“เหตุใดมีคนทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้นกันเล่า?” แม่นมฉินตาไว ตะโกนออกมาเสียงดัง พลางสั่งบ่าวให้ไปดูชายที่แอบอยู่หลังสิงโตหินเห็นว่าหลบไม่พ้น ถอนหายใจ เดินออกมา“คุณชายโจว? เป็นท่านหรือ?”แม่นมฉินหน้าตาบึ้งตึง ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าโจวเซิงเป็นชายหนุ่มที่สง่างามมีความสามารถ เหมาะสมกับฮูหยินน้อยของพวกนางราวกับสวรรค์สร้างแต่ตอนนี้นางคิดว่าตนเองคงต้องไปตรวจตราดูสักหน่อย“ใช่ ข้าเอง”ในเมื่อถูกจับได้แล้ว โจวเซิงก็ไม่ปิดบังอีก เดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างามผ่าเผย ทำความเคารพกู้หว่านเยว่“คารวะพระชายา”กู้หว่านเยว่มองเขาขึ้นลงหนึ่งรอบ “เจ้ามาที่นี่เพื่อพบพี่หญิงซ่งหรือ?”โจวเซิงนิ่งเงียบไป ครู่ต่อมาจึงพยักหน้า “ใช่”แม้ว่ามองสีหน้าไม่ออกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร แต่น้ำเสียงกลับยากจะปกปิดความกังวลเอาไว้ได้“ข้าบังเอิญได้ยินว่าฮูหยินน้อยป่วย ข้า จึงมาเยี่ยม”เขายื่นของบำรุงที่เตรียมมา ล้วนเป็นสมุนไพรราคาแพง“สิ่งเหล่านี้มอบให้ฮูหยินน้อยบำรุงร่างกาย”แม่นมฉินมิได้ขึ้นไปรับ กู้หว่านเยว่กลับงุนงง มองผ่านท่าทีของเขาแล้วก็รู้ว่าห่วงใยซ่งเสวี่ยมาก แต่เพราะเหตุใดต้องทำเป็นไม่ใส่ใจ มิหนำซ้ำยั
โจวเซิงมีสีหน้าเศร้าหมอง “ความชอบของข้า ไม่เคยนำโชคดีมาให้อีกฝ่ายเลย”ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกสิ่งที่เขาชอบ ทุกสิ่งที่เขาเข้าใกล้ สุดท้ายก็มักจะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก“ข้ารู้ว่าพระชายาเป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นวันนี้ข้าจึงยอมเปิดบาดแผลในใจ เล่าความหลังนี้ให้พระชายาฟัง”โจวเซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ“ข้าหวังให้ฮูหยินน้อยมีชีวิตที่ดี ตราบใดที่นางมีชีวิตที่ดี นับตั้งแต่นี้ไปข้ายินดีจะไม่รบกวนนางอีก”หลังจากพูดจบ โจวเซิงก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน เขาได้พบสตรีที่ชมชอบคนหนึ่งได้อย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายกลับต้องยอมปล่อยมือ ความเจ็บปวดนี้ยากเกินบรรยาย“ข้าขอลา”มองแผ่นหลังของโจวเซิงที่กำลังก้าวจากไป กู้หว่านเยว่ก็มีสีหน้าหนักใจ ชิงเหลียนพูดอย่างอดไม่ได้ว่า“ฮูหยินน้อยช่างน่าสงสารเหลือเกิน สามีคนก่อนก็จากไปหลังแต่งงานได้ไม่นาน นางต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังพอจะก้าวข้ามความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามีมาได้อย่างยากลำบาก กลับต้องมาเจอคนชั่วอย่างโจวเซ่อครั้นหลุดพ้นจากคนชั่ว ก็มีโอกาสได้หวั่นไหวอีกครั้ง แต่กลับต้องมาเจอสถานการณ์ของคุณชายโจวเช่นนี้อีก เฮ้อ...เหตุใดสวรรค์ไม่มีเมตตาต่อฮูหยินน้อยบ้างเล่า?”คำพูดของชิงเหลี
“นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าฟังมาขณะเดินทางท่องยุทธภพ ไม่สามารถยืนยันได้หมดทั้งร้อยส่วน” เนี่ยชิงหลานจับมือกู้หว่านเยว่ ทางหนึ่งเดินไปทางจวนกู้ ทางหนึ่งซุบซิบเล่าเรื่องให้นางฟัง“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้ายังเดินทางในยุทธภพ ข้าเคยพักค้างแรมที่บ้านของชาวนาหลังหนึ่ง หลังจากกินข้าวเสร็จ ข้านั่งฟังเขาเล่าเรื่อง พูดว่าภายในหมู่บ้านของพวกเขามีแม่เลี้ยงคนหนึ่งไม่อาจทนเห็นลูกเลี้ยงได้ดี จึงนำเงินไปหานักพรตที่มีวิชาเก่งกาจ นำแปดตัวเลขทำนายดวงชะตาและผมของลูกเลี้ยงไปให้เขาทำพิธี เพื่อให้ลูกเลี้ยงโชคร้าย”ชิงเหลียนที่ฟังอยู่ฝั่งหนึ่ง เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? นางโชคร้ายจริงหรือ?”“นั่นไม่ใช่โชคร้ายธรรมดา ขณะข้ามสะพาน อยู่ดีๆ สะพานก็พังลงมา ขณะเข้าห้องน้ำกลับไม่มีกระดาษชำระ ฝนตกน้ำท่วมขัง ขนาดดื่มน้ำเย็นยังติดฟัน!” เนี่ยชิงหลานผายมือ“ก็เพราะเหตุนี้แหละ คนในหมู่บ้านถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ ต่อมาหลังลูกเลี้ยงแต่งงานไปแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ โชคดีที่ครอบครัวสามีของนางรักใคร่เอาใจใส่ จึงไปหานักพรตท่านหนึ่ง เพื่อจะช่วยนางคลี่คลายเรื่องนี้”นางพูดถึงตรงนี้แล้วก็หัวเราะออกมา“ผลปรากฏว่าช่างบั
“โมโหมากจริงๆ”สาวใช้พยักหน้าเบา ๆ“คุณชายเฉิงชอบท่าน จึงรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนแทงกลางอกเพราะคำพูดเหล่านั้นของคุณหนู”“พูดเกินจริงไปแล้วกระมัง?”เนี่ยชิงหลานบ่นงึมงำ ใบหน้ารูปไข่กลับแดงเรื่อ อาจเป็นเพราะคำว่าชอบนั้นกระมัง“ช่างเถอะๆ ไก่ย่างนี้ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก ข้าจะไปหาเขาแล้วกินด้วยกัน”เนี่ยชิงหลานปากแข็งใจอ่อน ไล่ตามออกไปทางฝั่งนี้กู้หว่านเยว่ไปที่ห้องหนังสือ เล่าเรื่องนี้ให้ซูจิ่งสิงฟัง“ข้าคิดว่าจะสืบเรื่องคนในตระกูลโจวสักหน่อย”กู้หว่านเยว่ใคร่ครวญพลางพูด แม้ว่าจะต้องใช้วิธีการที่อาจจะดูใหญ่โตเกินไปบ้าง แต่ซ่งเสวี่ยเป็นสหายที่ดีของนาง นางกู้หว่านเยว่เป็นคนที่ดีต่อสหายมาก นางไม่อาจทนเห็นสหายของนางทุกข์ทรมาน แต่กลับไม่ทำอะไรเลย“ตระกูลโจว ครั้งก่อนข้าสืบได้เรื่องบางอย่างจากโจวเซ่อมาแล้ว”ซูจิ่งสิงถูปลายนิ้วเบาๆ หากไม่ใช่เพราะวันนี้กู้หว่านเยว่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาคงจะลืมไปแล้ว“ท่านสืบพบอะไรหรือ?”“ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ถึงร้อยส่วน รอจนกว่าจะมั่นใจแล้วข้าค่อยบอกเจ้า”ครั้งก่อนหลังสืบได้ว่าโจวเซ่อเป็นคนซื่อตรง ก็หยุดไว้ก่อน แต่ครั้งนี้สามาร
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่หญิงกู้”ลั่วยางรู้สึกซาบซึ้งใจภายในใจตั้งแต่ไม่ใช่ศัตรูกับกู้หว่านเยว่ เป็นมิตรกับนาง พบว่านางเป็นคนพูดคุยง่ายมากเหลือเกินทั้งสองคนเดินมาถึงห้องรับแขก ปรากฏว่าเข้าประตูไปแล้วก็ได้เห็นเกาเจี้ยนกำลังนอนอยู่บนเตียง กู้หว่านเยว่ตกตะลึงอึ้งงันอยู่กับที่“เจ้าไปพาคนผู้นี้มาจากที่ใด?”“ข้าพบเขาที่ประตูเมือง ตอนนั้นเขาชนกระแทกเข้ากับรถม้าของข้า ข้ายังนึกว่าข้าชนเขาจนได้รับบาดเจ็บเสียอีก สรุปว่าลงไปดูก็พบว่าเขาถูกแทงที่อก”ลั่วยางอธิบายต่อ “เห็นว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่สามารถเห็นคนลำบากแล้วไม่ช่วยได้ จึงพาเขากลับมา”สังเกตเห็นสีหน้าของกู้หว่านเยว่ผิดปกติ ลั่วยางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ“พี่หญิงกู้ ฐานะของคนผู้นี้...ใช่หรือไม่ว่าข้าทำให้ท่านเดือดร้อน?”นางกังวลว่าตนเองอาจจะช่วยคนที่ไม่สมควรช่วย สรุปคือกู้หว่านเยว่กลับยิ้มพลางส่ายหน้า“มิได้ทำให้ข้าเดือดร้อน ข้าควรจะขอบคุณเจ้าต่างหาก!คนผู้นี้เป็นสหายของข้า พวกเราตามหาเขามาหลายวันแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะช่วยเขากลับมา”นี่บังเอิญเกินไปแล้วกระมัง?“ชิงเหลียน เจ้าไปแจ้งท่านอ๋อง ก็บอกว่าพบขุนพลเกาแล้ว”กู้หว่า
“สิ่งนี้ใช้ภายนอก หากเขามีไข้อีกครั้ง สามารถใช้ผ้าขนหนูชุบแอลกอฮอล์ที่อยู่ภายในนี้แล้วทาที่หน้าผากของเขาได้ เพื่อช่วยให้ไข้ลดลงทีละน้อย”“เจ้าค่ะ”ลั่วยางรู้ว่าสิ่งนี้เป็นของดี รีบยื่นมือสองข้างไปรับ ถือไว้ในมือแล้วศึกษาอย่างละเอียดในเวลาเดียวกัน ซูจิ่งสิงวิ่งเข้ามาจากภายนอกอย่างว่องไวปานเหินบิน“หว่านเยว่ เกาเจี้ยนเล่า?”เขาหันหน้า ถึงมองเห็นเกาเจี้ยนกำลังนอนบนเตียง มีผ้าพันแผลหนาๆ อยู่ที่อก สีหน้าเผือดซีด หลับตาสนิททั้งสองข้าง ทันใดนั้นกำมือแน่นซวนลู่ ถึงขั้นลงมือหนักมากเช่นนี้ ทันใดนั้นเขานึกได้ว่าเมื่อคืนยามสอบสวนเขามีเมตตาเกินไปแล้ว“เขาจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ยามใด?”“น่าจะอีกราวหนึ่งถึงสองชั่วยาม” กู้หว่านเยว่รู้ว่าเขากังวลมาก จึงรีบพูดปลอบใจ“บาดแผลของเขาได้รับการรักษาแล้ว ลั่วยางรักษาเขาได้ทันท่วงที ดังนั้นเขาไม่มีอันตรายถึงชีวิต ท่านวางใจเถอะ”“ขอบคุณมาก”ซูจิ่งสิงมองไปที่ลั่วยางแวบหนึ่ง ลั่วยางรู้สึกตกตะลึงเพราะได้รับความโปรดปราน ไม่กล้าพูดอะไร รีบถอยออกไปเนื่องจากเกาเจี้ยนยังไม่ฟื้นขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น ทั้งสองคนรออยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ จึงสั่งให้บ่าวอยู่เฝ
เกาเจี้ยนบอกไม่ได้ว่าในใจนั้นโล่งใจหรือยังขมขื่นอยู่ “เพื่อเจ้า นางไม่ลังเลที่จะร่วมมือกับชาวทูเจวี๋ยเลยสักนิด”“เกาเจี้ยน เจ้าไปรักษาอาการคลั่งรักของเจ้าให้หายดีก่อนเถอะ”ซูจิ้งไม่สบอารมณ์ “ประเด็นหลักคือเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”ประเด็นหลักคือเรื่องที่ซวนลู่เป็นถึงท่านแม่ทัพหญิง แต่นางสมรู้ร่วมคิดกับชาวทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงต่างหาก!“ข้ารู้ว่าประเด็นหลักไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ข้ารู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย”นัยน์ตาของเกาเจี้ยนแดงก่ำ บุรุษร่างกายกำยำมีน้ำตาไหลอาบแก้ม สองสามีภรรยาถึงกันทนมองไม่ได้แต่พอมาครุ่นคิดดูแล้วก็ใช่ เกาเจี้ยนมีความลึกซึ้งต่อซวนลู่ ทั้งสองคนเข้าพิธีหมั้นกันแล้วเรื่องนี้ไม่ว่าใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้นซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเบา “เจ้าดูคำพูดเหล่านี้ให้ดี ๆ จะได้ไม่โง่เขลาเบาปัญญา ยื่นมือไปช่วยนางโดยพลการอีก”เข้ามาพัวพันกับชาวทูเจวี๋ย นี่ไม่ใช่เรื่องความรักทั่วไปแล้วนะ“ข้าเข้าใจ”เกาเจี้ยนเสียใจมาก แต่เขารู้จักแยกแยะ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางพาซวนลู่กลับมาหลังจากที่ได้รู้ความจริงหรอก“เจ้าดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ”ใบหน้าของซูจิ่งสิงเย็นยะเยือก จากนั้นก็เดินมาหาลั่วยางที่ประตู
“เหตุใดข้าต้องโกรธด้วย?”กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว นางไม่เคยมีความรู้สึกอะไรต่อสกุลกู้ ตั้งแต่ตัดความสัมพันธ์ไปนางไม่เคยเสียใจเลย บัดนี้ครั้นได้เห็นความไร้ยางอายของท่านโหวกู้ จึงไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใดนางกล่าวเสริมอีกว่า “ข้าไม่ได้คาดหวังสกุลกู้มานานมาแล้ว ไม่มีทางโกรธแน่นอน”“เรามีบ้านของเราเอง”ซูจิ่งสิงเป็นห่วงนางมาก กู้หว่านเยว่กลับอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ“สกุลกู้....ท่านพ่อของข้าไร้ยางอายจริง ๆ ทำมาเป็นพูดว่าเขายกเงินกับเราแล้ว เพียงแต่ถูกสนมยักยอกไปเสียก่อน”กู้หว่านเยว่ดูหมิ่นเขา กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ โยนความผิดให้สตรี เป็นบุรุษประสาอะไร“จดหมายฉบับนี้ เจ้าตั้งใจจะจัดการอย่างไร”“ไม่จัดการ”กู้หว่านเยว่โยนจดหมายทิ้งลงในถังเตาถ่าน นางเดาว่าหลังจากที่นางขนสิ่งของในจวนกู้โหวไปจนเกลี้ยงแล้ว กิจการที่ค้าขายได้ไม่ดีเหล่านั้นก็ยากจะประคับประคองให้อยู่รอดต่อได้ บัดนี้เสบียงได้หมดเกลี้ยงแล้ว“ในเมื่อตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว ก็ต้องหาเหตุผลกระชับมิตรใหม่”ท่านกู้โหวได้ยินว่าซูจิ่งสิงได้รับตำแหน่งคืนแล้ว ทั้งยังคอยควบคุมข่าวลือในเจดีย์หนิงกู่อีก จึงได้เขียน
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป