หรือว่าต้องจัดการโจวเซ่ออย่างเงียบ ๆ แบบนั้นจบเห่แน่ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หากภายภาคหน้าตระกูลโจวรู้เรื่องนี้เข้า คงได้เกิดเรื่องยิ่งกว่านี้แน่นางคิดไม่ออกชั่วขณะ จึงเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ โชคดีที่เวลานี้เฉินจื่อวั่งพาคนมาหานางพอดี ครั้นเห็นนางหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงอดประหลาดใจไม่ได้“พระชายา ท่านเป็นอะไรไปหรือ มีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านต้องลำบากใจเช่นนี้หรือขอรับ?”“หากไม่ใช่เพราะโจวเซ่อผู้นั้น....” หงเจาเป็นคนปากเร็วมือเร็ว จึงถูกชิงเหลียนถีบหนึ่งครั้งนักศึกษาที่อยู่ด้านหลังของเฉินจื่อวั่งตะลึงงัน ก่อนจะมองไปทางหงเจา “โจวเซ่อคนไหน?”“คุณชายโจวโจวเซ่อแห่งปิงโจว คู่หมั้นของฮูหยินน้อยตระกูลโจว”ชิงเหลียนคลี่ยิ้มกว้าง“ฮูหยินน้อยตระกูลโจวและพระชายาของเราสนิทกันมาก ครั้นพระชายาได้ยินว่าฮูหยินน้อยมีคู่หมั้นแล้ว ก็เลยกังวลก็เท่านั้น”สีหน้าของนักศึกษาผู้นั้นเปลี่ยนเป็นดูสดใสขึ้นมาทันที “โจวเซ่อคือพี่ชายของข้า”“ว่าอย่างไรนะ?”อย่าว่าแต่ชิงเหลียนและหงเจาเลย แม้แต่กู้หว่านเยว่ก็ยังตะลึงงันเฉินจื่อวั่งรีบแนะนำตัวเอง “พระชายา นี่คือสหายร่วมชั้นที่ข้าเคยบอกท่าน ชื่อว่าโจวเซิง”ก
กู้หว่านเยว่กล่าวว่า “ไหน ๆ เจ้ามาก็จากแดนไกลแล้ว หากไม่รังเกียจก็พักอยู่ในจวนกู้ชั่วคราวก่อนก็ได้ ระหว่างรอเข้ารับการประเมินจากสำนักศึกษาถงซัน”โจวเซิงรีบโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่ต้องหรอก ๆ ข้ารู้ว่าคนอย่างข้ามักจะโชคร้ายเสมอ ดังนั้นข้าไม่ขออยู่ในจวนดีกว่า ก่อนมานี่ข้าได้เช่าบ้านที่ไกลจากตัวเมืองเอาไว้หลังหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยพักอยู่ที่นั่นก็ได้”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่ได้บีบบังคับ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็โชคร้ายจริง ๆ“จริงสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าโจวเซ่อเป็นพี่ชายของเจ้าใช่หรือไม่?”“ถูกต้อง” โจวเซิงพยักหน้าครั้นกู้หว่านเยว่เห็นเขาไม่พูดมากความ จึงรู้สึกผิดหากจะถามมากเกินไป ได้แต่เชิญทั้งสองคนดื่มชาหลังจากดื่มชาเสร็จแล้ว เฉินจื่อวั่งก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า “พระชายา เราสองคนต้องเข้าไปคารวะอาจารย์ผู้มีพระคุณก่อน ขอตัว”“หงเจา เจ้าไปส่งพวกเขาเถอะ”หงเจ้าพยักหน้า หลังจากส่งพวกเขาเสร็จแล้วก็อดพูดแขวะไม่ได้ “ทั้งคู่เป็นบุตรชายที่เกิดจากบิดาคนเดียวกัน เหตุใดคุณชายโจวผู้นี้ถึงได้มีหน้าตาเฉลียวฉลาดกว่า วาจาไม่ธรรมดา แต่โจวเซ่อผู้นั้นกลับเป็นคนต่ำต้อยเสียได้”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ใครว่าไม่ใช่ละ
นางมองไปทางโจวเซ่อ “ท่าน?”โจวเซ่อหน้าแดงก่ำทันที และกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ขอโทษนะ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าเป็นคนทำหมึกดำเปื้อนเอง”“เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้?” ซ่งเสวี่ยไม่อยากเชื่อ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความโกรธ“ข้าแค่อยากช่วยเจ้า อยากช่วยเจ้าเก็บของ แต่คาดไม่ถึงว่าข้าจะโง่เขลาทำของของเจ้าสกปรกจนได้”โจวเซ่อกล่าวทั้งน้ำตา ใบหน้าโศกเศร้า“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้ากลัวเจ้าโกรธ จึงไม่กล้าบอกเจ้า ข้าเขียนแบบเขียนตัวอักษรอีกใบขึ้นมาใหม่แล้ว เจ้าดูสิว่าใช้ได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยพูดไม่ออกแบบเขียนแผ่นนี้ไม่มีประโยชน์ แต่ครั้นเห็นดวงตาแดงก่ำของโจวเซ่อ นางก็ทนตำหนิไม่ได้ อีกอย่างอีกฝ่ายก็หวังดี“ช่างเถอะ ๆ ต่อไปท่านห้ามเข้าไปในห้องตำราของข้าอีก”“หว่านเยว่ ต้องขอโทษด้วย ข้าจะไปเขียนใหม่ให้เจ้าหนึ่งชุด“ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าค่อยมาใหม่พรุ่งนี้”กู้หว่านเยว่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนจากไป โจวเซ่อมองนางด้วยความลำพองใจ ทำให้ชิงเหลียนโกรธจนหน้าซีดเผือด“เขา...”“หุบปาก กลับกันเถอะ”เห็นได้ชัดว่าพี่หญิงซ่งเป็นคนใจอ่อน เวลานี้หากโวยวายขึ้นมาอีก คนที่อับอายคงจะเป็นพี่หญิงซ่ง ส่วนโจวเซ่อนั้นไ
“ซุนมู่เจี้ยงเจ้าทำได้ดีมาก แม่พิมพ์ที่เหลืออีกสามหมื่นตัวอักษร ไว้ข้าค่อยข้าทำมาให้เจ้า”กู้หว่านเยว่มองสินค้าตัวอย่างด้วยความดีใจ“เจ้าคิดมาเลยว่าอักษรหนึ่งตัวราคาเท่าไหร่”“ตัวละห้าสิบตำลึงเงิน”ซุนมู่เจี้ยงคิดไม่ถึงว่ากู้หว่านเยว่จะชอบเพียงนี้ อย่างนี้เจ้าหนี้ก็จะใจเย็นลงบ้างแล้วตัวอักษรสามหมื่นตัว เท่ากับหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงินสำหรับกู้หว่านเยว่แล้วเป็นแค่เงินก้อนเล็ก ๆ นางพยักหน้า “อีกสองวันข้าจะให้คนนำแม่พิมพ์มาให้เจ้า”ซุนมู่เจี้ยงพยักหน้า และหลบเลี่ยงสายตา“ข้าขอร้องเจ้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่”เขามองออกว่าสถานะของกู้หว่านเยว่และคนอื่นไม่ธรรมดา หากพูดไปเกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินพวกเขา“ช่วยจ่ายเงินค่ามัดจำให้ข้าสักก้อนก่อนได้หรือไม่? ต่อไปก็ค่อยจ่ายเป็นเงินเดือนเดือนละครั้งให้ข้า”เขาขัดสนเงินจริง ๆ “ซุนมู่เจี้ยง เจ้าคงไม่ได้ไปบ่นหรอกนะ?”กู้หว่านเยว่จำได้ว่าเห็นคนจากบ่อนพนันมาเยือนหน้าประตูบ้านของพวกเขาในวันนั้น หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ การแกะสลักนี้ต้องคิดทบทวนเสียใหม่“ไม่ใช่ท่านพ่อของข้า แต่เป็นสามีของข้า”เสี่ยวชิวกัดริมฝีปาก สีหน้าลำบากใจ “เขาติดหนี้บ่อนจำนวนห
แม่นมฉินแสดงสีหน้าเจ็บปวดใจ ซ่งเสวี่ยรู้สึกขมขื่น นางก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้วมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน และยังคิดว่าตัวเองเป็นคนไร้เหตุผลอีกช่วงเวลาที่อยู่กับโจวเซ่อ นางก็บอกไม่ถูกว่าตรงไหนที่ผิดปกติ แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจไปเสียทุกอย่างแต่ทุกครั้งที่นางมีความคิดเช่นนี้ พอหันไปมองใบหน้าที่ซื่อสัตย์และจริงใจ พร้อมกับปรากฏคำว่าข้าทำเพื่อเจ้าของโจวเซ่อ นางก็รู้สึกว่าตนคิดมากไปเองนางถึงขั้นเริ่มสงสัยว่า หรือเป็นเพราะหลังจากที่ตัวเองสูญเสียสามีไป นิสัยก็เลยเปลี่ยน กลายเป็นคนขี้ระแวงเสียแล้ว“แม่นม ข้ารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน”ซ่งเสวี่ยยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองแม่นมฉินถอนหายใจ บางคำคนอื่นอาจไม่กล้าพูด แต่นางจำเป็นต้องพูด“ฮูหยินน้อยลองคิดดูเองนะเจ้าคะ โจวเซ่อคนนี้เหมาะสมกับท่านจริงหรือ บ่าวจะไม่พูดอะไรมาก ตอนที่คุณชายยังอยู่ ฮูหยินน้อยเคยรู้สึกแย่แบบนี้หรือไม่”ตอนที่สามีผู้ล่วงลับยังอยู่?แน่นอนว่าไม่มีสามีผู้ล่วงลับดีกับนางมากแม้กระทั่งวันที่นางขมวดคิ้วก็ยังน้อยมากซ่งเสวี่ยส่ายหัว แม่นมฉินเตือน “ถูกต้องแล้ว คนที่จริงใจกับท่านจริง ๆ จะไม่ทำให้ท่า
เมื่อเห็นกระดาษใยป่านมากมายขนาดนี้ กู้หว่านเยว่ถึงกับตกตะลึง ต่อมาก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ“ท่านดูสิว่ากระดาษใยป่านนี้ ดีกว่าที่ทางการแจกเสียอีก หลังจากที่ข้าได้สูตรการผลิตมา ข้าก็ได้ปรับปรุงร่วมกับคนงานอีกหลายคน จนในที่สุดก็ได้แบบนี้ ท่านลองดูผ่าน ๆ ตาก่อน ถ้ารู้สึกว่าใช้ได้ ข้าก็จะไม่แก้ไขแล้ว เริ่มผลิตจำนวนมากเลย”อวิ๋นมู่ยื่นกระดาษใยป่านให้กู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่รับไปส่องกับแสงแดดดู แล้วลองใช้พู่กันเขียน จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น“ดีมาก เยี่ยมมาก ผลิตตามแบบนี้แหละ”“ได้”อวิ๋นมู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่ในที่สุดเขาก็สามารถคิดค้นวิธีการทำกระดาษออกมาได้ ไม่ทำให้กู้หว่านเยว่ผิดหวัง“ต่อไปก็เริ่มทดลองทำกระดาษซวน* ความยากจะสูงกว่ากระดาษใยป่านเล็กน้อย”แต่ว่า มีประสบการณ์จากการทำกระดาษใยป่านแล้ว กระดาษซวนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกู้หว่านเยว่เห็นขอบตาของเขาแดงก่ำ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน “เจ้าอย่ามัวแต่ฝืนไปเรื่อย ๆ แบบนี้ ต้องพักผ่อนบ้าง”แม้ว่านางจะอยากให้โรงงานกระดาษสร้างเสร็จโดยเร็ว แต่ก็ไม่สามารถกดขี่ข่มเหงลูกน้องได้ ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของอวิ๋นมู่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล
ในใจของกู้หว่านเยว่รู้สึกสะใจมาก อยากจะเห็นสภาพอันน่าเวทนาตอนนั้นจริง ๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นกับตาเหลือบไปเห็นรอยยิ้มของซูจิ่งสิง เรื่องนี้คงไม่ใช่ฝีมือของเขาหรอกนะ?ซูจื่อชิงบรรยายได้อย่างเห็นภาพ “กลิ่นนั้น ช่างเย้ายวนเสียจริง สามวันต่อมาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาเลย”โจวเซ่อในตอนนี้ รู้สึกสิ้นหวังมากจริง ๆ เขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าแค่จะออกไปซื้อของกิน จะซวยได้ขนาดนี้ โดนรถขนถ่ายสิ่งปฏิกูลชนเข้าเสียได้แถมมูลสัตว์บนรถขนถ่ายสิ่งปฏิกูลนั่น ยังสาดลงมาไม่ถูกที่ถูกทาง เทลงบนหัวเขาจนหมด ราดตั้งแต่หัวจรดเท้าระหว่างเดินทางกลับบ้านสกุลโจว ก็ต้องเผชิญกับสายตาแปลก ๆ และเสียงหัวเราะเยาะจากผู้คนบนถนน โจวเซ่ออยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดพอกลับถึงบ้านสกุลโจว ก็เจอกับท่านพ่อท่านแม่โจว เห็นสีหน้าตกใจจนต้องหลบเลี่ยงของพวกท่าน โจวเซ่อยิ่งหน้าแดงก่ำ“จะ เจ้าไปทำอะไรมาถึงเป็นแบบนี้?”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวบีบจมูก มองโจวเซ่อที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยอุจจาระ ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าเขาดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้เห็นโจวเซ่อแล้วอยากจะอาเจียน“เจ้าออกไปให้ห่างจากพวกเราหน่อย”โจวเหล่าลากฮูหยินผู้เฒ่าโจวถอยมาข้างหลัง กล
ซ่งเสวี่ยก็ไม่รู้เช่นกัน“คุณชายโจวมักจะบอกว่าเขาไม่มีเพื่อน ตอนนี้ดูเหมือนว่า ถึงแม้จะไม่มีเพื่อน แต่ก็มีศัตรู” แม่นมฉินกล่าวเสริม“ฮูหยินน้อย ต่อไปนี้ท่านต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว”ซ่งเสวี่ยมองคราบสกปรกที่หยดลงบนพื้น จากนั้นก็พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ พยายามกลั้นอาเจียน “รีบกวาดของสกปรกบนพื้นนี่ออกไป แล้วราดน้ำสะอาดสักสองสามรอบ จากนั้นก็ย้ายกระถางดอกไม้มาวางสักสองสามกระถางเพื่อดับกลิ่น”แม่นมฉินรีบไปเรียกคนมา “อมิตาภพุทธ ฮูหยินน้อยของพวกเราเป็นคนที่รักความสะอาดที่สุด คราวนี้คงแย่แน่ พวกเจ้ารีบทำความสะอาดจวนทั้งข้างในและข้างนอกสักหนึ่งรอบ”ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าโจวเซ่อโดนคนสาดอุจจาระใส่กลางถนนทางด้านนี้ หลังจากที่โจวเซ่อกลับมาถึงห้องของตัวเอง เขาก็ใช้น้ำสะอาดชำระล้างร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งข้างในและข้างนอกหนึ่งรอบแต่กลิ่นเหม็นแบบนี้จะล้างออกง่าย ๆ ได้อย่างไร กลิ่นมันซึมเข้าไปในตัวเขาหมดแล้ว“บนตัวข้ายังมีกลิ่นอีกหรือไม่?”“ยังมีอีกนิดหน่อย...แหวะ”บ่าวชายที่เข้าไปดมกลิ่นอดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมา ทำให้โจวเซ่อคลั่ง เขารีบวิ่งไปที่บ่อน้ำแล้วตักน้ำสาดใส่ตัวเองหลังจากทำแบบน
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป