“ตกลง แม่รับปากเจ้า หย่าก็หย่า!”สวีฮูหยินพูดพลางแอบสังเกตกู้หว่านเยว่สักครู่ เมื่อเห็นว่ากู้หว่านเยว่ไม่ได้พูดอะไร จึงรีบฉวยโอกาสนี้ดึงฮูหยินน้อยหลัวออกไปทางด้านข้างกู้หว่านเยว่ก็รู้สึกเห็นใจฮูหยินน้อยหลัวเช่นกัน ไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยอะไร พลางส่งสายตาให้ชิงเหลียน ให้นางจับหลัวเฉิงไว้ จากนั้นก็มองไปที่หลัวไฉ่“เจ้าเป็นใครกันแน่?”หลัวไฉ่ถูกตรึงอยู่กับพื้น ไม่พูดอะไรสักคำ พลางมองไปที่กู้หว่านเยว่พร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะ“อยากรู้ว่าข้าเป็นใครใช่ไหม? ยังไงข้าก็ไม่บอกท่านหรอก ท่านฆ่าข้าเสียเถอะ อันที่จริงเมื่อตกอยู่ในมือท่านข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”กู้หว่านเยว่มองดูหลัวไฉ่ในสภาพนี้ ช่างเหมือนกับลี่จีจริง ๆ แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมาในใจของนาง“หงเจา ไปดูซิว่ามีดอกโบตั๋นบนหน้าอกของนางหรือไม่”“เจ้าค่ะ” หงเจารีบเดินเข้าไป พลางคว้าหลัวไฉ่ที่กำลังถอยหนี ก่อนจะฉีกเสื้อผ้าตรงหน้าอกของนางออก เห็นรอยสักดอกหนึ่งบนนั้นดังคาด“ฮูหยิน มีดอกโบตั๋นอยู่ดอกหนึ่งจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เจ้าเป็นคนจากหอร้อยบุปผา”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง สงสัยว่าหลัวไฉ่ตัวจริงอาจจะตายไปแล้วก็ได้“ข้าไม่ใช่!” หลัวไฉ่รีบส่ายหั
ปรมาจารย์แพทย์กำลังศึกษาค้นคว้าหน้ากากผิวหนังมนุษย์ หน้ากากนี้เป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ บางราวกับว่างเปล่า คลุมใบหน้าเบา ๆ ก็สามารถเปลี่ยนรูปโฉมของคนได้“ให้ข้าดูหน่อยว่ามันทำยังไง หนังหมู กระเพาะปลา ยังมีอะไรอีก?”“เจ้าหุบเขา แสดงให้ศิษย์ดูหน่อย”หมอหลินอิจฉา เขายังไม่เคยเห็นหน้ากากผิวหนังมนุษย์มาก่อน ปรมาจารย์แพทย์เองก็ไม่ได้ใจแคบเช่นกัน ก่อนจะโบกมือให้“มา ๆ ๆ เสี่ยวหลิน เจ้าดูซิช่าว่าขนคิ้วบนนี้ทำจากอะไร”ชายชราและชายหนุ่มกำลังศึกษาหน้ากากผิวหนังมนุษย์อยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง“ไม่ทราบว่าท่านคือเจ้าหุบเขาของหุบเขาราชาโอสถหรือไม่?”ชายที่เพิ่งร้องไห้อย่างขมขื่นที่ไม่สามารถช่วยชีวิตแม่ได้รีบถามขึ้น“ข้าน้อยแซ่หลิว เป็นถงจือของเมืองอวี้ ในเรือนของข้าน้อยมีมารดาสูงอายุนอนป่วยติดเตียงอยู่คนหนึ่ง ท่านเจ้าหุบเขาช่วยแม่ของข้าได้หรือไม่”ถ้าเป็นเมื่อก่อน ปรมาจารย์แพทย์ต้องไม่ไปแน่นอน แต่ตอนนี้ที่เขาต้องการก่อตั้งหุบเขาราชาโอสถ ต้องรีบสร้างชื่อเสียงให้ขจรขจายออกไป“รอสักครู่ หลังจากงานเลี้ยงจบลง ข้าจะไปดูเอง””ขอบคุณเจ้าหุบเขา”ถงจือหลิวก็เป็นคนสายตาแหลมคมเช่นกัน มองออกว่
“อ๊อก หยุดพูดเถอะ ข้าอยากอาเจียน”หร่านถิงหน้าเหยแก รู้สึกหวาดกลัวผู้หญิงเป็นครั้งแรกก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีหญิงใดที่หลงใหลเขา แต่ที่จะเป็นจะตายเพราะเขา ต้องการให้เขาตาย หลัวจือฉิงนั้นเป็นคนแรก“ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย” หลัวจือฉิงมองไปที่หลัวฮูหยิน นางถูกหร่านถิงตีด้วยไม้กวาดจนเจ็บปวดมากไม่นึกว่าหลัวฮูหยินจะพูดขึ้นมาอย่างหวาดกลัว “ตัวเองทำผิด ถูกทุบตีก็ต้องอดทนไว้”หร่านถิงผู้นี้รู้จักกับชายาท่านอ๋อง ถูกตีมากกว่านี้อีกหน่อยบางทีชายาท่านอ๋องอาจจะคลายโมโหได้ ไม่ทำให้สกุลหลัวลำบาก“ท่านแม่?” หลัวจือฉิงยังคิดว่าตัวเองหูฝาดไป “นี่ท่านกำลังพูดภาษาคนอยู่หรือเปล่า?”เมื่อเห็นหลัวฮูหยินเบือนหน้าหนี นางก็โกรธจนกระอักเลือด ระเบิดออกมาอย่างหนักหน่วงออกมาโดยไม่สนใจสิ่งใด“ต่อให้ข้าแอบเลี้ยงผู้ชายไว้ในเรือน แต่ก็เพราะเรียนรู้มาจากท่าน ดูนางให้ดูแม่!”“...”“บัดซบ หลัวฮูหยินแอบเลี้ยงผู้ชายไว้ในเรือนอย่างไม่น่าเชื่อ!”“ปกตินางมักจะเสแสร้งทำตัวเป็นหญิงบริสุทธิ์ยึดมั่นในคุณธรรม แล้วยังดูถูกอนุภรรยาอีกด้วย จะเป็นไปได้อย่างไร?”ทุกคนรู้จักกันหมด หลัวฮูหยินนั้นอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี“ห
หลัวเฉิงค่อนข้างหวาดกลัว แต่ยังคงเชิดหน้า “ไฉ่เอ๋อร์เป็นน้องสาวของข้า นางไม่รู้เรื่องอะไร”“ทรมานเขา”ซูจิ่งสิงโบกมือ การกระทำนี้ทำให้หลัวเฉิงไร้ความสามารถไปแล้ว ไม่ใช่ว่าควรสอบสวนก่อนสักครู่ แล้วค่อยใช้การทรมานหรือ? ทำไมพอมาถึงก็จะทรมานเลย?เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่นำที่หนีบนิ้วมาเข้ามา หลัวเฉิงก็กลืนน้ำลาย หวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก วิงเวียนไปหมด“หนีบ”ซูจิงสิ่งสั่งการ เจ้าหน้าที่ออกแรงทันที หลัวเฉิงรู้สึกเพียงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่ถูกส่งมาจากนิ้ว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่น ถึงขนาดที่ว่าร่างกายท่อนล่างยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ก็ได้เปลี่ยนน้ำเสียงขอความเมตตา“หญิงชั่วช้า ข้าต้องการมีชีวิตอยู่...นางไม่ใช่หลัวไฉ่ หลัวไฉ่ตัวจริงตายไปแล้ว นางคือหญิงที่ข้าพบในอารามเต๋า หยุด!ซูจิงสิ่งพูดอีกครั้ง “หยุด”หลัวเฉิงน้ำมูกน้ำตาไหลปะปนกัน แทบจะหมดสติไป พิงอยู่บนไม้ตรึงนักโทษ หอบเหมือนลูกหมาที่กำลังจมน้ำกลัวว่าที่หนีบจะรัดแน่นขึ้นอีกครั้ง เขาจึงรีบพูดออกมา“หญิงผู้นี้บอกว่านางชื่อสุยเซียน เป็นอนุที่หลบหนีออกมาจากขุนนาง ขอให้ข้าคุ้มครองนาง ตอนแรกข้าไม่ตอบตกล
จะเห็นได้ว่าแม่ทัพอย่างเหยลวี่เจิง มีความคิดชั่วร้ายขนาดไหน“ขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ารู้จักลี่จีไหม?”“ข้ารู้จัก พวกเราทุกคนเป็นพี่น้องกันจากหอร้อยบุปผา ครั้งนี้นางทำภารกิจที่หนึ่ง ส่วนข้าทำภารกิจที่สอง ถ้าภารกิจที่หนึ่งสำเร็จ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำสองภารกิจที่สองต่อ แต่ถ้าภารกิจที่หนึ่งล้มเหลว ภารกิจที่สองของข้าจะเริ่มทันที”สุยเซียนพูดโดยจิตใต้สำนึก“เมื่อหลายวันก่อน ข้ารู้เรื่องการตายของลี่จี้ คาดเดาว่าภารกิจที่หนึ่งอาจจะล้มเหลว ดังนั้นจึงเริ่มภารกิจที่สองทันที”“งานเลี้ยงในวันนี้หรือ?”“ถูกต้อง โดยการแสดงให้ทุกคนในงานเลี้ยงได้เห็นว่าผิวพรรณของหลัวไฉ่ในวัยสามสิบนั้นบอบบางพอ ๆ กับตอนอายุสิบแปด ร่างกายก็ดีขึ้นด้วย ทำให้ทุกคนเชื่อมั่นอย่างไม่มีข้อสงสัยอีก”ขอเพียงขุนนางระดับสูงเหล่านี้เชื่อถือ ประชาชนทั่วไปก็จะเลียนแบบ“ทำไมเจ้าไม่ใช้หน้าของตัวเอง?”กู้หว่านเยว่ค่อนข้างอยากรู้ เหตุใดสุยเซียนถึงต้องเสียเวลาใช้หน้ากากผิวหนังมนุษย์ด้วยผิวพรรณของสุยเซียนยังดูอ่อนเยาว์และงดงามมาก สามารถหลอกลวงผู้คนได้อย่างสมบูรณ์แบบ“ข้าเป็นชาวทูเจวี๋ย ถึงอย่างไรก็มีความแตกต่างบางอย่างจากชาวต้าฉี เป
ความหมายของเจ้าก็คือ เขาซ่อนตัวอยู่ในเมืองอวี้ เห็นกับตาตัวเองว่าสุยเซียนถูกพวกเราจับตัวไป ดังนั้นจึงมาปลิดชีวิตของสุยเซียนได้ทันท่วงที?”ซูจิ่งสิ่งเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ทันทีกู้หว่านเยว่ส่ายหัว “มันเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น”สายตาของซูจิ่งสิงจับจ้องไปที่ร่างของสุยเซียน ก่อนจะสั่งให้ผู้ว่าการอำเภอจัดการศพ สำหรับสมาชิกสกุลหลัวนั้น“คนของสกุลหลัวเหล่านี้ ให้ทางการมาจัดการเถอะ”คุกใต้ดินสกปรกเกินไป บวกกับการรีบเร่งไปศึกษาแมลงตัวน้อยของกู้หว่านเยว่ จึงไม่อยู่ในคุกใต้ดินนานนัก รีบออกไปอย่างรวดเร็วตอนที่ออกมา ก็บังเอิญพบกับซูจื่อชิง เนี่ยชิงหลานและคนอื่น ๆ ที่มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น“พี่หญิงกู้ เป็นยังไงบ้าง หญิงผู้นั้นสารภาพแล้วหรือ เรื่องสูตรยาลับมันคืออะไรกัน?”หลายคนรายล้อมเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นกล่าวว่า“สูตรยาลับเป็นของปลอม นางเป็นสายลับของทูเจวี๋ย”“เป็นสายลับของทูเจวี๋ยจริงด้วย ชาวทูเจวี๋ยนั้นน่ารังเกียจ ทำไมสายลับของทูเจวี๋ยถึงแทรกซึมเข้าไปในเจดีย์หนิงกู่ของพวกเราได้?”ซูจื่อชิงถามด้วยความอยากรู้ ซูจิงสิ่งไม่อยากพูดอะไรมากนักข้างนอ
“ขอรับ คุณหนู ท่านนี่รอบคอบจริง ๆ คนที่อยู่ชั้นบนคือคู่หมั้นของท่านใช่ไหม?”เจ้าของรับเงินไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดหยอกเย้า หงเจาแตะข้อมือที่เพิ่งถูกจับโดยสัญชาตญาณก่อนจะจากไปโดยไม่ได้โต้แย้งใด ๆ ครึ่งชั่วยามต่อมา บะหมี่หยางชุนก็ถูกนำมาให้หร่านถิง“ข้าไม่ได้สั่งบะหมี่หยางชุนนี่” เขาเอ่ยด้วยความมึนงงเล็กน้อยบริกรอธิบายว่า “คู่หมั้นของท่านสั่งให้ท่าน จ่ายค่าห้องไว้ห้าวัน ยังกำชับข้าเป็นพิเศษว่า ช่วงนี้ให้ทางเราทำอาหารบำรุงร่างกายให้ท่านทุกวันด้วย คู่หมั้นของท่านดีกับท่านมากจริง ๆ”คู่หมั้น? คู่หมั้นของเขามาจากไหนกัน หร่านถิงไม่รู้จักตัวตนของหงเจา อาจเป็นเพราะเขาผ่านความยากลำบากในช่วงนี้มามากเกินไป หัวใจที่ไม่ได้ถูกสัมผัสมาเป็นเวลายี่สิบปีเกิดความรู้สึกประทับใจบางอย่างตอนที่กู้หว่านเยว่และซ่งเสวี่ยพาลูก ๆ มาเที่ยวเล่น เมื่อเห็นหงเจากลับมาก็ไม่ได้ถามอะไรเลยการก่อสร้างสำนักศึกษาถงซันเสร็จสมบูรณ์แล้ว กู้หว่านเยว่และซ่งเสวี่ยหารือเรื่องการไปสอนหนังสือที่สำนักซ่งเสวี่ยยินดีปรีดามาก “ข้าเพิ่งพูดเรื่องนี้กับพ่อสามีไปเมื่อไม่นานมานี้เองเดิมทีคิดว่าเขาจะคัดค้าน แต่ไม่นึกว่าเขาจะตอบตก
“ให้ข้าตรวจดูสักหน่อย “กู้หว่านเยว่สวมถุงมือ สัมผัสกระดูกขาของเฉิงเซวียน ทำให้เขาต้องร้องโหยหวนอีกครั้ง“กระดูกหน้าแข้งหัก”กู้หว่านเยว่ชักมือออก พลางขมวดคิ้ว “ต้องต่อกระดูก”“กระดูกขาหักหรือ? ข้าจะไม่ขาเป๋ใช่ไหม?” เฉิงเซวียนค่อนข้างกลัวเนี่ยชิงหลานรีบปลอบใจ “เฮ้ย ๆ ๆ ไม่มีทาง พี่หญิงกู้มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม จะว่าไปแล้ว เมื่อก่อนข้าเคยเห็นคนในจวนขาหักมาก่อน รักษาหายดีแล้วก็กระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิม ไม่ได้รับผลกระทบอะไร”แต่เฉิงเซวียนกลับไม่เชื่อ ส่ายหัวด้วยความหงุดหงิดพร้อมกับกล่าวว่า “ลุงสามของข้ากระดูกขาหัก ผลปรากฏว่าต่อกระดูกไม่ดี กลายเป็นคนขาเป๋”เขาหันไปมองกู้หว่านเยว่ที่เตรียมลงมือ“ชายาท่านอ๋อง ท่านทำได้หรือ ท่านเคยต่อกระดูกให้คนอื่นมาก่อนไหม? ได้ยินมาว่าการต่อกระดูกต้องใช้พลังมาก ท่านเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวจะไหวหรือ?”คนผู้นี้เอานิสัยเดิมมาใช้อีกแล้วกู้หว่านเยว่ทนฟังเขาไม่ได้ “ชิงหลานมาหาข้า ถ้าเจ้าไม่เชื่อในทักษะทางการแพทย์ของข้า ก็เปลี่ยนหมอเถอะ”“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อในทักษะทางการแพทย์ของท่าน ข้าแค่อยากจะยืนยันอีกครั้ง ที่ขาของลุงสามพิการก็เพราะเจอหมอเถื่อ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้