แต่แค้นนี้ นับว่าคลี่คลายแล้วกู้หว่านเยว่กลับแปลกใจมาก “เหตุใดเหยลวี่เจิงต้องไล่ตามท่านไม่เลิกราด้วยเล่า?”ต่อให้พ่ายแพ้ให้ซูจิ่งสิงในสงคราม แต่แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติของการทำสงคราม ไม่ถึงขั้นต้องไล่ตามมาฆ่าถึงเจดีย์หนิงกู่หรอกกระมังเว้นเสียแต่ว่ายังมีเรื่องค้างคาอะไรกัน“เหยลวี่เจิงอายุมากกว่าข้าห้าปี”ซูจิ่งสิงยิ้มเยาะหยัน “เขาเข้าสนามรบตอนอายุสิบเก้าปี ทำสงครามกับต้าฉี ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนจนกระทั่งข้าไปที่ชายแดน”กู้หว่านเยว่เข้าใจแล้วเหยลวี่เจิงคิดว่าตนเองเป็นแม่ทัพมีพรสวรรค์ ปรากฏว่ากลับถูกซูจิ่งสิงปราบและบังคับให้ลงนามในสัญญายอมรับความพ่ายแพ้ นี่ยังจะอดทนไหวได้อย่างไร?ดังนั้นไม่ว่าเขาทำเพื่อระบายโทสะ หรือเพื่อทำให้ซูจิ่งสิงไม่เป็นภัยต่อทูเจวี๋ยอีก นี่จึงมีเหตุผลเพียงพอให้เอาชีวิตของซูจิ่งสิงสำหรับอาการบาดเจ็บสาหัสของเขา ทั้งสองตัดสินว่าเหยลวี่เจิงไม่มีวันโผล่หน้าออกมาภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ความจริงก็เป็นเช่นนี้ บัดนี้เหยลวี่เจิงกำลังหนีเอาชีวิตรอดเขานอนบนรถม้า รูปร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสันสะท้อนความงามของชายต่างเผ่าออกมา มิน่าเล่าสตรีมากมายภายในหอร้อยบุปผาถึงหลงใหลและ
กู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม ซวนลู่เองก็อยู่ด้วย“หว่านเยว่ มีอะไรหรือ?”ซ่งเสวี่ยสังเกตเห็นว่านางไม่สบอารมณ์ มองตามสายตานางไปทางซวนลู่สัญชาตญาณของผู้หญิงบอกนาง คนผู้นี้เป็นปรปักษ์กับกู้หว่านเยว่หางตาซวนลู่ลำพองใจถึงสองส่วน ยืนข้างซูจิ่นเอ๋อร์อย่างสนิทสนม จงใจแสดงท่าทางสนิทสนมมากกับพวกเขา“จิ่นเอ๋อร์ นี่ก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าหรือ?”นางตั้งใจถามออกไปเช่นนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องเมื่อวาน พยักหน้าท่าทางซื่อๆ“ใช่แล้ว นี่ก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ที่ข้าบอกท่าน”พูดไปก็วิ่งเข้ามาหยุดข้างกายของกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราวางแผนไปสนุกครึกครื้นด้วยกันที่สำนักศึกษาถงซัน ให้พวกเราไปกับท่านดีหรือไม่?”“ได้เลย แต่เจ้าต้องรับปากข้า จะวุ่นวายไม่ได้”กู้หว่านเยว่จิ้มหน้าผากเด็กโง่คนนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์รีบรับปาก“พี่สะใภ้ใหญ่วางใจได้ ข้าจะเชื่อฟัง”ซูจื่อชิงได้เห็นสีหน้าซูจิ่งสิง ก็รีบพูด“ข้าเองก็จะเชื่อฟัง”อาจเพราะได้กลับมาพบหน้าหลังไม่ได้พบกันมานาน เพิ่งขึ้นรถม้า ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงก็อยู่ข้างกายซวนลู่อยู่ตลอดทว่าบัดนี้เพียงได้พบกู้หว่านเยว่ สองคนก็วิ่งเข้าไปหยุดข้างกายกู้หว่านเยว่ เชื
ซูจิ่นเอ๋อร์ตอบโต้อย่างอดไม่ได้ “สินค้าตะวันตกอะไรไม่ใช่เสียหน่อย? กระจกเจ็ดสีนี้เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าคิดค้นออกมา บัดนี้นำไปใช้บนหลังคาของหอสมุดสำนักศึกษา”เมี่ยชิงหว่านเองก็พูดอย่างมีความสุข “ได้ยินมาว่าหน้าต่างล้วนทำจากกระจก หอสมุดทั้งสว่างทั้งกว้างขวาง”“ใช่แล้วๆ ใครคิดเล่าว่าสินค้าตะวันตกราคาสูงในอดีต บัดนี้ถึงขั้นสามารถนำมาใช้งานตามใจได้ ทำเป็นหน้าต่างของสำนักศึกษา พี่สะใภ้ใหญ่ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน ต้าฉีของพวกเราเองก็มีกระจกและกระจกเจ็ดสีของตนแล้ว!”สามคนเอ่ยถึงกู้หว่านเยว่ สุ้มเสียงเปี่ยมความภาคภูมิใจและเลื่อมใส ซวนลู่กัดฟันอย่างอึดอัดใจซวนลู่พูดเสียงขมปร่าออกมา “อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก นางสร้างสำนักศึกษาเป็นครั้งแรก ถึงตอนนั้นเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา จะเดือดร้อนถึงจวนอ๋องให้คนเห็นเป็นตัวตลกเอาได้”“พี่หญิงซวนลู่ ท่านไม่รู้จักพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นผู้หญิงมหัศจรรย์มาก”ตรงข้ามกันไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูที่ซวนลู่มีต่อกู้หว่านเยว่ คิดเพียงว่านางไม่เข้าใจ“พี่สะใภ้ใหญ่ทำเพื่อเด็กในเจดีย์หนิงกู่ สร้างสำนักศึกษาถงซันขึ้นมา ราษฎร์ซาบซึ้งใจมาก ไม่มีวันเห็นจวนอ๋องเป็นตัวตลก พี
สายตาลุ่มลึกนั้น ทำให้กู้หว่านเยว่หน้าแดงเรื่อซวนลู่มองสองคนใกล้ชิดกัน เพลิงโทสะแทบพ่นออกจากดวงตา พูดสอดปากอย่างไม่ถูกเวลา“แม้ว่าหอสมุดนี้ดีมากแต่ตำราเพียงสองสามเล่มก็พอหรือ? เทียบกับสำนักศึกษาไป๋ลู่ยังห่างชั้นกันมากนัก”“สำนักศึกษาไป๋ลู่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหลายร้อยปีแล้ว ส่วนสำนักศึกษาถงซันเพิ่งสร้างขึ้น ก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะมีมากกว่าสำนักศึกษาไป๋ลู่หรือไม่” สีหน้าซูจิ่งสิงเย็นชาอยู่บ้างสีหน้าซวนลู่กระด้างไป “จิ่งสิง เหตุใดต้องดุข้าถึงเพียงนี้ ข้าเพียงปากไวพูดตามที่ใจคิดเท่านั้น”กู้หว่านเยว่ปรายตามองซวนลู่สายตาเย็นชา “ใครพูดว่าหอสมุดจะมีเพียงตำราเหล่านี้กัน เหล่านี้เป็นเพียงหนังสือที่ข้านำมาจากจวนเท่านั้น หนังสือทั้งหมดอยู่ในคลังเก็บของทางด้านหลังนั่น”บังเอิญตอนนี้อวิ๋นมู่เดินออกมาพอดี “หว่านเยว่ท่านมาพอดี ข้ากำลังจะให้คนไปเชิญท่านมาดูอยู่เชียวว่าตำราเหล่านี้ภายในหอสมุดพอหรือไม่?”“ไป พวกเราเข้าไปดู”กู้หว่านเยว่ตั้งใจทำให้ซวนลู่หุบปาก พาทุกคนเข้าไปดูภายในห้องปรากฏว่าเพียงผ่านเข้าคลังเก็บของ ก็มองเห็นหนังสือถูกเรียงแน่นเอียดอยู่ที่ผนังหอตำรา“สวรรค์ ตำรามากถึงเพี
ท่าทางนั้น ดูรีบร้อนยิ่งนัก รีบร้อนจนหนวดเคราพลิ้วไปตามแรงลมกู้หว่านเยว่คลี่ยิ้ม “ข้าไม่คืนคำ เพียงแต่เป็นกังวลว่าร่างกายของผู้เฒ่าอย่างท่านจะรับไม่ไหวเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”โจวเหล่ารีบโบกมือไปมา“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ต่อให้สอนอีกแปดปีสิบปีก็ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่ไม่กล่าวสิ่งใดอีก นางรู้ว่าตระกูลของเขามีความปรารถนาอยากสอนเสี่ยวจ้านจ้าน แทบจะกลายเป็นความมกหมุ่นของเขาไปโดนปริยายการที่โจวเหล่าเดินทางมายังสำนักศึกษาถงซัน ได้สร้างความปั่นป่วนให้สำนักไม่น้อยในฐานะที่เฉินจื่อหวังเป็นผู้อำนวยการของสำนักศึกษา ต้องเจียดเวลาจากงานที่ยุ่งเหยิงมารายงานกู้หว่านเยว่“พระชายา จากเงื่อนไขที่ท่านกล่าวมา ข้าได้บอกกับทุกคนไปแล้ว รวมถึงเรื่องที่เด็กสาวสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ และอีกหลายครอบครัวที่อยากส่งบุตรสาวเข้าเรียนด้วยขอรับ”แม้ว่าเฉินจื่อหวังจะยุ่งจนตัวเป็นเกลียว แต่ก็อดดีใจไม่ได้ ครั้นเห็นสำนักศึกษาแห่งนี้ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ต่อไปเขาจะพัฒนาให้สำนักศึกษาแห่งนี้กลายเป็นสำนักที่ดียิ่งขึ้นไปตอนนี้เขาถือว่าสำนักศึกษาแห่งนี้เป็นของบุตรตัวเองไปแล้ว“ขอแค่ตรงตามเงื่อ
“ข้า!”สีหน้าขอ’ซวนลู่ซีดเผือดลง ซูจิ่นเอ๋อร์อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ “พี่หญิงซวนลู่ ทำไมท่านถึงกล่าวเช่นนี้? จากที่ท่านกล่าวมา คือสตรีไม่ควรออกนอกบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ออกศึกลงสนามรบ อีกทั้งบัดนี้ข้าเองก็เปิดอาหาร พี่สะใภ้ใหญ่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้โอกาสสตรีในใต้หล้า เหตุใดท่านถึงต้องตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่เช่นนี้ด้วย?”“ซวนลู่....”ซูจื่อชิงอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกเมี่ยชิงหว่านดึงแขนเสื้อไว้ ส่งสายตาตักเตือนไปทางเขาซวนลู่เองก็คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะไม่ช่วยนาง ดวงตาของนางแดงก่ำเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ทัพหญิง ยังต้องรักษาหน้า จึงกัดฟันแล้ววิ่งหนีไป“ไปได้เสียที”กู้หว่านเยว่ยืดมือขจัดความเกียจคร้าน นางมิใช่พระแม่มารี ที่เจอคนไม่ชอบหน้าทำตัวน่ารำคาญอยู่ตรงหน้า ก็ยังต้องรักษาหน้าไว้พี่สะใภ้ใหญ่ ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์แลบลิ้นเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าพี่หญิงซวนลู่จะกล่าวเช่นนี้ออกมา หากรู้ละก็ ข้าไม่มีทางพานางมาที่นี่อย่างแน่นอน”อีกอย่างนางเองก็ดูออกว่าซวนลู่นั้นพยายามหาเรื่องทะเลาะมาตลอดทาง ใจแคบกับพี่สะใภ้ใหญ่“เจ้านะเจ้า ถูกผู้อื่นหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”กู้หว่านเยว่ไ
“วางใจเถอะ อยู่ในสำนักศึกษาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ เจ้าได้ดูแลเด็กเหล่านั้นให้ดีเถอะ”กู้หว่านเยว่ผลักซูจิ่งสิงออก แล้วคว้ามือซ่งเสวี่ยเดินไปด้านหลัง“เรากำลังจะไปไหน?”“ไปห้องด้านหลัง เมื่อครู่เฉินจื่อหวังบอกไม่ใช่หรือว่าโจวเซิงได้รับบาดเจ็บ เราไปดูเขาสักหน่อยเถอะ”กู้หว่านเยว่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ นางจึงเห็นว่านัยน์ตาของซ่งเสวี่ยวูบไหว แสดงท่าทีกังวลใจ“เราไปเช่นนี้ ไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ?”“คนกันเองทั้งนั้น มีอะไรต้องเสียหรือไม่เสียมารยาทกันเล่า อีกอย่างสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้ก็เป็นของข้า ต่อไปโจวเซิงก็ต้องมาเรียนตำราที่นี่ ถือว่าเป็นคนภายใต้การปกครองของข้า ข้าไปปลอบขวัญเขาก็สมควรแล้วนี่”เหตุผลของกู้หว่านเยว่นั้นไร้ข้อกังขา ประกอบกับที่ซ่งเสวี่ยนั้นมีความเป็นกังวล จึงพยักหน้าเห็นด้วยทั้งสองคนเดินมาถึงบริเวณด้านนอกของหอพักในสำนักศึกษา ครั้นเดินเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงอ่านตำราระลอกหนึ่งดังมาจากด้านในครั้นได้ยินว่าเป็นเสียงของโจวเซิง ซ่งเสวี่ยก็ยิ่งหักนิ้วเสียงดังเป๊าะอย่างเป็นกังวลกู้หว่านเยว่ยิ้มพลางมองนาง ก่อนหน้านั้นตอนที่พี่หญิงซ่งเสวี่ยและโจวเซ่ออยู่ด้วยกันก็ไม่เคย
“คุณชายโจวอย่าเข้าใจผิด ข้าเป็นแม่คนแล้ว ปากอาจจะไวไปเสียหน่อย ยิ่งเห็นจมูกเจ้าบาดเจ็บ ก็มักจะนึกถึงเด็ก ๆ ในบ้านที่ชอบชนโน้นชนนี้อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงอดกล่าวบ้างไม่ได้”ไหนเลยโจวเซิงจะเข้าใจผิด เขาดีใจแทบไม่ทันต่างหาก ซ่งเสวี่ยเป็นห่วงเขาเช่นนี้ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็มองไปทางซ่งเสวี่ยอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณฮูหยินน้อยที่เป็นห่วง เพียงแต่ในห้องของข้าไม่มียา แต่ข้าจำมันได้ขึ้นใจ ข้าจึงให้ผู้ติดตามออกไปซื้อให้แล้ว ประเดี๋ยวก็ค่อย ๆ ทำแผลที่จมูกไป”ครั้นซ่งเสวี่ยเห็นเขากล่าวกับตนจริงจังเช่นนี้ จึงคลี่ยิ้มพริ้มตั้งแต่สูญเสียสามีไป น้อยนักที่นางจะยิ้มต่อหน้าผู้อื่น อย่างมากก็แค่ยิ้มอย่างเบิกบานใจเมื่อตอนอยู่พูดคุยกับกู้หว่านเยว่เท่านั้น ส่วนใหญ่จะทำสีหน้าเย็นชา สีหน้าวิตกกังวลตลอดเวลายิ้มครั้งนี้คล้ายกับน้ำแข็งที่ละลายในสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ โจวเซิงนิ่งงันเป็นไก่ไม้ไปเลยทีเดียวเขาจ้องเขม็งไปทางซ่งเสวี่ยครู่หนึ่ง ด้วยสติที่เหม่อลอยซ่งเสวี่ยคลี่ยิ้ม กระทั่งพบถึงความผิดปกติโจวเซิงยังคงจ้องมองนางตลอดใบหน้าของนางร้อนผ่าวคล้ายไฟที่ลุกโชน จา
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้