วยใจจริง พวกท่านไม่สามารถฝืนทนต่อสิ่งที่ตนไม่ชอบได้ ข้าเองก็ไม่เคยคิดทำลายพวกท่าน”เจียงอวิ๋นจิ่นรู้ ฝ่าบาทส่งนางเข้าไป ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการส่งคนสอดแนมคนหนึ่งเข้าไปอยู่ข้างกายเจิ้นเป่ยอ๋อง ในขณะเดียวกันก็ทำลายความรักระหว่างซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่“หากท่
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้