ลูกน้องไม่มีใครกล้าแตะตัวปุณิกา ทุกสายตามองไปที่เจ้านายผู้หัวเสียขั้นสุด
“สภาพอย่างนี้คงหามเธอไปลำบาก”
นายหน้าเสี้ยมกระแอม ชายหนุ่มถอนหายใจฮึดฮัด จำใจยอมรับตำแหน่งคนอุ้ม เอาร่างอรชรมาแนบอก
ตัวปุณิกาเย็นแทบเท่าสายฝน ปากก็สั่น นี่เธอหนีมาอยู่ที่นี่นานขนาดไหนแล้วหนอ หากงูไม่กัดก็ต้องโดนไข้หวัดเล่นงานแน่ เธอช่างบ้าบิ่น ทำอะไรไร้หัวคิดนัก ...พี่กับน้องเหมือนกันไม่มีผิด คนแบบนี้มีอะไรดี สิริยาถึงได้หลง ขนาดหอบผ้าผ่อนตามไป สรวิชญ์คิดหาเหตุผลไม่ออกเลยจริง ๆ
รถตู้วิ่งฝ่าสายฝนไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียดกรวดบนพื้นลูกรัง กระเด็นกระทบบังโคลนรถดังปึก ๆ
“เธออย่าหลับ ประคองสติไว้ให้ถึงโรงพยาบาล”
ผู้ชายแสนร้ายกาจที่เป็นตัวต้นเหตุแห่งโชคร้ายทั้งหมดของเธอ เขาสั่งอย่างไม่เห็นใจคนป่วย
“ไม่รู้ว่างูที่กัดเธอมันมีพิษส่งผลต่อประสาทให้หลับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าหลับ”
“ฉันแค่พักสายตาหน่อยเดียวเอง”
ปุณิกาเถียงขณะตาปรือ เธอเหนื่อยเหลือเกินเมื่อครู่ เนื้อตัวปวดเมื่อยอย่างกับโดนรถทับ
“มีสติ มองหน้าฉันไว้”
เขายังพูดไม่เลิก
“ถ้าฉันตายจะมาเป็นผีหลอกคุณ”
ศีรษะที่กลุ่มผมเปียกไปด้วยโคลนเอนพิงกระจก
“คนปากเก่ง ๆ อย่างเธอไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า มานี่”
สรวิชญ์ใช้มือช้อนศีรษะเธอมาไว้ที่พนักพิง
“ยุ่งจริงคุณ”
เธอลืมตาพร้อมส่งสายตาวับแวบอย่างเกรี้ยวกราด สรวิชญ์นึกชอบใจเธอในลักษณะนี้มากกว่า มีพลังชีวิต บ่งบอกว่าเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
“ที่ดีกับฉันตอนนี้นี่ กลัวฉันตายแล้วมาหลอกใช่ไหม”
เขาทำลายการพักผ่อนของเธอเสียหมด ปุณิกาจึงต้องยอมคุยด้วย
“ผีมันแค่สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรเท่านั้นเอง ผีมันก็แค่ความมืด คนเป็น ๆ น่ากลัวกว่าเยอะ”
เธอเผลอพยักหน้าตาม เขาแลไปยังขาที่พันด้วยเสื้อของเธอ รอยเขี้ยวยังเห็นเด่นชัด
“ฉันถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม”
เมื่อเห็นเขาสงบ ปุณิกาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“เชิญ”
“ถ้าเจอน้องชายฉันกับน้องสาวคุณแล้ว จะทำอะไรต่อ”
เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดในรถ อากาศราวถูกสูบออก เหลือแต่ความไม่สบายใจของเหล่าผู้รอฟังคำตอบ
“จับแยก พาสตางค์กลับไปเรียนต่อ เขายังมีอนาคต ส่วนน้องเธอฉันจะอัดสั่งสอนหน่อย”
เขาทิ้งหลังลงพนักพิง ยกมือกอดอก
“ป่าเถื่อน บ้านเมืองมีกฎหมายนะคุณ จะมาอัดคนซี้ซั้วตามอำเภอใจได้ยังไง”
“ผู้ชายบางทีมันต้องสั่งสอนด้วยกำปั้น แล้วเธอล่ะ คิดว่าจะทำยังไงถ้าเจอน้องชาย”
ตาโตกลอกขึ้นบน
“ฉันจะถามเหตุผลเขาก่อน แล้วค่อยบอกว่าเรื่องนี้มันส่งผลกับเขายังไง”
“น้องเธออายุเท่าไร ห้าขวบเหรอ เขาอายุยี่สิบ เรียนปวส.แล้วนะ”
สรวิชญ์ทำเสียงฮึในลำคอ
“แล้วคุณตอนอายุยี่สิบล่ะ ทำอะไรได้บ้าง ไม่เคยทำผิดพลาดเลยเหรอ”
คนโดนถามขมวดคิ้ว อายุยี่สิบคือวัยนักศึกษา เขาทั้งเรียน เที่ยว กินดื่มแบบสุดเหวี่ยง
“ทั้งสองคนนั่นยังเด็ก ต้องมีผู้ใหญ่อย่างเรานำทาง ตบให้เข้าร่องเข้ารอย”
“เธอทำอาชีพอะไรกัน เป็นทนายเหรอ ถึงได้แก้ตัวแทนคนอื่นเก่งจัง”
เขาเหยียดยิ้มที่ไม่ได้แสดงว่าชื่นชมเลยสักนิด
“ฉันไม่อยากให้คุณใช้อารมณ์เหนือเหตุผล เห็นภาพเลยว่าถ้าคุณเจอน้องสาวแล้ว คงทำแบบที่ทำกับฉัน ตะคอกเธอ แล้วจับขัง”
บรรดาลูกน้องสบตากันแบบไม่ได้นัดหมาย
“ใจเย็น แล้วก็ให้เวลาพวกแกหน่อย ไม่มีใครอยากหนีไปจนตลอดชีวิตหรอก”
“แต่คืนนี้เธอหนีฉันไปถึงสองครั้งนะมิ้ม”
เธอชะงักแล้วเลิกคิ้ว
“คุณรู้ชื่อเล่นฉันได้ยังไง รู้จักบ้านด้วย สืบเรื่องพวกฉันมาเหรอ”
“ฉันทำได้ทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องของน้อง ไม่มารอฟังเหตุผลบ้า ๆ อย่างเธอหรอก”
“โอเค ๆ ตามใจคุณ”
ปุณิกาหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน กับคนบางคน พูดอะไรบอกอะไรไปก็เหมือนพูดกับตอไม้ ได้มาเพียงความเงียบและอาการเจ็บคอของคนพูดเอง
รถเข้ามาในหมู่บ้านที่มีแสงไฟตามถนน ถัดไปไม่ไกลเป็นร้านสะดวกซื้อ ใกล้ ๆ กันเป็นตึกแถวสองคูหา ติดป้ายตัวโตสีเขียว อ่านได้พร่าเลือนในสายฝนว่า...คลินิกแพทย์วิโรจน์
“โชคดีนะที่ลุงยังไม่นอน กำลังเฟซไทม์คุยกับลูกอยู่ ไหนใครที่โดนงูกัด”
ชายสูงอายุผมขาวสวมเสื้อกันฝนสีส้มขึ้นมาบนรถพร้อมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์สีดำ
“โห...ทำไมสภาพเลอะโคลนกันแบบนี้ล่ะคุณเต้ย ไปทำอะไรกันมา”
ปุณิกาจึงได้รู้ว่าคนที่ลักพาตัวมาชื่อเล่นว่าเต้ย
“หกล้มนิดหน่อยครับ”
ผู้สูงวัยมองเส้นผมที่เต็มไปโคลนและดอกหญ้าเจ้าชู้ที่ติดตามเสื้อผ้าคนป่วย
“แล้วหนูคนนี้เป็นอะไรกับคุณล่ะ”
ปุณิกาได้โอกาสที่จะขอความช่วยเหลือ แต่มือใหญ่กลับมาช้อนศีรษะ เอาหน้าเธอซบแนบอก
“แฟน เราทะเลาะ เลยไปบู๊กลางสายฝน หกล้ม โดนงูกัดครับ”
“ฉันไม่ได้เป็นแฟนคุณ!”
เธอรัวกำปั้นทุบอกแกร่ง
“นั่นแหละลุงหมอ มิ้มกำลังโกรธมากด้วย โรงพยาบาลก็อยู่ไกล กลัวเขาจะตายก่อน ผมไม่อยากเป็นหม้าย เลยให้ลุงหมอช่วยดูอาการเบื้องต้น”
แพทย์ชราพยักหน้าเข้าใจ ในเหตุผลที่พอฟังได้
“ไหนขอดูแผลหน่อย”
และกลับไปทำหน้าที่ตามวิชาชีพ สักพักก็บอกด้วยสีหน้ากังวลเพราะรอยกัดมีสองเขี้ยว แสดงว่าเป็นงูพิษ ถามถึงลักษณะงูปุณิกาบอกว่าไม่รู้ว่าสีอะไรเพราะในพุ่มไม้มืด ประกอบกับเธอตกใจจึงไม่ทันสังเกตลักษณะงู แพทย์จึงทำได้เพียงเอาแอลกอฮอล์เช็ดแผลให้ และบอกให้เธออย่าหลับ
“ไปเจอกันได้ยังไงล่ะ ลุงไม่เคยเห็นแม่หนูคนนี้เลย”
หนึ่งในการทำให้ตื่นคือแลกเปลี่ยนบทสนทนา
“เรื่องมันยาวครับ ไว้วันไหนอากาศดีกว่านี้ผมจะไปเล่าให้ฟัง แกล้มไวน์ดี ๆ สักขวด”
ปุณิกาได้ข้อมูลเพิ่มอีกอย่าง ไร่ของเขาปลูกองุ่น ผลิตไวน์ของตัวเอง สองหนุ่มต่างวัยสนทนากันเองมากกว่า เธอเป็นฝ่ายฟัง
เวลาเขาคุยกับนายแพทย์ผู้นี้มีแต่ความนอบน้อม วาจาระรื่นหู นี่คงเป็นคนสำคัญที่เขาเคารพ ปุณิกาตั้งใจไว้ว่าหากเขาเผลอจะขอความช่วยเหลือ แต่จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็กอดเธอไว้แนบอกจนกระทั่งถึงโรงพยาบาล
ปุณิกาถูกนำขึ้นเตียงเข้าห้องฉุกเฉินในทันทีเมื่อถึง นายแพทย์วิโรจน์เข้าไปดูอาการด้วย โดยมีหนุ่ม ๆ นั่งรอบนเก้าอี้หน้าห้อง พยาบาลเวรคนหนึ่งเรียกนายหน้าเสี้ยมจากหน้าเคาน์เตอร์
“เขาขอประวัติคนป่วยครับ”
คนสนิทมาบอกเจ้านาย
“บอกไปว่าเหตุฉุกละหุก เอกสารหายไปสิวะ”
นายหน้าเสี้ยมแจ้งพยาบาลเวรตามนั้น แต่ดูเหมือนเรื่องยังไม่จบเพราะยังยืนอยู่ที่เดิม สรวิชญ์จึงเข้าไปจัดการเอง
“พรุ่งนี้ต้องเอาเอกสารของคนไข้มาให้นะคะ ไม่งั้นทางหมอจะลำบาก ไม่รู้ว่าคนไข้คนไหนเป็นคนไหน”
พยาบาลรุ่นแม่มองลอดแว่นมา
“พวกคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ”
นางกวาดตามองสภาพเปียกมะลอกมะแลกของทุกคน ถ้าไม่ได้คำตอบที่เข้าที ดูเหมือนจะต้องโทรเรียกตำรวจเสียแล้ว
“ไงคุณแสงเดือน อยู่เวรดึกเหรอวันนี้”
นายแพทย์วิโรจน์เป็นผู้แก้สถานการณ์
“สวัสดีค่ะอาจารย์หมอ พาใครมาโรงพยาบาลเหรอคะ”
คนหลังเคาน์เตอร์เวชระเบียนทักทายเสียงอ่อนหวาน
“พาแฟนหลานมาน่ะ โดนงูกัด”
ผู้อาวุโสตบที่ไหล่ชายหนุ่มเบา ๆ
“อ้อ...”
นางรีบคีย์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ คนไข้นิรนามผู้พามาคือแฟน
“ขอชื่อผู้ติดต่อได้ไว้หน่อยค่ะ”
สรวิชญ์จึงต้องแจ้งชื่อและนามสกุลไป นายแพทย์วิโรจน์บอกว่าปุณิกาไม่เป็นอะไร ได้รับเซรุ่มแล้ว
“คืนนี้ให้เขานอนนี่ก็แล้วกัน เต้ยไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วย เปียกขนาดนี้เดียวเป็นหวัดไปอีกคน”
ชายหนุ่มพยักหน้า สั่งให้ลูกน้องพานายแพทย์วิโรจน์กลับบ้าน ส่วนตนขึ้นห้องพักผู้ป่วยไปกับปุณิกา ระหว่างกำลังล้างเนื้อล้างตัวมือถือมีข้อความเข้า
“สตางค์สบายดีค่ะ พี่เต้ยไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ถ้าสบายใจแล้วจะส่งข่าวอีก”
สิริยาตอบไลน์ข้อความติดตามอันยาวเหยียดของเขาเพียงแค่ประโยคเดียว ทีแรกสรวิชญ์จะโทรหาน้อง แต่เมื่อเหลือบดูนาฬิกาก็เป็นเวลาตีสองแล้ว โทรไปตอนนี้คงไม่พร้อมคุย
เขาหัวเราะฮึสมเพชตัวเอง นี่กลายเป็นคนใจเย็นใช้เหตุผลนำตามที่ปุณิกาหว่านล้อมไปเสียแล้วละหรือ
สรวิชญ์เดินไปยืนมองคนที่หลับอยู่บนเตียง เวลานิ่ง ๆ เธอดูไม่มีพิษสงอะไร เมื่อสวมชุดคนไข้แล้วดูหลวมโพรก ตัวเล็กนิดเดียว แต่พยศนัก คืนนี้ทำเขาหัวหมุนไปถึงสองรอบ อยากจับตัวมาเขย่านักว่าจะก่อเรื่องยุ่งไปถึงไหน
แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าซีด ๆ ตาปรือ ๆ ความเดือดดาลค่อยลดระดับลงหน่อย
ชายหนุ่มตัดสินใจโทรหานายหน้าเสี้ยมคนสนิท บอกว่าเปลี่ยนแผน ให้นายหน้าเสี้ยมไปตามดูสิริยาที่สมุยแทน โดยจะจองตั๋วเครื่องบินให้ไปเช้านี้
“ถ้าเจอสตางค์กับไอ้หมอนั่นให้จับตาดูไว้ แล้วรายงานกูทุกระยะ”
สรวิชญ์จะลองดู ...อยากรู้ว่าวิธีใช้เหตุผลนำอารมณ์ของเธอจะได้ผลหรือเปล่า หากไม่แล้วละก็...ปุณิกาต้องรับผิดชอบ!
หากไม่อยู่ในอารมณ์โกรธ สรวิชญ์คือคนสุขุมคนหนึ่ง เขาแสดงออกโดยการจัดการจดทะเบียนสมรสกับปุณิกาเสียในบ่ายนั้น“ฉันอยากให้ลูกเกิดภายใต้ทะเบียนสมรส”เธอมองกระดาษแผ่นที่ชาตินี้ตัวเองไม่คิดว่าจะได้มันมาอย่างงง ๆ จู่ ๆ เธอก็กลายเป็นนาง พ่วงด้วยนามสกุลอะไรสักอย่างที่ยาว ๆ“คำนำหน้าเอาเป็นนางเลยนะ จะได้ไม่ต้องไปทำไข่เจียวกะเพราปลากระป๋องให้ใครกิน”คนหน้าดุบอกต่อหน้าเจ้าหน้าที่จดทะเบียน“นามสกุลเขาก็ใช้ของผม”สรวิชญ์ทำตัวเป็นเจ้าชีวิตเธอทุกเรื่อง แต่เอ...ไข่เจียวกะเพราปลากระป๋อง“ฉันทำเมนูนี้อร่อยนะ พ่อฉันก็ชอบกิน”“ต่อไปทำฉันกินคนเดียว”เธอทำท่านึก“ต้องให้แสนดีเป็นหนูทดลองชิมก่อน ไม่ได้ทำตั้งนานแล้ว กลัวฝีมือตก”“ให้ไอ้แสนเป็นหนูทดลองไม่ได้”ปุณิกาคอย่น เขาทำเหมือนโกรธเสียเต็มประดา“ฉันจะเป็นคนกินเอง”หญิงสาวโคลงศีรษะ เอาล่ะ...อยากเป็นหนูทดลองก็จะยอมให้เป็น หลังออกจากสำนักงานเขตเขาก็สั่งคนขับรถมุ่งกลับไร่ ทิ้งกรุงเทพฯและปุณณภพไว้เบื้องหลัง น้องชายบอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมในปลายเดือนนี้ ระหว่างทางสรวิชญ์ก็ยกมือเธอขึ้น สวมแหวนฝังทับทิมสีแดงที่นิ้วนางของเธอ“ไปแอบซื้อตอนไหนคะ”อัญมณีเล่นไฟทอประกายสวย
มีผู้คนในซอยกลับมาดูสภาพความเสียหายอยู่พอสมควร แต่ก็ได้เพียงอยู่นอกเส้นสีเหลืองกั้น ที่ทั้งอาสาทั้งตำรวจ คอยบอกไม่ให้ล้ำเส้นกั้นเข้ามาปุณิกากับปุณณภพเห็นสภาพซอยที่เคยคึกคัก บ้านที่เคยสวยงาม จนบัดนี้เหลือแต่ตอตำ กลิ่นไหม้ลอยคละคลุ้งเสียดแทงจมูกไปถึงในหัวใจ ผู้ประสบภัยบางคนร้องไห้ตัวโยน ร้องบอกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...หมดตัวแล้ว ปุณิกาจำได้ว่าคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกลางซอยสรวิชญ์มาจับแขน ดึงเธอกลับจากภวังค์ เป็นสัญญาณให้รีบไป เพราะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินเสียแล้วห้างสรรพสินค้าคือสถานที่ต่อไปซึ่งเขาพามา สรวิชญ์สั่งให้คนขับเลี้ยวรถไปยังห้างแรกที่เห็น เขาเอารถเข็นให้ ปล่อยปุณิกาเลือกซื้อเสื้อผ้าตามใจ โดยมีตัวเองเดินตามอยู่ไม่ห่าง แม้กระทั่งเข้าแผนกชุดชั้นใน“ไปที่อื่นก่อนได้ไหม ฉันขอซื้อของส่วนตัว”ปุณิกาหยุดรถอย่างเหลืออด หน้าหุ่นโชว์ใส่บราเซียร์ลูกไม้สีดำยั่วยวน“ฉันเป็นเจ้าของเงินนะ ขอดูด้วยสิว่าคุ้มหรือเปล่า”สรวิชญ์ชอบที่เธอกลับมาปีนเกลียวกับเขาได้เหมือนเดิม นี่แหละปุณิกาของเขา“ฉันไม่ต้องการความเห็นคุณ เพราะคนใส่คือฉัน”“แต่คนถอดก็เป็นฉันอยู่ดี”ชายหนุ่มแกล้งมองเธอตลอดร่าง แบบที่ปุณิ
“ก็เหมือนที่นายทำกับสตางค์นั่นแหละ เอามิ้มเป็นเมีย”สรวิชญ์ตอบแบบหน้าตาเฉย อีกฝ่ายง้างหมัดเตรียมชกแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเสียก่อน“แม้วหยุดนะ!”ปุณิกาห้ามเขาด้วยเสียงจริงจัง“คุณก็ได้ด้วยคุณเต้ย หยุดยั่วแม้วเสียที”รถเข็นเธอชะงัก พนักงานเลิ่กลั่กรอดูเหตุการณ์“แต่มันทำพี่ท้องนะ”“พี่อาจมีปัญหาในช่องท้อง ไม่ได้มีเด็กก็ได้ อย่าตื่นตูมไป คุณคะ เข็นต่อไปเลย”ปุณิกาหลบสายตา หันบอกพนักงาน การเดินทางไปยังแผนกสูตินรีเวชจึงเริ่มต่อไป รถเข็นเธอไปจอดยังแถวเก้าอี้ที่นั่งรอหมอเรียกหญิงสาวประสานมือกันแน่นจนเห็นข้อขาว เธอคงไม่โชคร้าย ขนาดเจอแจ็คพอตติดกันซ้อน ๆ แบบนี้หรอก ตั้งแต่โดนลักพาตัว กลายเป็นว่าที่คุณป้า บ้านโดนไฟไหม้ และเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี่ ...เธออาจตั้งท้องเสียงพยาบาลเรียกชื่อ เป็นดังเสียงขาลให้ก้าวเข้าสู่ลานประหาร สรวิชญ์เข้ามาแย่งเข็นเธอไปยังห้องพบแพทย์“คุณปุณิกานะครับ”นายแพทย์สูงวัย ที่สวมแว่นสายตาเลื่อนมากลางดั้งจมูก มองประวัติเธอในจอคอมพิวเตอร์ แล้วยิ้มให้“ค่ะ”เธอรับคำด้วยเสียงอันแห้งผาก สายตาแลไปเห็นเก้าอี้ที่มีขาหยั่ง และจอมอนิเตอร์ข้างกัน“เรามาขึ้นขาหยั่งดูน้องกัน
ปุณิกามายืนอยู่ในสถานที่เดิมอีกแล้ว ณ ที่ท้องฟ้าสีฟ้าใส เมฆขาวเป็นปุยลอยละล่อง มีลมเย็นพัดประพรมผิว ใต้เท้าเป็นพื้นหญ้าเขียวสดนุ่มดังกำมะหยี่ไกลออกไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาแทบระดิน พ่อกับแม่ยืนเคียงกันอยู่ตรงนั้น เธอยิ้มแล้วเดินไปหา สงสัยนี่คงจะเป็นการมารับเธอไปอยู่ด้วยจริง ๆ บางทีปุณิกาอาจตายเสียแล้วในกองเพลิงอีกแค่เอื้อมก็จะถึงร่างบุคคลอันเป็นที่รัก แต่มีมือแข็ง ๆ สีทองแดงมายึดแขนเธอไว้เสียก่อน“ปล่อยนะ ฉันจะไปหาพ่อกับแม่”ปุณิกาขมวดคิ้วเอ็ดเขา ดูเอาเถิด แม้เป็นการขึ้นสวรรค์อันผาสุกสรวิชญ์ยังจะตามมาราวีเธอไม่เลิก“...อย่าไป”เสียงห้าวที่เปล่งออกมานั้นคือคำสั่งชัด ๆ ดวงตาสีรัตติกาลเข้มดุจ้องเขม็งมายังเธอ“ปล่อยสิ...คุณเต้ย”เขาได้ทุกอย่างไปจากเธอแล้ว ได้เอาคืนปุณณภพสมใจ แล้วเหตุใดยังมาเร้าหรือ ฉุดรั้งเธอไม่ให้ไป“พ่อคะแม่คะ”ปุณิกายื่นมือออกไป หวังให้ท่านช่วย มารดาส่ายหน้าแล้วส่งยิ้ม“ยังไม่ถึงเวลาของมิ้มหรอกจ้ะ...อยู่กับเขาก่อนนะ”“มิ้มไม่เอาเขานะคะ พ่อแม่...”เธอร้องสุดเสียง ร่างสรวิชญ์หมุนวนกลายเป็นจุดดำฉุดร่างเธอให้ม้วนเป็นเกลียว ดิ่งลึกสู่ห้วงมืดสนิทตาโตลืมตื่นขึ้นในท
“ห่าเอ๊ย!”สรวิชญ์สบถแทบจะทุกสิบนาทีที่อยู่บนรถ ชายหนุ่มวิ่งแซงซ้ายปาดขวาด้วยใจร้อนรน มือถือวางไว้ตรงคอนโซลรถเปิดไลฟ์สดข่าวไฟไหม้ในซอยบ้านปุณิกาเกือบสองชั่วโมงแล้วผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพลิงยังไม่สงบ มีการสัมภาษณ์ผู้คนในซอย สรวิชญ์ภาวนาให้ตนได้ยินเสียงปุณิกาด้วยเถิดแต่คำอธิษฐานของคนไม่ศรัทธาในคุณพระคุณเจ้าอย่างเขาไม่ได้ผล เพราะคนที่นักข่าวไปสัมภาษณ์กี่คนต่อกี่คนก็ไม่ใช่เธอชายหนุ่มมองป้ายสีเขียวที่ตั้งโดดเด่น บอกว่ากำลังจะเข้าเขตกรุงเทพฯ แม้เป็นช่วงกลางคืนแต่รถในเมืองหลวงยังคลาคล่ำเขาต้องอดใจไม่กดแตรโวยวายใส่รถคันหน้า ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าบ้านปุณิกาต้องขึ้นทางด่วนไปเส้นไหนละวะ ปรกติเขาจำเส้นทางได้แม่น แต่ตอนนั้นไม่ได้ขับรถเอง และความโกรธก็บังตา ส่วนไอ้คนขับรถโน่น...เคล้าสุรานารีอยู่ซ่องเจ๊นวล ตัวเลือกเดียวคือเขาพอจะพึ่งได้ก็คือ“ครับ”คนรับสายรับแบบไม่มีงัวเงียสักนิดเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เจ้านาย“มึงจำทางไปบ้านไอ้แม้วได้ไหม”วสันต์เป็นคนนั่งหน้าข้างคนขับในวันนั้น เขาจึงเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจะจำเส้นทางได้“ครับ...แขวงXXX เขตXXX ถนนXXX ซอยXXX บ้านเลขที่XXX หลังคาสีฟ้า”ลูกน้องความจำดี
ค่ำคืนนี้ปุณิกาจาม น้ำมูกไหล ศีรษะปวดจี๊ด ๆ จึงกินยาแก้ปวดไปสองเม็ด เธอโทษว่าอาจด้วยเพราะอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวอย่างเช่นเมื่อตอนกลางวัน แดดเปรี้ยงอยู่ดี ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีฝนก็ตก ทำให้เธอและเพื่อนร่วมออฟฟิศที่เพิ่งกินข้าวกลางวันมา ต้องวิ่งฝ่าฝนโปรยเข้าออฟฟิศเพราะกลัวเข้างานช่วงบ่ายช้า นี่อาจเป็นเหตุเสริมความผิดปรกติของร่างกายในคืนนี้ปุณิกาเข้านอนตามปรกติ แล้วก็ต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะรอบบ้าน เธอเปิดหน้าต่างออกดูเห็นคนวิ่งกรูมากลางซอย“ไฟไหม้ ๆ”เสียงตะโกนต่อเป็นทอด ๆ เรียกความสนใจให้เธอชะเง้อคอดูจากหน้าต่าง จมูกได้กลิ่นไหม้ฉุนรุนแรง ตาเห็นเปลวเพลิงสีแดงอมส้มเริงระบำตามกระแสลมโหมหญิงสาวรีบปิดหน้าต่างลงออกมาจากห้องทันที เมื่อถึงหน้าประตูบ้านก็พบว่ารถติดยาว ทั้งรถยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซด์ ต่างคนต่างรีบพาพาหนะอันมีค่าหนีไปให้พ้นจากพระเพลิงที่กำลังโหม“โธ่เว้ย! ติดกันแน่นคับซอยอย่างนี้ รถดับเพลิงจะเข้าได้ยังไง”ผู้เฒ่าชายที่บ้านใกล้กับเธอบ่น“เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ เดี๋ยวไฟก็ยิ่งไหม้ลามหมด”“บ่นอยู่นั่นแหละตาแก่ รีบหนีก่อนเร็ว ออกไปให้พ้นซอย รักษาชีวิตไว้ดีกว่า”เฒ่าหญิงบ้านเดียวกันรี