“แน่นอนอยู่แล้ว”เนี่ยชิงหลานพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้าเคยไปงานประมูลตั้งแต่สิบขวบแล้ว งานประมูลอินซานในปีนั้นจัดขึ้นในเขตเหอตงของเราพอดี”ซูจื่อชิง...ก็ดี ตอนแรกนึกว่าเจ้าเสแสร้ง แต่ปรากฏว่าเจ้าเคยไปจริง ๆ“เดี๋ยวถ้าพวกเจ้ามีอะไรไม่เข้าใจ ก็สามารถถามข้าได้”เนี่ยชิงหลานสีหน้ากระตือรือร้น ในขณะที่ซูจิ่นเอ๋อร์เดินตามอยู่ข้างหลัง ดูไม่ค่อยสบายใจ“ขอสวรรค์โปรดอวยพร งานประมูลจงมีดอกน้ำแข็งนิลด้วยเถิด”ซูจิ่นเอ๋อร์ท่องในใจเงียบ ๆหลายคนขึ้นไปชั้นสอง ปรากฏว่าที่มุมหนึ่ง กู้หว่านเยว่มองเห็นเจ้าหน้าที่คุ้มกันทั้งหลายจับกุมชายชราไว้คนหนึ่ง“เจ้าแอบมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ ที่นี่ทำไม? เจ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของงานประมูล”“เฮ้อ ข้าบอกไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ ข้ามากวาดพื้น ข้าเป็นพนักงานทำความสะอาด ในรายชื่อย่อมไม่มีชื่อของข้าอยู่แล้ว”ชายชราที่มีผมและหนวดเคราหงอกขาวคนนั้นคือปรมาจารย์แพทย์อย่างไม่น่าเชื่อกู้หว่านเยว่สับสนไปหมด ชายชราผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่? “พูดจาเหลวไหล ต่อให้เป็นพนักงานทำความสะอาดในรายชื่อก็ต้องมีบันทึกไว้ พวกข้าค้นหาในรายชื่อจนทั่วแล้ว แต่ไม่มีชื่อของเจ้าเลย” เจ้าหน้าที่คุ้มกันเอ่
“ทุกท่านโปรดทราบ เชิญรับประทานของว่างและจิบน้ำชา”พนักงานบริการคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก เข็นรถเค้กผลไม้และสุราเลิศรสเข้ามาซูจื่อชิงเหลือบมอง พลางอุทานด้วยความประหลาดใจ “เป็นสุราซูเหอเซียงจริง ๆ สุราประเภทนี้มีราคาแพงมาก มีเฉพาะในราชสำนักเท่านั้น ตลาดมืดอินซานนำสุราประเภทนี้มาต้อนรับแขกเหรื่ออย่างเหลือเชื่อ? สุรุ่ยสุร่ายเกินไปหน่อยไหม!”เนี่ยชิงหลานบ่นพึมพำ “เงินที่ตลาดมืดอินซานหาได้จากการประมูลในทุก ๆ สามปีนั้น เพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะใช้ชีวิตได้หลายชั่วอายุคนแล้ว และเขายังมีตลาดซื้อขาย คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถนำสิ่งของมาวางขายได้ที่ตลาดซื้อขาย งานประมูลก็เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูง”นางหยิบสมุดออกมาจากก้นลิ้นชักสองสามเล่ม “นี่คือสิ่งของที่ถูกนำขึ้นประมูลในวันนี้ อันที่จริงตอนนี้งานประมูลก็ยังไม่เริ่ม พวกเจ้าสามารถลองอ่านดูก่อนได้”ซูจิ่นเอ๋อร์รีบหยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะพลิกดูกู้หว่านเยว่ยื่นสมุดมาตรงหน้าซูจิ่งสิง “ท่านรู้ไหมว่าอ๋องหกต้องการซื้ออะไร?”ซูจิ่งสิงส่ายหัว กู้หว่านเยว่ค่อนข้างผิดหวัง แต่คิดว่าเดี๋ยวงานประมูลเริ่มแล้วก็รู้เอง จึงไม่ตอแยอะไรมากเกินไปนางพลิกดูสม
“ท่านอ๋อง ฝ่าบาทรับสั่งว่า สิ่งของที่จะนำมาประมูลในครั้งนี้ต้องไม่ให้หลุดมือไป ข้าน้อยเห็นผู้คนมากมายมาในวันนี้ ก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย”อ๋องหกยังคงนิ่งเฉย “มีอะไรให้ต้องกังวล เสด็จพี่ให้เงินมามากพอแล้ว หากเกินงบ ถึงตอนนั้นก็กลับวังไปเบิกคืนจากเสด็จพี่ก็จบ”“ขอรับ”เด็กรับใช้ไม่ออกเสียง ตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าทางราชสำนักไม่ได้มีเงินทองมากนัก“พวกซูจิ่งสิงมาถึงแล้วหรือยัง?”จู่ ๆ อ๋องหกก็เอ่ยถึงซูจิ่งสิง ทำให้คนทั้งสองในห้องแต่งตัวหูผึ่ง“มาถึงแล้วขอรับ ข้าน้อยได้ยินว่าพวกเขาอยู่ในห้องส่วนตัวหมายเลขหนึ่ง”อ๋องหกหรี่ตาลง “จับตาดูเขาไว้ คนผู้นี้สามารถสร้างเจดีย์หนิงกู่ได้ขนาดนี้ จงอย่าประมาท”เมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องหก กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็สบตากัน ดูเหมือนว่าอ๋องหกจะไม่ใช่คนไม่เอาไหนที่เอาแต่มองสาวงามอย่างที่ร่ำลือกัน สามารถพูดออกมาเช่นนี้ได้ ต้องเป็นคนที่มีแผนการอันล้ำลึกขณะที่ทั้งสองกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด อ๋องหกก็ถอนหายใจพร้อมกับเผยข้อมูลสำคัญออกมา “แต่หวังว่าการประมูลครั้งนี้ จะสามารถประมูลสมุนไพรที่เสด็จแม่ต้องการได้”“ต้องได้แน่นอน เงินที่ท่านอ๋องเตรียมไว้มากพอแล้ว”กู้หว่า
“หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง!”ผู้คนในห้องหมายเลขหนึ่งต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่เคยคาดคิดว่ายาเม็ดธรรมดาเม็ดหนึ่งจะขายได้ในราคาสูงเช่นนี้“ยาเม็ดธรรมดาอะไรกัน? นี่คือสิ่งที่ข้าได้คิดค้นออกมาจากความพยายามอย่างหนักครั้งแล้วครั้งเล่า มันเป็นรอยยิ้มราคาถูกที่ผู้ชายที่ไหนก็หาไม่ได้”ว่าแล้วก็ชูมือทั้งสองร้องเรียก “ที่รัก สูงขึ้นอีก สูงขึ้นอีก หาเงินให้ข้าอีกหน่อย”“สองแสนตำลึง”ขณะที่ห้องหมายเลข 49 กำลังคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว จู่ ๆ ก็มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากห้องหมายเลข 2“ห้าแสนตำลึง”“...” เพิ่มไปอีกสามแสนตำลึงในชั่วพริบตา หมายเลข 40 และหมายเลข 52 ก็ไม่กล้าเสนอราคาอีกกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้ากัน คนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในห้องหมายเลข 2 คือใคร แต่พวกเขาเพิ่งกลับออกมาจากที่นั่นอ๋องหกไม่มีทางซื้อของสิ่งนี้ให้กับมารดาของเขา มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ของสิ่งนี้ฮ่องเต้ใช้ให้เขาซื้อจู่ ๆ กู้หว่านเยว่ก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นกับฮ่องเต้ชั่วผู้นี้? มั่วโลกีย์เกินไปหรือเปล่า? ทำไมถึงต้องการของแบบนี้?ในเมื่อของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ชั่วต้องการ ทั้ง
คนอื่นอีกสองสามคนต่างพากันหันมองซูจิ่งสิงด้วยสายตาสงสาร คิดไม่ถึง พี่ใหญ่ผู้ห้าวหาญดุจเทพสงคราม ถึงขั้นมีปัญหาทางด้านนั้นภายในห้องหมายเลขสอง อ๋องหกมองยากระทิงดุที่ถูกส่งเข้ามา ขมวดคิ้วมุ่นเพื่อทำให้ซูจิ่งสิงไม่ได้รับของสิ่งนี้ไป วันนี้เขาใช้จ่ายเกินงบประมาณไปบ้างมีของประมูลอีกสองสามชิ้นส่งเข้าไปอีกครั้ง“ลำดับต่อจากนี้คือประมูลผลต้นเกล็ดหิมะ ตำนานเล่าว่าท่ามกลางต้นเกล็ดหิมะหนึ่งหมื่นต้นจะออกผลเพียงหนึ่งเดียว ผลต้นเกล็ดหิมะสามารถถอนพิษได้ทุกชนิด เริ่มประมูลที่หนึ่งหมื่น!”อ๋องหกมองผลต้นเกล็ดหิมะบนโต๊ะก็หวั่นไหวเล็กน้อยได้รับผลนี้มา อาการป่วยของเสด็จแม่ก็มีทางรักษาแล้ว“หนึ่งแสนตำลึง”เขาเสนอราคาอย่างทนรอแทบไม่ไหวภายในห้องหมายเลขหนึ่ง กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน เมื่อครู่ตอนพวกเขาอยู่ภายในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้ยินคำพูดของอ๋องหก พอจะเดาออกว่าอ๋องหกต้องการประมูลผลต้นเกล็ดหิมะนี้มอบให้เสด็จแม่ของเขา“แปลกยิ่งนัก ผลต้นเกล็ดหิมะใช้สำหรับถอนพิษ หรือว่าเสด็จแม่ของอ๋องหกถูกพิษหรือ?” กู้หว่านเยว่กระซิบเสียงแผ่วพลางใคร่ครวญซูจิ่งสิงพูดเสียงเบา “คนในราชวงศ์เต็มไปด้วยการชิงดีช
ปรมาจารย์แพทย์มองดูอยู่ครู่หนึ่งก็คืนต้นเกล็ดหิมะให้กู้หว่านเยว่เขาเชื่อมาโดยตลอดว่าสมุนไพรทุกชนิดในใต้หล้ามีข้อดีของตน ไม่ใช่ยิ่งแพงก็ยิ่งดี ยาทุกชนิดล้วนสามารถใช้งานได้ตามความเหมาะสมของมันเขาย่อมไม่มีวันยอมรับว่าเพราะตนเองยากจน เดิมทีก็ไม่สามารถใช้สมุนไพรราคาแพงได้“อย่างไรเสียครั้งนี้ ข้าก็นับว่าได้รับอย่างเต็มที่แล้ว”ก่อนหน้านี้ก็เพราะปรมาจารย์แพทย์ดูเบาที่จะเข้าร่วมงานประมูลเช่นนี้ ไม่อยากนำยาที่ตนปรุงออกมาอย่างยากลำบากมาประมูล หาไม่แล้วอิงตามวิชาแพทย์ของเขา ก็ไม่รู้ว่ามีทรัพย์สินกี่มากน้อยไปตั้งนานแล้ว ไม่มีวันขาดแคลนเงินงานประมูลดำเนินต่อไป ในที่สุดก็มาถึงตำราควบคุมสัตว์ร้ายที่กู้หว่านเยว่ต้องการอย่างว่องไวเดิมทีนางเตรียมจะประชันขันแข่งแล้ว สรุปคือนางต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าทุกคนไม่รู้จักสิ่งนี้ ไม่รู้ว่านำของสิ่งนี้ไปแล้วมีประโยชน์อันใด ดังนั้นจึงไม่มีใครเสนอราคาแม้แต่คนเดียว ลงท้ายนางก็ได้มาในราคาต่ำเพียงหนึ่งพันตำลึง ราคาโน้ตเพลงนี้ราคาต่ำเกินคาดชั่วขณะได้โน้ตเพลงนี้มาถือไว้ในมือ กู้หว่านเยว่ตื่นเต้นมาก อยากรีบวิ่งเข้ามิติและค้นคว้าโน้ตเพลงนี้ในทันทีทว่าลงท้ายยั
กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านข้าเป็นสามีภรรยา ระหว่างสามีภรรยาไม่พูดห่างเหินกันเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้ารู้ว่าท่านเองก็คำนึงถึงราษฎร์ของเจดีย์หนิงกู่”แม้นางมิใช่คนต้าฉีเลยเสียทีเดียว แต่เคยอ่านต้นฉบับมาก่อน ก็รู้ว่าคนทูเจวี๋ยต้องการฆ่าล้างราษฎร์ต้าฉีให้สิ้นซากที่ชายแดนในทุกปีคนทูเจวี๋ยมักข้ามแนวป้องกันมาลักพาตัวราษฎร์ ทารุณกรรมเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่ผู้หญิงและเด็กก็ไม่ละเว้นสามารถมองเห็นได้ หากคนเช่นนี้เข้ามาที่เจดีย์หนิงกู่ ไม่แน่ว่าอาจนำมาซึ่งการทำลายล้างเจดีย์หนิงกู่“เจดีย์หนิงกู่เองก็เป็นบ้านที่ข้าสร้างขึ้น เป็นดินแดนแห่งสวรรค์ที่ข้าสร้างขึ้น หากพวกเขาต้องการลงมือที่นี่ ข้าเองก็ไม่มีวันยอม”กู้หว่านเยว่หัวเราะ ซูจิ่งสิงสบมองนางอย่างอ่อนโยน จิตวิญญาณของทั้งคู่ในเวลานี้สอดประสานกันได้ดีในเมื่อตัดสินใจสืบค้นทั้งตลาดประมูลแล้ว เช่นนั้นอย่างแรกก็ต้องมีแผนที่ของตลาดประมูลก่อนกู้หว่านเยว่นึกคิดก็เข้ามาในมิติ ให้ระบบมอบแผนที่ตลาดประมูลให้นางหนึ่งฉบับจากนั้นทั้งสองคนก็อ้างว่ามีธุระ ออกจากห้องหมายเลขหนึ่งไป“วันนี้พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่เป็นอะไรไป เหตุใดคล้ายมีง
กู้หว่านเยว่พูดอย่างแปลกใจมาก “งานใหญ่ถึงเพียงนี้ เจ้าของตลาดมืดถึงขั้นไม่ปรากฏตัวออกมาหรือ?”ซูจิ่งสิงส่ายหน้า “เจ้าของตลาดมืดอินซานไปมาโดยไม่ทิ้งร่องรอย ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ปกติเขาไม่เปิดเผยโฉมหน้าออกมาอย่างง่ายดาย ล้วนมอบให้สามผู้ดูแลของตนไปจัดการผู้ดูแลมาจัดงานประมูลที่เจดีย์หนิงกู่ในครั้งนี้ ชื่อว่าเฉียนต้า”กู้หว่านเยว่ใคร่ครวญ มองดูแล้วเจ้าของงานประมูลนี้ลึกลับมากจริงๆในเมื่อเขาไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมาก่อน เช่นนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับเขาโดยตรง ก็อาจจำไม่ได้ว่าเขาคือเจ้าของงานประมูลนั่นก็หมายความว่าต้องการตามหาเขา ยากไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร“แม้ว่าพวกเราไม่เคยพบเจ้าของงานประมูลมาก่อน แต่ผู้ดูแลอยู่ใต้อาณัติเขาทั้งสามคนจะต้องเคยพบมาก่อนแน่”ดวงตากู้หว่านเยว่ทอประกาย จากนั้นไม่ชักช้าร่ำไรอีก พาซูจิ่งสิงเทเลพอร์ตไปบนคานบ้านของห้องเล็กแห่งนั้นทั้งสองคนมาถึงที่นี่ถึงรู้ว่าห้องเล็กแห่งนี้อยู่ตำแหน่งสูงที่สุดของตลาดประมูล คนนั่งอยู่ทางด้านล่างสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวทั้งงานประมูลได้ขณะเดียวกันที่กำลังนั่งอยู่กลางห้องก็คือชายวัยกลางคนร่างอ้วนอัปลักษณ์คนหนึ
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป