เมื่อหานซูอวี้เห็นท่าทางของแม่ เธอจึงคิดว่าควรจะพิสูจน์ความจริงเรื่องของพ่อเลวออกมา ไม่อย่างนั้นหายนะต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเห็นทีว่าคงจะวนกลับมาอีกครั้งเป็นแน่
หลิวซินยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเก่าซอมซ่อ ดวงตาบวมช้ำจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย แม้คำพูดของลูกสาวจะกรีดลึกลงไปในใจ แต่ความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงและความไม่เชื่อว่าสามีจะเลวร้ายถึงเพียงนั้นยังคงเกาะกินจิตใจของเธออยู่
หานซูอวี้มองท่าทางของมารดาแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าแค่คำพูดคงยากที่จะทลายกำแพงความหวัง ลม ๆ แล้ง ๆ ที่แม่สร้างขึ้นมาปกป้องตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ บางที...อาจจะต้องใช้ยาแรงกว่านี้
"แม่คะ" เด็กหญิงเดินเข้าไปกุมมือมารดาอีกครั้ง "ถ้าแม่ยังไม่เชื่อหนู...ถ้าแม่ยังคิดว่าพ่อเขาเป็นคนดี...แม่กล้าไปพิสูจน์ความจริงกับหนูไหมคะ?"
หลิวซินหันมามองลูกสาวด้วยแววตาสั่นไหว "พิสูจน์? พิสูจน์อะไรกันลูก?"
"ความจริง...เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นของพ่อค่ะ" หานซูอวี้ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเกินวัย ดวงตาจับจ้องมารดาอย่างรอคอย
"หนูรู้ว่าเขาเช่าบ้านให้ผู้หญิงคนนั้นที่ไหน...และหนูอยากให้แม่ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ว่าพ่อเขาดูแลผู้หญิงคนนั้นดีกว่าดูแลแม่กับหนูมากแค่ไหน!"
คำพูดนั้นทำให้หลิวซินอึ้งไป เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกสาวตัวน้อยจะรับรู้เรื่องราวได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ หรือนี่จะเป็นเพียงจินตนาการของเด็กที่หวาดกลัว? แต่แววตาที่มุ่งมั่นและจริงจังของหานซูอวี้ทำให้เธอเริ่มลังเล
"ไปกับหนูนะคะแม่" หานซูอวี้บีบมือมารดาแน่นขึ้น ที่เธอมั่นใจมากเช่นนี้นั่นเป็นเพราะชาติก่อนเธอจำได้ดีว่าพอแม่รู้ว่าพอซุกเมียน้อยไว้ที่ไหนหล่อนก็ตามมาอาละวาด
"แค่ไปดูให้เห็นกับตา...แล้วแม่ค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเชื่อใคร" ในที่สุดหลิวซินก็พยักหน้าลงอย่างหมดแรงจะขัดขืน บางทีการได้เห็นความจริงอันโหดร้ายอาจจะดีกว่าการจมอยู่กับความหลอกลวงไปวัน ๆ
สองแม่ลูกพากันเดินออกจากบ้านพักสวัสดิการของโรงงานผ้าที่ซอมซ่อและอับทึบ หานซูอวี้ในร่างเด็กหญิงอายุสิบสามปีเดินนำหน้าอย่างกระฉับกระเฉง
พาแม่ลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่เธอคุ้นเคยจากความทรงจำ จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าบ้านเช่าสองชั้นหลังหนึ่งในย่านที่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองนัก
บ้านหลังนั้นดูใหม่และสะอาดสะอ้านกว่าบ้านพักคนงานที่พวกเธออยู่ลิบลับ ประตูหน้าต่างทาสีสันสดใส มีกระถางดอกไม้เล็ก ๆ ประดับอยู่ริมหน้าต่าง แม้จะเป็นเพียงบ้านเช่าแต่ก็เห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
หัวใจของหลิวซินเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ขาของเธอหนักอึ้งจนแทบก้าวไม่ออก
"นะ...นั่นใช่ไหมลูก?" เธอถามเสียงสั่น
หานซูอวี้ไม่ตอบแต่จูงมือแม่ให้เดินเข้าไปใกล้พุ่มไม้เตี้ย ๆ ของบ้านหลังนั้นอีกนิด และแล้ว...ภาพที่หลิวซินไม่ อยากจะเชื่อสายตาที่สุดก็ปรากฏขึ้น
หญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างอ้อนแอ้นในชุดกระโปรงสีสดใสกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ที่ระเบียงชั้นบนของบ้านหลังนั้นอย่างมีความสุข
ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มดูผ่อนคลาย...และที่สำคัญบนราวตากผ้าใกล้ ๆ กันนั้น มีเสื้อเชิ้ตทำงานของผู้ชายแขวนอยู่เสื้อเชิ้ตที่หลิวซินจำได้แม่นว่าเป็นของหานจินสามีของเธอ! ภาพตรงหน้านั้นเหมือนค้อนปอนด์ที่ทุบลงกลางใจของ หลิวซินเข้าอย่างจัง
ความหวังสุดท้ายที่เคยมีว่าสามีอาจจะไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้นพังทลายลงในพริบตา น้ำตาแห่งความเจ็บปวดและความรู้สึกเหมือนถูกทรยศไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย ร่างของเธอโงนเงนจนแทบจะล้มลงถ้าไม่ได้หานซูอวี้คอยประคองไว้
"แม่เห็นแล้วใช่ไหมคะ..." หานซูอวี้พูดเสียงเบาแต่แสดงเจตจำนงอย่างแน่วแน่ "นี่คือสิ่งที่พ่อทำกับเรา...นี่คือเหตุผลที่แม่ต้องเลือกทางเดินใหม่ให้ตัวเองกับหนู"
หลิวซินทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ความเจ็บปวดทั้งหมดถาโถมเข้าใส่ ภาพความสุขของหญิงอื่นในบ้านที่ควรจะเป็นของเธอและลูกมันชัดเจนเกินกว่าจะหลอกตัวเองได้อีกต่อไป...
ทางด้านหานจินหลังเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาจากบ้านพักคนงานซอมซ่อหลังนั้นในอกยังคุกรุ่นไปด้วยความโมโหไม่หาย นังหลิวซิน! ผู้หญิงที่เคยหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายมาตลอด วันนี้กลับกล้าแข็งข้อถึงกับเอาของมีคมมาขู่เขา! ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย!
แต่ครู่เดียวความหงุดหงิดของชายหนุ่มก็ค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อความคิดของเขาล่องลอยไปถึงถงเหม่ยลี่ยอดรักคนใหม่ ใบหน้าอ่อนหวาน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น และคำพูดเอาอกเอาใจของหล่อน ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ผิดกับนังอ้วนที่บ้านลิบลับ
วันนี้เขาตั้งใจว่าจะไม่กลับไปนอนที่บ้านนั่นอีกแล้ว หลังจากที่ทะเลาะกันรุนแรง หานจินมุ่งหน้าตรงไปยังสหกรณ์ร้านค้าของโรงงาน เลือกซื้อเนื้อหมูสามชั้นอย่างดีและของสดอีกสองสามอย่างตั้งใจว่าจะเอาไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้ถงเหม่ยหลี่กิน
และจะค้างคืนที่บ้านเช่าแสนสุขของพวกเขาสักสองสามวันให้สมกับที่อารมณ์เสียมาทั้งวัน โดยหารู้ไม่ว่าในขณะที่เขากำลังวาดฝันถึงความสุขสบายอยู่เบื้องหน้านั้น ชีวิตครอบครัวที่เขาทอดทิ้งกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อหานซูอวี้พาแม่กลับมาถึงห้องพักอย่างเงียบเชียบ หลิวซินผู้ซึ่งดวงตาแดงก่ำแต่แฝงแววเด็ดเดี่ยวก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขาโยกเยกข้างโต๊ะเขียนหนังสือโดยมีลูกสาวนั่งลงเคียงข้าง
"แม่..." หลิวซินเอ่ยขึ้นเสียงเครือ "แม่จะหย่า...แม่จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว"
หานซูอวี้ยิ้มบาง ในที่สุด...แม่ของเธอก็ตัดสินใจได้เสียที "ดีแล้วค่ะแม่ หนูจะช่วยแม่เอง"
เด็กหญิงลุกขึ้นเดินไปหยิบกระดาษและดินสอจากกระเป๋านักเรียนใบเก่าออกมาวางตรงหน้าของมารดา
"แม่เขียนเลยค่ะ เขียนคำขอหย่า บอกเหตุผลไปตามความจริงแล้วยื่นเงื่อนไขให้พ่อเขา"
หลิวซินมองหน้าลูกสาวอย่างไม่แน่ใจ "เงื่อนไข? เงื่อนไขอะไรกันลูก?"
"เงื่อนไขที่ว่า...ถ้าเขาไม่ยอมหย่าดี ๆ และไม่ยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูหนูตามสมควร" หานซูอวี้พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเกินวัย ดวงตาฉายแววคมกล้า
"เรื่องที่พ่อมีชู้จะถูกรายงานไปยังหน่วยงานของโรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดค่ะ!" หานซูอวี้เว้นไว้ถึงเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตของชายคนนั้นเอาไว้ก่อน ทั้งนี้หล่อนกลัวว่าหากยังหนีไปไม่ไกลพ่อเลวอาจจะมาทำร้ายเธอกับแม่ได้
หลิวซินเบิกตากว้าง "ซูอวี้! ลูกจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? มะ...มันร้ายแรงมากเลยนะลูก" ในยุคสมัยนี้เรื่องอื้อฉาวในที่ทำงาน โดยเฉพาะเรื่องชู้สาวถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมาก หากถูกเปิดโปงขึ้นมาไม่เพียงแต่จะถูกไล่ออกจากงาน แต่อาจจะถูกลงโทษทางวินัยอย่างหนัก ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไปทั้งตระกูล
"แล้วที่พ่อทำกับแม่กับหนู มันไม่ร้ายแรงหรือคะ?" หานซูอวี้สวนกลับทันควัน "ถ้าเราไม่ทำให้เขาหวาดกลัวบ้าง เขาจะยอมปล่อยเราไปง่าย ๆ หรือคะ? แม่เชื่อหนูเถอะค่ะ นี่เป็นทางเดียวที่เราจะหลุดพ้นจากเขาได้จริง ๆ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา"
แววตาที่มุ่งมั่นและเหตุผลที่เฉียบคมของลูกสาว ทำให้หลิวซินที่กำลังใจสลายค่อย ๆ มองเห็นแสงสว่างรำไร เธอสูดหายใจเข้าลึก หยิบดินสอขึ้นมาด้วยมือที่ยังสั่นเทา แต่ในใจกลับเริ่มมีความหวัง...ความหวังที่จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเสียที โดยมีลูกสาวคนนี้คอยชี้นำอยู่เคียงข้าง
สองวันต่อมา เมื่อหลิวจินกลับมาถึงบ้านเขาก็พบบรรยากาศเงียบงันผิดปกติ อีกทั้งไม่มีเสียงถามไถ่จากภรรยาอย่างที่ควรเป็น
"มาแล้วก็ดี" หลิวซินพูดเสียงดัง ท่วงท่าของหล่อนตอนนี้ไม่มีความลังเลในการหย่าขาดจากผู้ชายเลวคนนี้อีกแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะตลอดสองวันที่ผ่านมาหล่อนเห็นมาแล้วว่าผู้ชายคนนี้ทำอย่างไรกับชู้รักของเขา
"พวกเรามาหย่ากันเถอะ" คำกล่าวของหลิวซินทำให้หานจินผงะไปอย่างไม่อยากเชื่อหู
"เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ" เขาตวาดแกมเยาะ เพราะรู้ดีว่าภรรยาของตนไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่งอาศัยเพียงปะชุนเสื้อผ้าไปวัน ๆ
"ถ้าอยากหย่าก็ได้นะ" เขาพูดขึ้นอย่างเหนือกว่า
"ก็ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหย่ากันวันนี้เลย แต่ฉันมีข้อแม้" ประโยคต่อมาของหลิวซินทำให้หานจินคิดอย่างเย้ยหยัน (นั่นไง! ว่าแล้วคงจะเรียกร้องความสนใจละสินังอ้วน)
"ว่ามา" เขาก้าวเท้าเข้ามานั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ กระดิกเท้าไปมารอดูว่าหลิวซินจะพูดอะไร
หลายปีผ่านไป...หลังจากที่เปลวไฟแห่งโศกนาฏกรรมได้มอดดับลง และบาดแผลทั้งหมดได้รับการเยียวยาด้วยกาลเวลาและมิตรภาพภายในเรือนสี่ประสานในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนจะสงบสุข... เสียงหัวเราะของเด็กแฝดชายหญิงที่ได้เติบโตขึ้นมากกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน...คือบทเพลงที่ไพเราะที่สุดของบ้านหลังนี้และในวันนั้น...ก็ได้มีแขกคนสำคัญเดินทางมาเยี่ยม หนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีของสถาบัน PUMC ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างสุภาพกับกางเกงแสล็คสีดำที่ดูสะอาดสะอ้าน...เดินเข้ามาพร้อมกับพ่อบุญธรรมทั้งสองคนของเขา ซึ่งก็คือหวังเฉียงและจ้าวลี่ที่ในอ้อมแขนได้อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งมาด้วย และเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เขาก็คือหลิวเหว่ย ลูกชายเพียงคนเดียวของผู้กองหลิว...บัดนี้จากเด็กชายวัยสิบสามปีได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน...สมกับเป็นลูกช
"ทุกคน! สวมหน้ากากป้องกันสารพิษ! ห้ามถอดออกเด็ดขาด!" เสียงที่เด็ดขาดของเกาซูอวี้ดังขึ้นเป็นคำสั่งแรก...เธอรู้ดีว่าควันที่มองเห็นตรงหน้านั้น...เต็มไปด้วยสารเคมีอันตราย ทีมแพทย์ภาคสนามทั้งหมดรีบสวมหน้ากากป้องกันอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวเข้าไปในความโกลาหลเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยภาพของเปลวเพลิงที่ลุกโชน และเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะ...ผสมผสานกับเสียงร้องครวญครางของผู้บาดเจ็บทั้งหมดตรงนี้คือความเป็นจริงที่โหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หวงจิง...ในฐานะศัลยแพทย์ทั่วไป...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีบาดแผลไฟไหม้รุนแรง อู๋ถิง...ในฐานะศัลยแพทย์ระบบประสาท...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่บาดเจ็บที่ศีรษะจากการระเบิด ส่วนเกาซูอวี้...เธอคือศูนย์บัญชาการของทีมแพทย์ภา
กลางดึกสงัดของกรุงปักกิ่ง...ท่ามกลางการหลับใหลของผู้คน ฉับพลันในวินาทีนั้นได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดดังขึ้นกึกก้อง...ทำลายความเงียบของสถานีดับเพลิงในเขตชานเมือง หวังเฉียงกับจ้าวลี่...สองสหายนักดับเพลิง...กระโจนออกจากเตียงพักผ่อน...แล้วรูดเสาลงมายังชั้นล่างด้วยความเร็วสูงสุดพวกเขาและเพื่อนร่วมทีมต่างรีบสวมชุดป้องกันไฟที่หนักอึ้งอย่างคล่องแคล่ว...ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียด...เพราะสัญญาณเตือนภัยระดับนี้...ย่อมหมายถึงหายนะ ภายในเวลาเดียวกันนั้น...ที่สถานีตำรวจกลางประจำเมือง หลี่หู่กำลังจะปิดแฟ้มสุดท้ายของวัน...แต่แล้ววิทยุสื่อสารก็ได้ดังขึ้น... "ประกาศถึงทุกหน่วย...เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่โกดังเก็บสารเคมี เขตอุตสาหกรรมไป๋หยาง...ขอให้ทุกหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงรีบไปยังที่เกิดเหตุเพื่อควบคุมสถานการณ์และอพยพประชาชนโดยด่ว
คำเรียกขานในอดีต...ได้ทำลายกำแพงที่แข็งกร้าวของดาราสาวจอมวีนลงอย่างสิ้นเชิง...หลินซินซินมองใบหน้าที่สงบนิ่งของนายแพทย์หนุ่มตรงหน้าซ้อนทับกับภาพของเสี่ยวเทียน...เด็กชายขี้อายข้างบ้านเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยรอยยิ้ม "คุณ...ออกไปก่อนได้ไหมคะ" เธอหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ฉัน...อยากจะคุยกับคุณหมอเป็นการส่วนตัว" เมื่อภายในห้อง VIP เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน...หยางเทียนก็กลับเข้าสู่โหมดแพทย์ "ผมขออนุญาตนะครับ" เขาพูดพลางเดินเข้าไปใกล้เธอและยกมือขึ้นสัมผัสบาดแผลที่ศีรษะของเธอที่ได้รับการทำแผลขั้นต้นมาแล้ว สัมผัสที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพของหยางเทียนขณะที่กำลังตรวจบาดแผลที่ศีรษะ...ได้ทำลายกำแพงทั้งหมดในใจของหลินซินซินลง... หลังจาก
อีกสองปีต่อมา...หลังจากที่เหล่าแพทย์ยุคใหม่ได้สร้างตำนานบทแรกของตนเอง...โจวเทา...แพทย์หนุ่มผู้ขยันขันแข็งแห่งแผนกศัลยกรรมกระดูกได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง...ในประเทศเยอรมนี และในวันนี้...คือวันแห่งการจากลา...ภายในสนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง...ทีมพี่ใหญ่ทั้งหมด...ได้มารวมตัวกันเพื่อส่งเพื่อนคนสำคัญของพวกเขา "นายต้องตั้งใจให้มากนะ" เกาซูอวี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะรู้สึกใจหายเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเธอกล่าวจบก็มาถึงคราวของซ่งอวิ๋นเซิงสามีสุดที่รักของเธอบ้าง "เทคนิคที่เยอรมนีล้ำหน้ามาก...เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด...แล้วนำมันกลับมาพัฒนาบ้านเรา" ชายหนุ่มลูกสองกล่าวแนะนำในฐานะอาจารย์&
ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องของฤดูหนาว...ที่ปีนี้มีประกาศว่าอากาศจะหนาวเย็นมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา อู๋ถิงที่กำลังเดินทางอยู่บนรถประจำทางไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังจะต้องได้เข้าร่วมกับอุบัติเหตุหมู่ครั้งใหญ่อย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่เขากำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกของรถโดยสารคันใหญ่ สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น รถโดยสาร ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ได้แล่นไปทับแผ่นน้ำแข็งสีดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้หิมะเบาบางบนท้องถนน เอี๊ยด! เสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นน้ำแข็งอย่างรุนแรงดังขึ้น...ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของผู้โดยสาร และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างพลันหมุนคว้างร่วมกับเสียงกรีดร้อง อีกทั้งเสียงโลหะดังสนั่นรวมถึงเสียงกระจกที่แตกละเอียดดังผสมปนเปกันไปหมด...&nbs