เป็นไปตามคาด ในใต้หล้านี้ คงมีเพียงเขากับกู้หว่านเยว่ที่นับว่าใจตรงกัน“องค์ชาย ข้าน้อยไม่เข้าใจ เยว่อ๋องมีเจตนาใดกันแน่?”ผู้ใต้บังคับบัญชาทำหน้างุนงงเป่ยหมิงโยวหลานเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “หากเจ้าเข้าใจ ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว”แต่เขากลับรู้สึกยินดีราวกับเด็ก ๆ ที่จะได้อธิบายให้อีกฝ่ายฟัง“หากไม่มีผลประโยชน์ก็คงไม่ยอมทำ แผนการของเยว่อ๋องครั้งนี้คือกับดัก ภายนอกดูเหมือนเป็นการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ แต่แท้จริงแล้วคือการทำให้พวกเขาไม่กล้าลงมือเพราะกลัวส่งผลกระทบต่อผู้อื่น อีกทั้งยังถือโอกาสนี้ริบอำนาจทางการทหารของพวกเขาอีกด้วย”ผู้ใต้บังคับบัญชาทำท่าทางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยแต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงขององค์ชายแล้ว ก็พอจะรู้ได้ว่าการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องดีเรื่องนี้เป่ยหมิงโยวหลานมองออก แต่เชื้อพระวงศ์เหล่านั้นอาจจะมองไม่ออก“องค์ชายยังชอบเยว่อ๋องอยู่ใช่หรือไม่?”รู้สึกอยู่เสมอว่าเวลาที่องค์ชายเอ่ยถึงเยว่อ๋องแล้วจะดูมีความสุขเป็นพิเศษ“ที่จริงข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งอยากจะบังอาจเสนอ” คนเบื้องล่างกล่าวอย่างแผ่วเบา“ตอนนี้เยว่อ๋องเป็นถึงจักรพรรดินี ใครเป็นคนกำห
หลังจากจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “พิษร้อนถูกขจัดไปเกือบหมดแล้ว พี่ใหญ่ ตั้งแต่วันนี้ไปไม่ต้องแช่บ่อน้ำพุเย็นอีกแล้ว แช่นานเกินไปจะทำร้ายร่างกาย”จงหลี่พยักหน้า เขาก็รู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากเช่นกันเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่จับชีพจร กู้หว่านเยว่ก็ได้คิดหาวิธีการออกแล้ว“รวบรวมบุตรหลานของเชื้อพระวงศ์ทุกแคว้นไปไว้ที่เมืองลู่ ข้าจะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้พวกเขา”เมืองลู่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง ห่างจากเมืองหลวงเพียงร้อยกว่ากิโลเมตร เดินทางด้วยรถม้าวันเดียวก็ถึงจงหลี่ครุ่นคิด “เจ้าคิดจะกักบริเวณบุตรหลานของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่กล้าลงมือเพราะกลัวส่งผลกระทบต่อบุตรหลานหรือ?”หากทำเช่นนี้จริง ๆ เกรงว่าพวกเชื้อพระวงศ์จะยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีกแต่เมื่อคิดดูดี ๆ พวกเชื้อพระวงศ์ก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ไม่ต่างกันกู้หว่านเยว่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ ไม่ใช่การกักบริเวณ แต่เป็นการปฏิรูป’”“ปฏิรูป?” จงหลี่เริ่มสนใจขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนกู้หว่านเยว่หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างสบาย ๆ พลางอธิบายไปว่า “ผู้กุมอำนาจของเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ในปัจ
“เจ้าออกมาได้อย่างไร?” เมื่อมีคนมาแล้ว กู้หว่านเยว่จึงหยุดบังเหียนม้าชิงเยี่ยนย่อกายคารวะ แล้วเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ตอนที่องค์หญิงอยู่ที่ตีนเขา องครักษ์ลับก็ขึ้นมารายงานแล้ว องค์ชายใหญ่ทรงทราบว่าท่านมาถึงแล้ว จึงเชิญท่านเข้าไปด้านใน”“เช่นนั้นก็ได้”ในเมื่อทำให้คนรู้ตัวแล้ว ก็เข้าไปดูเสียหน่อยกู้หว่านเยว่เดินตามชิงเยี่ยนเข้าไปด้านใน ชิงเยี่ยนพยักหน้าให้ซูจิ่งสิง ซูจิ่งสิงก็พยักหน้าตอบกลับท่านเขยไม่ชอบพูดจา เอาแต่ติดตามอยู่ข้างกายองค์หญิง พวกเขาต่างคุ้นเคยแล้วหมู่บ้านฉยงหวามีทั้งบ่อน้ำพุร้อนและบ่อน้ำพุเย็น จงหลี่อยู่ที่ฝั่งบ่อน้ำพุเย็น ชิงเยี่ยนจึงนำทางทุกคนไปที่นั่นโดยตรง“หนาวจริง ๆ !”ทันทีที่เข้าไปในตำหนัก ก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่แทรกซึมขึ้นมาจากฝ่าเท้ากู้หว่านเยว่กลัวว่าจะเข้าไปเห็นภาพที่ไม่ควรเห็น จึงเอ่ยถามขึ้นก่อน “แล้วแม่นางเฟิงเล่า?”ชิงเยี่ยนอธิบาย “แม่นางเฟิงอยู่ที่ฝั่งบ่อน้ำพุร้อน ร่างกายของนางอ่อนแอ ท่านหมอหลวงบอกว่าไม่เหมาะจะอยู่ในบริเวณบ่อน้ำพุเย็นนาน ๆ ”ขณะที่พูดคุยกันก็เข้ามาในตำหนักแล้ว ตรงกลางมีฉากกั้นยาวตั้งอยู่ ด้านนอกของฉากกั้นมีผลไม้และน้ำชาจัดวางไว้
จี้เยว่ไม่เข้าใจความหมาย นางยื่นถุงผ้าใบเล็กที่บรรจุลูกกวาดไว้ข้างในออกมา สายตาเป็นประกาย “กินลูกกวาดสิ ท่านพี่องค์ชาย”ตั้งแต่เล็กจนโตจ้านจ้านไม่เคยชอบทานของหวานเลย เขาขมวดคิ้วแล้วดุว่า “กินของหวานให้น้อยลงหน่อย เจ้าไม่ชอบแปรงฟันไม่ใช่หรือไร กินมากไปฟันจะผุเอาง่าย ๆ ”จี้เยว่กะพริบตาปริบ ๆ มือที่ถือลูกกวาดอยู่ก็ลดต่ำลงเล็กน้อยจ้านจ้านยื่นมือไปคว้าลูกกวาดทั้งหมดมา “ช่างเถอะ กินสักหน่อยก็ได้”จี้เยว่เห็นดังนั้น ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนจากมืดมนเป็นสดใส ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจนางขยับเข้าไปใกล้จ้านจ้าน “พิษในร่างกายของท่านพี่องค์ชายดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?”จ้านจ้านพยักหน้า “พิษแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”อันที่จริงเป็นเพราะท่านแม่ช่วยถอนพิษให้เขาอย่างรวดเร็ว แต่คำพูดนี้จ้านจ้านย่อมไม่พูดออกมา เมื่ออยู่ต่อหน้าจี้เยว่ เขาก็อยากจะวางท่าเก่งกาจเป็นธรรมดาจี้เยว่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นางพยักหน้าหงึก ๆ “ท่านพี่องค์ชายมีพรสวรรค์เป็นเลิศอยู่แล้ว”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน ทั้งสองหัวเราะออกมาอย่างรู้กันในใจทุกคนกลับไปทานอาหารเย็นที่วัง วันรุ่งขึ้น พวกลั่วหรงก็เข้ามาในวังเพื่อกล่าว
แต่จงเอ้ากลับคิดว่า หากวันนั้นเขาไม่พาจ้านจ้านไปเล่นที่อุทยานหลวง คนเลี้ยงม้าผู้นั้นก็คงไม่มีโอกาสวางยาพิษจ้านจ้าน และจ้านจ้านก็คงจะไม่หมดสติไปดังนั้น ช่วงเวลาที่จ้านจ้านหมดสติไป ในใจของจงเอ้าจึงราวกับมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ รู้สึกทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา“อยากได้อะไรก็บอกตานะ ตาจะพยายามหามาให้เจ้าให้ได้” จงเอ้าเอ่ยขึ้นเพื่อชดเชยในแบบของตน“ท่านตา ข้ามีของที่อยากได้จริง ๆ ”จ้านจ้านโอบรอบคอของจงเอ้า แล้วกล่าวอย่างจริงจัง“ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ท่านตาไม่ยอมกินข้าวดี ๆ ไม่ยอมนอนหลับดี ๆ ท่านต้องสัญญากับจ้านจ้านว่า จะดูแลร่างกายของตนเองให้ดี และห้ามรู้สึกผิดอีกต่อไปแล้ว”ทีแรกจงเอ้าคิดว่าเด็กน้อยคงอยากได้ของอะไรสักอย่าง เขายังรู้สึกกังวลเล็กน้อยว่า ตนเองจะหามาให้ไม่ได้คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่จ้านจ้านร้องขอจะเป็นเรื่องเช่นนี้ ขอบตาของเขาก็พลันแดงก่ำขึ้นมา“ตารับปากเจ้า” เด็กคนนี้ช่างรู้ความและน่าเอ็นดูเสียจริง“เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” จ้านจ้านพยักหน้าอย่างพึงพอใจเหยาเสวี่ยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “เอาละ เด็ก ๆ เดินทางมาเหนื่อยแล้ว อย่ามัวแต่ยืนอยู่หน้าประตูวังเลย ไปกินข้าวกันเถอะ ข้าเตรียมงา
ในรถม้า นอกจากซูจิ่งสิงที่กำลังนั่งจิบชาอยู่แล้ว ก็ไม่เห็นผู้ใดอีก“ไปที่รถม้าของหลันเตี๋ยแล้ว”ซูจิ่งสิงวางถ้วยชาลง กล่าวอธิบายด้วยใบหน้าเรียบเฉยกู้หว่านเยว่ยกมือขึ้นกุมหน้าผากอย่างจนใจ “ช่างเถอะ ตามใจเขาก็แล้วกัน”กลุ่มทหารรับจ้างเดินทางมาพร้อมกับพวกเขา ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ มีพวกเขาอยู่ด้วยจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของจ้านจ้านเขาชอบไปวอแวหลันเตี๋ย ก็ทำให้พวกเขาได้อยู่กันอย่างสงบพอดี“พักผ่อนสักหน่อยเถอะ” ซูจิ่งสิงตบเบาะนุ่มข้างกายเบา ๆ สิ่งที่เขาคิดคือ สองวันนี้กู้หว่านเยว่เหนื่อยล้ามามากแล้ว การที่จ้านจ้านไปอยู่กับหลันเตี๋ย ก็เท่ากับมีคนช่วยดูแลลูกชายพอดี จะได้ให้นางพักผ่อนบนรถม้าอย่างเต็มที่ในรถม้าคันข้างหน้า จ้านจ้านกำลังแกว่งขาเล็ก ๆ ของเขาไปมา พลางสำรวจมองไปรอบ ๆ ภายในรถม้าของหลันเตี๋ยแขวนอาวุธลับไว้นานาชนิด เขามองดูด้วยความแปลกใหม่อย่างยิ่ง“พี่หญิง ของกลม ๆ ที่มีหนามแหลมอยู่รอบ ๆ นี่คืออะไรหรือ?”จ้านจ้านหยิบลูกกลมเล็ก ๆ ขึ้นมาลูกหนึ่ง แล้วหมุนเล่นในมือหลันเตี๋ยเหลือบมอง แล้วเอ่ยอธิบายอย่างเกียจคร้าน “เจ้านี่น่ะหรือ เรียกว่าระเบิดดาวตก ข้าดัดแปลงมาจากด