“สัตว์น้ำแข็ง?!”กู้หว่านเยว่ไม่กล้าเชื่อ กระทั่งโพล่งพูดออกมาซูจิ่งสิงกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ “สัตว์น้ำแข็ง เป็นสัตว์แบบไหน?”“เป็นสัตว์ตัวน้อยที่อาศัยอยู่ในเขตน้ำแข็งตัวหนึ่ง ลำตัวขาวโพลนดุจหิมะ มีลักษณะคล้ายกับน้ำแข็ง ดังนั้นจึงเรียกว่าสัตว์น้ำแข็ง”กู้หว่านเยว่หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา แล้วพลิกเปิดไปหน้าหนึ่งและยื่นให้ซูจิ่งสิง“สัตว์น้ำแข็ง กินดอกไม้น้ำแข็งเป็นอาหาร ตามตำนาน ต่อให้เขาทั้งสองข้างของพวกเขาจะหัก ก็ยังสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง หากได้เขามาบดเป็นผง สามารถช่วยคนที่กำลังจะตายให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้”แต่แน่นอนว่าเป็นแค่ตำนาน ความจริงอาจจะไม่ได้น่าตกใจถึงเพียงนั้นแต่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วถึงความล่ำค่าของสัตว์น้ำแข็งตัวนี้ ชักอยากรู้จริง ๆ ว่ายังมีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่กล้าบอกว่าช่วยคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้?ครั้นพ่อบ้านเฉียนเห็นกู้หว่านเยว่หยิบของจากในอากาศได้ ก็พลันตื่นตกใจจนตัวสั่นระริก“สัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาด!”หากมองดี ๆจะเห็นคราบสกปรกที่ไหลออกมาจากกางเกงของเขา นั้นคือปัสสาวะกู้หว่านเยว่แสดงสีหน้ารังเกียจ “ครั้งต่อไปอย่าพาใครเข้ามาสอบสวนในนี้อีก เปื้อนบ้าน
พูดได้ว่าท่อนบนของบทเพลง กู้หว่านเยว่เป่าจนชินมือแล้ว ครั้นนางเห็นท่อนล่างของบทเพลง หัวคิ้วก็เริ่มขมวดมุ่น ท่อนล่างของเพลงควบคุมสัตว์ร้าย นั้นยากกว่าแต่ก่อน ไม่เพียงแต่เนื้อหาที่เข้าใจยากแล้ว แม้แต่ทำนองก็ยังซับซ้อนอีกด้วยกู้หว่านเยว่หยิบขลุ่ยออกมา และทดลองเป่าสองสามท่อนของบทเพลง ผลปรากฏว่าเป่าติดขัด ไม่สามารถเป่าอย่างราบรื่นได้“ดูท่าทางถ้าหากจะเรียนรู้บทเพลงท่อนหลัง ยังต้องฝึกฝนอยู่บ่อยครัังถึงจะเป่าได้”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่ได้ท้อใจ ถึงอย่างไรนางก็มีเวลา ตราบใดที่ยังว่าง ก็ยังเข้ามาฝึกฝนอยู่ในห้วงมิติได้ในขณะเดียวกัน นางเองก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย บทเพลงควบคุมสัตว์ร้ายท่อนล่างใช้ทำอะไรได้บ้างกู้หว่านเยว่ฝึกฝนอยู่ครู่หนึ่ง ทางฝั่งของซูจิ่งสิงก็สอบสวนเสร็จพอดี“เป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาสองคนเล่นตุกติกหรือไหม?”กู้หว่านเยว่กล่าวถามอย่างประหลาดใจ ซูจิ่งสิงพยักหน้า “จี่ลีเองก็ไม่รู้ว่าเหยลวี่เจิงอยู่ที่ไหน แต่นางบอกว่านางมีสหายคนหนึ่งในในหอร้อยบุปผา และอยู่ในเจดีย์หนิงกู่ อีกฝ่ายกำลังดำเนินตามแผนที่สองของเหยลวี่เจิง”“แผนที่สอง คือใช้การประมูลมาลอบทำร้ายพวกเรา แผนที่สองนั้นคื
ซูจิ่งสิงรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าเก็บตั๋วเงินเหล่านี้ไปเถอะ”หลังจากสิ้นสุดการประมูล ปรมาจารย์แพทย์และผู้ฝากขายสมบัติคนอื่น ๆ ต่างก็ได้กำไรไปหมดแล้วดังนั้นตั๋วเงินในนี้ล้วนแต่เป็นตำลึงเงินที่ประมูลมาจากอินซานทั้งสิ้น“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”ครั้นนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย กู้หว่านเยว่ก็ไม่ยั้งมือแต่อย่างใด เพียงโบกมือเดียวก็กวาดเอากล่องตั๋วเงินจำนวนหนึ่งภายในห้องเข้าไปในห้วงมิติในเวลาเดียว นางเดินเข้ามาในมุมหนึ่งของห้อง รวบรวมสมบัติที่มากองไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องเกรงว่าคงจะไม่มีใครรู้ เงินทั้งหมดที่ประมูลได้ในวันนี้ได้เข้ามาอยู่ในกระเป๋าของกู้หว่านเยว่เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่านางคือผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด“ท่านพี่ เราไปกันเถอะ”สิ่งที่ควรถามก็ถามไปหมดแล้ว อยู่ในตลาดประมูลต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไรกู้หว่านเยว่หยิบน้ำมันเชื้อเพลิงถังหนึ่งออกมาจากห้วงมิติ แล้วลาดทั่วห้อง จากนั้นก็หยิบคบเพลิงหนึ่งอันมาจุดไฟเผาบ้านจนวอดวาย ก่อนจะพาซูจิ่งสิงกระโดดออกไปจากที่นี่ทั้งสองคนลอยตัวออกไปจากตลาดประมูล กระทั่งมาถึงยอดเขาที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเม
กู้หว่านเยว่พาซ่งเสวี่ยไปทานอาหารเช้าด้วยกัน ซ่งเสวี่ยหยิบหญ้าสงซินที่ประมูลได้เมื่อวานออกมา“เมื่อวานเห็นเจ้ามีธุระ จึงไม่ได้มารบกวนเจ้า ข้าแค่อยากมาถามเจ้าว่าช่วยหลอมยาจีนชนิดนี้เป็นยาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”ทั้งสองคนสนิทกันมาก ซ่งเสวี่ยก็ไม่ได้หยิ่งยโส จึงเปิดประเด็นทันทีกู้หว่านเยว่พิจารณาหญ้าสงซินครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “หญ้าสงซินชนิดนี้มีมูลค่ามาก อีกทั้งประสิทธิภาพก็แรงกล้า หากใช้ทั้งต้นมาหลอมเป็นยา ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าโจวจะทนไม่ไหวเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าจะใช้หญ้าสงชนิดนี้หลอมออกมาเป็นยาที่มีปริมาณเท่ากัน แต่เหมาะสมกับร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าโจวยิ่งกว่า”ซ่งเสวี่ยรีบกล่าว “ใช่ ๆ หมอที่ข้าเชิญมาก็กล่าวเช่นนี้ เดิมทีอยากให้หมอหลินช่วยหลอมยาจีน แต่สำหรับเขาการหลอมยาจีนดูเหมือนจะง่าย แต่ขั้นตอนการทำกลับยากยิ่งกว่า เขาไม่มีฝีมือด้านนี้ เกรงว่าจะทำลายหญ้าที่มีมูลค่าเหล่านั้นไปเสียเปล่า”นางคลี่ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าทำจึงต้องมารบกวนเจ้า”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้ม “เจ้ากับข้าสนิทกัน ทำไมต้องบอกว่ารบกวนด้วย เจ้าควรมาให้ข้าช่วยหลอมยาจีนให้ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ!”เสี่ยวชิวร้องไห้วิ่งโผเข้าไปกอดวุนมู่เจี้ยง จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “ท่านพ่อไม่หายใจแล้ว!”ซุนเอ้อร์หลางได้ยินแต่กลับไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิด ทั้งยังถือโอกาสล้วงกระเป๋าของซุนมู่เจี้ยง ก่อนจะตะเกียดตะกายลุกขึ้นและวิ่งออกไปด้านนอก“เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน!”ชิงเหลียนลอยตัวขึ้นมา ก่อนจะใช้เท้าข้างหนึ่งเตะอีกฝ่ายจนล้มไปกองบนพื้น“ไอ้คนสารเลว ปล่อยข้า!”ซุนเอ้อร์หลางด่ากราดด้วยความโกรธเคือง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าเย็นยะเยือกของกู้หว่านเยว่ก็พลันตื่นตกใจโดยไม่กล้าส่งเสียง“เจ้ายังเป็นคนหรือไม่? ท่านพ่อข้าตกอยู่ในสภาพนี้ เจ้าหวังแต่จะขโมยเงินทองอีกหรือ”เสี่ยวชิวเสียใจอย่างมาก โอบกอดซุนมู่เจี้ยงพลางร้องไห้อย่างเจ็บปวดกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วมุ่น เสียดายฝีมือของซุนมู่เจี้ยง จึงเดินเข้าไป“ถอยไป ข้าเป็นหมอ ให้ข้าดูหน่อย”เสี่ยวชิวรีบถอยไปด้านข้าง กู้หว่านเยว่ตรวจอาการของซุนมู่เจี้ยงครู่หนึ่งโชคดีที่ไม่ได้โกรธจนเลือดคลั่งในสมอง แค่โกรธมากจนหายใจไม่ทันก็เท่านั้นนางรีบหยิบเข็มออกมา แล้วฝังเข็มบนตัวของซุนมู่เจี้ยง ในขณะเดียวกันก็หยิบเครื่องเป่าลมออกมา จากนั้น
“สายไปแล้ว”ซุนมู่เจี้ยงไม่สนใจ สั่งให้เสี่ยวชิวเข้าไปหยิบเชือกมามัดเขาไว้เขาไม่มีทางลืม เมื่อครู่ในตอนที่เขาหมดสตินั้น ซุนเอ้อร์หลางผู้นี้ น้องชายแท้ ๆ ของเขาผู้นี้คิดจะขโมยเงินและชิ่งหนีไปน้องชายเฮงซวย!ต่อไปเราขาดกัน“ไว้เจ้าตายเมื่อไหร่ ท่านปู่กับท่านย่าคงได้สาปแช่งเจ้าเป็นแน่ ข้าจะหาความเมตตาให้เจ้าอย่างถึงที่สุดละกัน”ซุนมู่เจี้ยงด่าทออย่างไม่สบอารมณ์ เสี่ยวชิวถึงขั้นยกนิ้วโป้งชื่นชม“ท่านพ่อ ท่านควรทำอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ขังท่านอารองไว้ในคุก ปล่อยให้เขาอยู่ในคุกอย่างสงบสุข”บางทีอาจจะทำให้เลิกเล่นการพนันได้ แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ?กู้หว่านเยว่เดินออกมาจากบ้านของซุนมู่เจี้ยงอย่างไม่สบายใจ ถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้แม่แบบตัวอักษร เหตุการณ์นี้ทำลายแผนเดิมของนาง“เช่นนั้นเราไปดูในเมืองกันเถอะ ถือเป็นการสงบสติอารมณ์ด้วย”ซ่งเสวี่ยแนะนำ ทั้งสองคนเดินมาถึงตลาดเพื่อให้เดินเล่นอย่างสะดวกทั้งสองคนได้ลงจากรถม้า และเดินเท้าเข้าไป“ขอคารวะพระชายา” โจวเซิงถือสมุนไพรในมือ ครั้งเห็นพวกเขาสองคนก็นึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่”เขามองหน้าซ่งเสวี่ยด้วยสายตาเปล่งประกาย ก่อนจะละสา
กู้หว่านเยว่รู้สึกรังเกียจ เบนสายตาไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นหนูที่กำลังส่งเสียงร้องจี๊ด ๆ เหล่านั้น “ข่าวลือนี้แพร่กระจายออกมาจากที่ไหน?”โจวเซิงส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ขอรับ”ซ่งเสวี่ยจึงอดกล่าวไม่ได้ “กินหนูเพื่อยืดอายุขัย พวกเขาคิดว่าจะมีคนมาซื้อหนูจริง ๆ หรือ?”สิ้นสุดเสียงก็เหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง เนื่องจากมีคนจำนวนมากออกไปซื้อ“พวกเราเปลี่ยนที่เดินเล่นกันเถอะ”ซ่งเสวี่ยอดกลั้นความสะอิดสะเอียน จริง ๆ แล้วนางไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ต่อกู้หว่านเยว่กลับกล่าวขึ้นด้วยความสงสัยว่า “พี่หญิงซ่ง คุณชายโจว พวกท่านสองคนเดินเล่นไปพลาง ๆ ก่อนนะ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ”นางสงสัยว่าเรื่องของหนูเหล่านี้ต้องไม่ง่ายเพียงนั้น จึงไม่มีอารมณ์เดินเล่นต่อ“หงเจว เจ้าอยู่ปกป้องพี่หญิงซ่งอยู่ที่นี่”กู้หว่านเยว่กระโดดขึ้นรถม้าจากไป“หว่านเยว่”ซ่งเสวี่ยยงไม่ได้สติ เจ้าตัวก็จากไปแล้ว นางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“พระชายาชักจะจุ้นจ้านเกินไปแล้ว บอกให้ไปก็ไป”โจวเซิงเองก็อ้าปากตางค้างซ่งเสวี่ยกลับอิจฉา “ข้าอิจฉาหว่านเยว่มาก ยุ่งงานก็ดี จะได้ไม่ต้องเหมือนข้า และเสียเวลาไปกับความว่
ซูจิ่งสิงโบกมือ ให้ฉู่เฟิงออกไปก่อน“ข้าให้คนไปสืบเรื่องสกุลหลัวแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน หว่านเยว่”เขาดึงให้กู้หว่านเยว่นั่งลง แล้วรินชาให้นางถ้วยหนึ่ง “วันนี้คนของตลาดประมูลมาแจ้งความที่ศาลาว่าการ บอกว่าเมื่อวานเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ เผางานประมูลเสียจนวอดวายไปหมด พ่อบ้านเฉียนและลี่จีถูกไฟคลอกตายแล้ว”กู้หว่านเยว่ไม่รู้สึกสงสารพวกเขาแม้แต่น้อย ทั้งสองคนนี้จิตใจโหดเหี้ยม ถูกไฟคลอกตายก็สมควรแล้ว“ท่านจะจัดการอย่างไร?”“แสร้งทำเป็นส่งคนไปสืบสวน จากนั้นก็ทำทีเป็นเผลอปล่อยข่าวว่าตลาดประมูลใส่ยาพิษลงไปในกระถางธูป”ซูจิ่งสิงแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ ทำให้กู้หว่านเยว่หัวเราะเบา ๆ วิธีนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ แบบนี้ ถึงแม้ตลาดมืดอินซานจะเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นในเจดีย์หนิงกู่ พวกเขาก็ไม่กล้ามาหาเรื่องบางที อาจจะมีคนที่มาตลาดประมูล ไปหาเรื่องตลาดมืดอินซานก็ได้“กล้าร่วมมือกับพวกทูเจวี๋ย ก็คิดดอกเบี้ยก่อนเลยแล้วกัน”ซูจิ่งสิงเกลียดชังพวกทูเจวี๋ย แม้แต่ในจดหมายก็ยังแสดงความรังเกียจออกมาทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีเสียงดังขึ้นข้างนอก“ท่านอ๋อง สกุลหลัวส่งเทียบเชิญมา เชิญท่านและพระชายาไปร่ว
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้