ณ ที่แห่งนั้นเย็นสบายลมพัดระเรื่อย ท้องฟ้าสีสดใสจนเหมือนภาพวาด พระอาทิตย์สาดแสงส่อง แต่แปลกที่เธอไม่รู้สึกร้อน เท้าปุณิกาก้าวลงในผืนหญ้าเขียวนุ่มละมุนราวกำมะหยี่
เธอไม่รู้เมื่อกันว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน ในตอนนั้นยังก้าวไม่หยุด พลันสายตาเห็นต้นไม้ใหญ่แตกกิ่งเป็นพุ่มใหญ่ห้อยลงเกือบระพื้น ยกมือขึ้นหยีตาสู้แสงอาทิตย์ ในอกรัวแรงเป็นตีกลอง เมื่อเห็นร่างคู่หนึ่งยืนอยู่ที่โคนต้นไม้
“พ่อคะ...แม่คะ”
หญิงสาววิ่งตัวปลิวเข้าไปโผกอด ซบไซร้ในอกมารดาอุ่นที่เคยพึ่งมาแต่เยาว์วัย
“มิ้มคิดถึงพ่อกับแม่ที่สุด”
เธอบอกเล่าความรู้สึกด้วยเสียงอันสั่นเครือ รู้สึกราวกับกลายเป็นเด็กอนุบาลกลับบ้านวันแรกหลังเลิกเรียน โลกภายนอกน่าตื่นเต้นก็จริง แต่เธอรักบ้านที่มีพวกท่านทั้งสองอยู่ด้วยเป็นที่สุด
“พ่อกับแม่มารับมิ้มไปอยู่ด้วยใช่ไหมคะ”
ปุณิกาจำได้ว่าตนถูกงูกัด ถูกพามาโรงพยาบาล มีมือคนไม่รู้จักมาสาละวนจับทั่วร่างเธอ บางมือยังสอดโน่น เสียบนี่เข้าร่างกาย เธอรู้ตัวขยับไม่ได้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง ด้วยไม่อาจจ้องแผงหลอดไฟจ้าบนเพดานห้องฉุกเฉินได้ ...บางทีพิษงูอาจทำให้ปุณิกาตายเสียแล้วกระมัง
แม่เป็นผู้ให้คำตอบโดยการสั่นศีรษะ
“ยังไม่ถึงเวลาจ้ะ มิ้มต้องอยู่ดูแม้ว”
ดวงตาที่เป็นต้นแบบของเธอมองข้ามไหล่ไปด้านหลัง เป็นผลให้ปุณิกามองตาม น้องชายในสภาพสวมผมยุ่งสวมเสื้อช็อปยับ ๆ ยืนอยู่ข้างหลัง มีอีกร่างหนึ่งผมยาวให้กายเขาเป็นที่กำบัง เร้นหน้าไว้ให้ไกลจากโลก
“ฝากน้องด้วย”
พ่อแตะที่ไหล่เธอ แล้วร่างคนที่รักสุดชีวิตทั้งสองก็สลายไปกับสายลม
“พ่อคะ...แม่คะ”
ปุณิกาตะโกนโหยหวน มือไขว่คว้าธุลีอากาศ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพ่อแม่ น้ำตาไหลรินรด
เธอตายแล้วมิใช่หรือ เพราะเหตุใดจึงไม่ได้ไปอยู่กับพ่อแม่ หรือปุณิกาทำบาปเสียจนต้องตกนรกหมกไหม้ ...ไม่ยุติธรรมเลย
“พี่มิ้ม...”
น้องชายเรียกเสียงโหย แล้วใบหน้าก็บิดเบี้ยวเปลี่ยนไป ตากลายเป็นสีแดง ใบหน้ายาวสีดำทะมึน ลิ้นแล่บออกมาเป็นสองแฉก
“แม้ว!”
ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตที่จำแลงว่าเป็นปุณณภพก็ฉกวูบเข้ามาหาร่างเธอ ปุณิกาตัวแข็งทื่อ ตะลึงจนร้องไม่ออก ลืมตาโพลงตื่นขึ้นในทันใด
หญิงสาวหอบหายใจกระชั้น ภาพท้องฟ้าสวย พื้นหญ้าเขียวหายไป เหลือเพียงแผงไฟจ้าบนเพดานขาว
เธอเหลียวมองข้างตัว มีสายให้น้ำเกลือเสียบแขนอยู่ กวาดตามองอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่เฟอร์นิเจอร์โดยมากเป็นสีขาว มีเพียงโทรทัศน์ติดผนังที่เป็นสีดำ และเบาะโซฟาตัวยาวสีน้ำตาล มีเสียงน้ำไหลดังมาจากห้องน้ำ เธอยันกายลุกขึ้นพลางจ้องเขม็งไปที่นั่น
ไม่กี่อึดใจสรวิชญ์ในชุดเมื่อคืนก็ออกมา ตาโตสบดวงตาสีดำลึกดังห้วงรัตติกาล
“ตื่นเร็วดีนี่ ฉันคิดว่าจะหลับไปเป็นวัน แสดงว่างูที่กัดเธอพิษน้อย”
ดูสิ! เพิ่งผ่านคืนแห่งความเป็นความตายมา เขากลับยังกวนไม่เลิก
“ฝันร้ายเหรอ น้ำตาเธอเปรอะหน้าไปหมดแล้ว”
มือใหญ่ดึงทิชชูจากกล่องหัวเตียงให้ ปุณิกาไม่ยอมรับ ใช้หลังมือป้ายน้ำตาตัวเองลวก ๆ ชายหนุ่มเห็นแล้วก็ยักไหล่ เดินไปนั่งที่โซฟา หยิบรีโมตมากดดูข่าวรุ่งอรุณ
ต่างคนต่างไม่พูด ในห้องจึงมีแต่เสียงผู้ประกาศข่าว ปุณิกาชะเง้อไปทางประตู หวังอยากให้พยาบาลเข้ามา เธออยากขอความช่วยเหลือ ...อยากกลับบ้าน
“ฉันอุตส่าห์หอบเธอมาโรงพยาบาล ไม่คิดจะขอบคุณกันหน่อยเหรอ”
“คงมีแต่สติไม่เต็มเท่านั้นที่จะขอบคุณคนที่ลักพาตัวเองมา”
“ปากเก่ง”
สรวิชญ์หัวเราะหึ ใจชื้นเมื่อปุณิกากลับมามีฤทธิ์เหมือนเดิม เมื่อคืนนอนหายใจรวยรินจนคิดว่าจะตายเสียแล้ว ...เขาไม่ได้ห่วง แค่ไม่อยากติดร่างแหคดีฆ่าคนตายโดยประมาท
“ทรมานฉันทดแทนสาสมกับ ที่น้องฉันพาน้องคุณหนีแล้วหรือยัง”
เธอเกือบชดใช้ด้วยชีวิตเชียวนะ น่าจะเจ๊ากันไปได้แล้ว
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“ยังไม่ได้ ฉันต้องเอาเธอไว้เป็นตัวประกัน ยื่นหมูยื่นแมวกับไอ้เด็กนั่น”
“ฉันขอแค่กลับไปอยู่บ้านไม่ได้หรือไง ถ้าแม้วติดต่อมาจริง ๆ ฉันจะรีบบอกคุณ ช่วยกล่อมให้เขาพาน้องสาวคุณกลับมา ดูสภาพฉันสิ เดี้ยงออกอย่างนี้ ไม่รู้พิษงูส่งผลต่ออวัยวะภายในหรือเปล่า”
เคยเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ตอนเด็ก ๆ ครูสอนว่างูบางชนิดมีพิษต่อระบบประสาท บางทีฝันเมื่อใกล้รุ่งอาจเป็นผลมาจากมันก็ได้
“ฉันไม่ไว้ใจเธอ ขนาดจับมัดไว้ยังหนี ยังเล่นตุกติก ทำพวกฉันวุ่นวายทั้งคืน เธอต้องไปอยู่ที่ไร่”
เขากดรีโมทปิดโทรทัศน์เสีย เมื่อรู้สึกว่าข่าวสารบ้านเมืองช่างน่าเบื่อ การปะทะคารมกับปุณิกาน่าสนุกกว่าเยอะ
หญิงถอนหายใจแล้วกลอกตาขึ้นบน ...แม้เกือบจะทำเธอตาย แต่เขายังไม่คลายความคิดที่จะขัง หรือรอให้เธอตายเป็นผีมาหลอกหรืออย่างไร
มีเสียงเคาะที่ประตู สรวิชญ์บอกอนุญาตราวเป็นเจ้าของห้อง ทั้ง ๆ ที่เธอขมวดคิ้ว ...ใครกันนะที่มาในเช้าอย่างนี้ หนุ่ม ๆ หน้าโหดลูกน้องเขาทยอยกันเข้ามา ขาดเพียงนายหน้าเสี้ยม หนึ่งในนั้นถือกระเป๋าสะพายคุ้น ๆ มาด้วย
“อ่ะ...ของเธอ”
สรวิชญ์โยนมันลงที่ปลายเตียง ปุณิการีบลนลานเปิดดูข้างใน มีมือถือพร้อมสายชาร์ต และของใช้จำเป็นยามเธอไปทำงาน ทุกอย่างอยู่ครบ เปิดดูมือถือ มีข้อความส่งมาจากปุณณภพที่ยังไม่ได้อ่าน เขาจับสังเกตได้เมื่อเห็นเธอเลียริมฝีปากจึงแย่งมือถือมาเปิดไลน์ดู
ปุณณภพส่งข้อความถามว่าเป็นยังไงบ้าง เขาขอไม่กลับบ้านสักสองสามวัน มีเรื่องใหญ่ต้องตัดสินใจ
ข้อความส่งมากลางดึก หลังจากสรวิชญ์จับตัวเธอมา ชายหนุ่มเคลื่อนนิ้วไปจิ้มที่โปรแกรมสมุดโทรศัพท์ พิมพ์ชื่อเล่นปุณณภพ แล้วเบอร์ก็ปรากฏทันที เขากโทรออก ส่งสายตาดุมายังตาโตที่ส่งแววไม่ยินยอมพร้อมใจให้เขาให้ของส่วนตัว
ปลายสายไม่รับ โอนเข้าสู่ระบบฝากข้อความ
“พี่มึงอยู่กับกูที่ไร่ ถ้าอยากได้คืนก็พาตัวสตางค์มา ยื่นหมูยื่นแมว ไม่งั้นกูไม่รับรองความปลอดภัยของพี่มึง”
ปุณิกาเม้มริมฝีปาก รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ กลัวอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูงของเขา
“ถ้ามึงไม่มา กูจะทำกับพี่สาวมึงแบบที่มึงทำกับสตางค์”
เขากดตัดสาย โยนมือถือลงบนเตียง เธอรีบลนลานไปไขว่คว้ามาไว้แนบตัวทันที
“พยาบาล! ผมจะพาคนไข้กลับไร่แล้ว จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย”
สรวิชญ์กดปุ่มจากหัวเตียงบอกหน้าเคาน์เตอร์
“แต่คุณหมอจะราวน์วอร์ดตอนแปดโมงครึ่งนะคะ” เสียงพยาบาลตอบผ่านลำโพงที่ฝังอยู่ข้างปุ่มเรียก
“ผมไม่สน คนของผมหายแล้ว ถ้าไม่ดีขึ้นจะให้หมอวิโรจน์ตรวจเอง”
“พวกมึงลงไปเตรียมรถ”
ลูกน้องกรูไปที่ประตูโดยพลัน
“เธอน่ะ เดินไหวไหม”
เขาเท้าสะเอวในท่าที่เดาได้ว่าไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่ไหว ไปหารถเข็นให้หน่อย”
เธอเชิดหน้า แสดงความเป็นต่ออย่างไม่ยอมให้เขาข่ม อ้อมแขนแข็งแรงกวาดมาอุ้มร่างอรชรลอยขึ้นจากเตียง
ปุณิกาผวาเฮือก รีบคล้องวงแขนกับคอหนาด้วยกลัวตก เขาดึงสายน้ำเกลือออกจากแขนเธอ แบบไม่กลัวคนป่วยเจ็บสักนิด
“บอกว่าขอรถเข็นไงล่ะ”
ปุณิกาท้วง พิษงูมีผลข้างเคียงต่อหัวใจด้วยกระมัง ใจเธอจึงเต้นแรงนัก ยามสัมผัสผิวเนื้อแกร่ง
“ยุ่งยาก ฉันอุ้มไปเร็วกว่า หรือจะให้ลากไปทั้งเตียงล่ะ”
หญิงสาวอ้าปากค้างในความหยาบคาย แต่แล้วก็ต้องกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นเมื่อเขาเริ่มก้าวเดิน นี่น่าเป็นฉากโรแมนติกในนิยายรัก ถ้าคนที่อุ้มเธอเป็นพระเอกละก็...นะ
หากไม่อยู่ในอารมณ์โกรธ สรวิชญ์คือคนสุขุมคนหนึ่ง เขาแสดงออกโดยการจัดการจดทะเบียนสมรสกับปุณิกาเสียในบ่ายนั้น“ฉันอยากให้ลูกเกิดภายใต้ทะเบียนสมรส”เธอมองกระดาษแผ่นที่ชาตินี้ตัวเองไม่คิดว่าจะได้มันมาอย่างงง ๆ จู่ ๆ เธอก็กลายเป็นนาง พ่วงด้วยนามสกุลอะไรสักอย่างที่ยาว ๆ“คำนำหน้าเอาเป็นนางเลยนะ จะได้ไม่ต้องไปทำไข่เจียวกะเพราปลากระป๋องให้ใครกิน”คนหน้าดุบอกต่อหน้าเจ้าหน้าที่จดทะเบียน“นามสกุลเขาก็ใช้ของผม”สรวิชญ์ทำตัวเป็นเจ้าชีวิตเธอทุกเรื่อง แต่เอ...ไข่เจียวกะเพราปลากระป๋อง“ฉันทำเมนูนี้อร่อยนะ พ่อฉันก็ชอบกิน”“ต่อไปทำฉันกินคนเดียว”เธอทำท่านึก“ต้องให้แสนดีเป็นหนูทดลองชิมก่อน ไม่ได้ทำตั้งนานแล้ว กลัวฝีมือตก”“ให้ไอ้แสนเป็นหนูทดลองไม่ได้”ปุณิกาคอย่น เขาทำเหมือนโกรธเสียเต็มประดา“ฉันจะเป็นคนกินเอง”หญิงสาวโคลงศีรษะ เอาล่ะ...อยากเป็นหนูทดลองก็จะยอมให้เป็น หลังออกจากสำนักงานเขตเขาก็สั่งคนขับรถมุ่งกลับไร่ ทิ้งกรุงเทพฯและปุณณภพไว้เบื้องหลัง น้องชายบอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมในปลายเดือนนี้ ระหว่างทางสรวิชญ์ก็ยกมือเธอขึ้น สวมแหวนฝังทับทิมสีแดงที่นิ้วนางของเธอ“ไปแอบซื้อตอนไหนคะ”อัญมณีเล่นไฟทอประกายสวย
มีผู้คนในซอยกลับมาดูสภาพความเสียหายอยู่พอสมควร แต่ก็ได้เพียงอยู่นอกเส้นสีเหลืองกั้น ที่ทั้งอาสาทั้งตำรวจ คอยบอกไม่ให้ล้ำเส้นกั้นเข้ามาปุณิกากับปุณณภพเห็นสภาพซอยที่เคยคึกคัก บ้านที่เคยสวยงาม จนบัดนี้เหลือแต่ตอตำ กลิ่นไหม้ลอยคละคลุ้งเสียดแทงจมูกไปถึงในหัวใจ ผู้ประสบภัยบางคนร้องไห้ตัวโยน ร้องบอกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...หมดตัวแล้ว ปุณิกาจำได้ว่าคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกลางซอยสรวิชญ์มาจับแขน ดึงเธอกลับจากภวังค์ เป็นสัญญาณให้รีบไป เพราะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินเสียแล้วห้างสรรพสินค้าคือสถานที่ต่อไปซึ่งเขาพามา สรวิชญ์สั่งให้คนขับเลี้ยวรถไปยังห้างแรกที่เห็น เขาเอารถเข็นให้ ปล่อยปุณิกาเลือกซื้อเสื้อผ้าตามใจ โดยมีตัวเองเดินตามอยู่ไม่ห่าง แม้กระทั่งเข้าแผนกชุดชั้นใน“ไปที่อื่นก่อนได้ไหม ฉันขอซื้อของส่วนตัว”ปุณิกาหยุดรถอย่างเหลืออด หน้าหุ่นโชว์ใส่บราเซียร์ลูกไม้สีดำยั่วยวน“ฉันเป็นเจ้าของเงินนะ ขอดูด้วยสิว่าคุ้มหรือเปล่า”สรวิชญ์ชอบที่เธอกลับมาปีนเกลียวกับเขาได้เหมือนเดิม นี่แหละปุณิกาของเขา“ฉันไม่ต้องการความเห็นคุณ เพราะคนใส่คือฉัน”“แต่คนถอดก็เป็นฉันอยู่ดี”ชายหนุ่มแกล้งมองเธอตลอดร่าง แบบที่ปุณิ
“ก็เหมือนที่นายทำกับสตางค์นั่นแหละ เอามิ้มเป็นเมีย”สรวิชญ์ตอบแบบหน้าตาเฉย อีกฝ่ายง้างหมัดเตรียมชกแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเสียก่อน“แม้วหยุดนะ!”ปุณิกาห้ามเขาด้วยเสียงจริงจัง“คุณก็ได้ด้วยคุณเต้ย หยุดยั่วแม้วเสียที”รถเข็นเธอชะงัก พนักงานเลิ่กลั่กรอดูเหตุการณ์“แต่มันทำพี่ท้องนะ”“พี่อาจมีปัญหาในช่องท้อง ไม่ได้มีเด็กก็ได้ อย่าตื่นตูมไป คุณคะ เข็นต่อไปเลย”ปุณิกาหลบสายตา หันบอกพนักงาน การเดินทางไปยังแผนกสูตินรีเวชจึงเริ่มต่อไป รถเข็นเธอไปจอดยังแถวเก้าอี้ที่นั่งรอหมอเรียกหญิงสาวประสานมือกันแน่นจนเห็นข้อขาว เธอคงไม่โชคร้าย ขนาดเจอแจ็คพอตติดกันซ้อน ๆ แบบนี้หรอก ตั้งแต่โดนลักพาตัว กลายเป็นว่าที่คุณป้า บ้านโดนไฟไหม้ และเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี่ ...เธออาจตั้งท้องเสียงพยาบาลเรียกชื่อ เป็นดังเสียงขาลให้ก้าวเข้าสู่ลานประหาร สรวิชญ์เข้ามาแย่งเข็นเธอไปยังห้องพบแพทย์“คุณปุณิกานะครับ”นายแพทย์สูงวัย ที่สวมแว่นสายตาเลื่อนมากลางดั้งจมูก มองประวัติเธอในจอคอมพิวเตอร์ แล้วยิ้มให้“ค่ะ”เธอรับคำด้วยเสียงอันแห้งผาก สายตาแลไปเห็นเก้าอี้ที่มีขาหยั่ง และจอมอนิเตอร์ข้างกัน“เรามาขึ้นขาหยั่งดูน้องกัน
ปุณิกามายืนอยู่ในสถานที่เดิมอีกแล้ว ณ ที่ท้องฟ้าสีฟ้าใส เมฆขาวเป็นปุยลอยละล่อง มีลมเย็นพัดประพรมผิว ใต้เท้าเป็นพื้นหญ้าเขียวสดนุ่มดังกำมะหยี่ไกลออกไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาแทบระดิน พ่อกับแม่ยืนเคียงกันอยู่ตรงนั้น เธอยิ้มแล้วเดินไปหา สงสัยนี่คงจะเป็นการมารับเธอไปอยู่ด้วยจริง ๆ บางทีปุณิกาอาจตายเสียแล้วในกองเพลิงอีกแค่เอื้อมก็จะถึงร่างบุคคลอันเป็นที่รัก แต่มีมือแข็ง ๆ สีทองแดงมายึดแขนเธอไว้เสียก่อน“ปล่อยนะ ฉันจะไปหาพ่อกับแม่”ปุณิกาขมวดคิ้วเอ็ดเขา ดูเอาเถิด แม้เป็นการขึ้นสวรรค์อันผาสุกสรวิชญ์ยังจะตามมาราวีเธอไม่เลิก“...อย่าไป”เสียงห้าวที่เปล่งออกมานั้นคือคำสั่งชัด ๆ ดวงตาสีรัตติกาลเข้มดุจ้องเขม็งมายังเธอ“ปล่อยสิ...คุณเต้ย”เขาได้ทุกอย่างไปจากเธอแล้ว ได้เอาคืนปุณณภพสมใจ แล้วเหตุใดยังมาเร้าหรือ ฉุดรั้งเธอไม่ให้ไป“พ่อคะแม่คะ”ปุณิกายื่นมือออกไป หวังให้ท่านช่วย มารดาส่ายหน้าแล้วส่งยิ้ม“ยังไม่ถึงเวลาของมิ้มหรอกจ้ะ...อยู่กับเขาก่อนนะ”“มิ้มไม่เอาเขานะคะ พ่อแม่...”เธอร้องสุดเสียง ร่างสรวิชญ์หมุนวนกลายเป็นจุดดำฉุดร่างเธอให้ม้วนเป็นเกลียว ดิ่งลึกสู่ห้วงมืดสนิทตาโตลืมตื่นขึ้นในท
“ห่าเอ๊ย!”สรวิชญ์สบถแทบจะทุกสิบนาทีที่อยู่บนรถ ชายหนุ่มวิ่งแซงซ้ายปาดขวาด้วยใจร้อนรน มือถือวางไว้ตรงคอนโซลรถเปิดไลฟ์สดข่าวไฟไหม้ในซอยบ้านปุณิกาเกือบสองชั่วโมงแล้วผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพลิงยังไม่สงบ มีการสัมภาษณ์ผู้คนในซอย สรวิชญ์ภาวนาให้ตนได้ยินเสียงปุณิกาด้วยเถิดแต่คำอธิษฐานของคนไม่ศรัทธาในคุณพระคุณเจ้าอย่างเขาไม่ได้ผล เพราะคนที่นักข่าวไปสัมภาษณ์กี่คนต่อกี่คนก็ไม่ใช่เธอชายหนุ่มมองป้ายสีเขียวที่ตั้งโดดเด่น บอกว่ากำลังจะเข้าเขตกรุงเทพฯ แม้เป็นช่วงกลางคืนแต่รถในเมืองหลวงยังคลาคล่ำเขาต้องอดใจไม่กดแตรโวยวายใส่รถคันหน้า ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าบ้านปุณิกาต้องขึ้นทางด่วนไปเส้นไหนละวะ ปรกติเขาจำเส้นทางได้แม่น แต่ตอนนั้นไม่ได้ขับรถเอง และความโกรธก็บังตา ส่วนไอ้คนขับรถโน่น...เคล้าสุรานารีอยู่ซ่องเจ๊นวล ตัวเลือกเดียวคือเขาพอจะพึ่งได้ก็คือ“ครับ”คนรับสายรับแบบไม่มีงัวเงียสักนิดเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เจ้านาย“มึงจำทางไปบ้านไอ้แม้วได้ไหม”วสันต์เป็นคนนั่งหน้าข้างคนขับในวันนั้น เขาจึงเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจะจำเส้นทางได้“ครับ...แขวงXXX เขตXXX ถนนXXX ซอยXXX บ้านเลขที่XXX หลังคาสีฟ้า”ลูกน้องความจำดี
ค่ำคืนนี้ปุณิกาจาม น้ำมูกไหล ศีรษะปวดจี๊ด ๆ จึงกินยาแก้ปวดไปสองเม็ด เธอโทษว่าอาจด้วยเพราะอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวอย่างเช่นเมื่อตอนกลางวัน แดดเปรี้ยงอยู่ดี ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีฝนก็ตก ทำให้เธอและเพื่อนร่วมออฟฟิศที่เพิ่งกินข้าวกลางวันมา ต้องวิ่งฝ่าฝนโปรยเข้าออฟฟิศเพราะกลัวเข้างานช่วงบ่ายช้า นี่อาจเป็นเหตุเสริมความผิดปรกติของร่างกายในคืนนี้ปุณิกาเข้านอนตามปรกติ แล้วก็ต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะรอบบ้าน เธอเปิดหน้าต่างออกดูเห็นคนวิ่งกรูมากลางซอย“ไฟไหม้ ๆ”เสียงตะโกนต่อเป็นทอด ๆ เรียกความสนใจให้เธอชะเง้อคอดูจากหน้าต่าง จมูกได้กลิ่นไหม้ฉุนรุนแรง ตาเห็นเปลวเพลิงสีแดงอมส้มเริงระบำตามกระแสลมโหมหญิงสาวรีบปิดหน้าต่างลงออกมาจากห้องทันที เมื่อถึงหน้าประตูบ้านก็พบว่ารถติดยาว ทั้งรถยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซด์ ต่างคนต่างรีบพาพาหนะอันมีค่าหนีไปให้พ้นจากพระเพลิงที่กำลังโหม“โธ่เว้ย! ติดกันแน่นคับซอยอย่างนี้ รถดับเพลิงจะเข้าได้ยังไง”ผู้เฒ่าชายที่บ้านใกล้กับเธอบ่น“เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ เดี๋ยวไฟก็ยิ่งไหม้ลามหมด”“บ่นอยู่นั่นแหละตาแก่ รีบหนีก่อนเร็ว ออกไปให้พ้นซอย รักษาชีวิตไว้ดีกว่า”เฒ่าหญิงบ้านเดียวกันรี