เข้าสู่ระบบขวัญข้าวหันไปตะโกนขอความช่วยเหลือจากคนในร้าน แต่นี่คือความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุด การกระทำของหล่อนเหมือนการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ดวงตาของสิงห์วาวโรจน์ขึ้นมาทันที
“ร้องเหรอ” เขาคำรามเสียงต่ำลอดไรฟัน
จากนั้นเขาก็รวบเอวหล่อน ยกร่างทั้งร่างขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดายราวกับหล่อนเป็นแค่ตุ๊กตาผ้าแล้วเหวี่ยงพาดบ่า
“กรี๊ดดดด! ไม่นะ! ปล่อยฉัน! ไอ้บ้า! ไอ้คนชั่ว! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!”
ขวัญข้าวดิ้นรน ทุบหลัง เตะขาไปมาอย่างบ้าคลั่ง ศักดิ์ศรีของคุณหนูมลายหายสิ้น หล่อนถูกปฏิบัติไม่ต่างจากกระสอบข้าวสาร
สิงห์ไม่พูดอะไรอีก เขาหันหลังก้าวฉับ ๆ มุ่งหน้าออกจากร้าน ขวัญข้าวมองเห็นภาพที่น่าสมเพชที่สุด ป้าเจ้าของร้านก้มหน้าเช็ดโต๊ะ พวกคนขับรถสิบล้ออื่น ๆ พกกันก้มหน้าซดน้ำข้าวต้ม ไม่มีใครแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
คนทั้งโลกได้สมรู้ร่วมคิดกับเขาทอดทิ้งหล่อน น้ำตาแห่งความอัปยศและความสิ้นหวังไหลทะลักออกมา
สิงห์โยนร่างบางออกจากบ่าเมื่อถึงลานจอดรถที่มืดสลัว ร่างของขวัญข้าวถูกอัดเข้ากับประตูรถสิบล้อด้านข้าง แผ่นเหล็กที่เย็นเฉียบแนบเข้ากับแผ่นหลัง ขณะที่ร่างกายด้านหน้าถูกกักขังด้วยร่างกำยำที่ร้อนผ่าว
เขาค้ำแขนทั้งสองข้างกักหล่อนไว้ ใบหน้าโน้มลงมาใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกัน ลมหายใจอุ่นร้อนที่ปนเปื้อนกลิ่นเหล้าเป่ารดใบหน้า
“มึงมันพยศไม่เลิกจริง ๆ เลยนะคุณหนู”
“ฉันเกลียดแกไอ้สิงห์ ฉันเกลียดแก!” หล่อนแผดเสียงใส่หน้าเขาทั้งน้ำตา
“ดี...” เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เลือดในกายจับตัวเป็นน้ำแข็ง “กูก็ไม่ได้อยากให้มึงรักชอบกูหรอก กูอยากให้มึงจำ”
ปัง!
เขาใช้มือข้างหนึ่งทุบไปที่ตัวรถข้างใบหูหล่อนจนเสียงดังลั่น ทำเอาขวัญข้าวสะดุ้งสุดตัวหลับตาปี๋ และในจังหวะที่หล่อนเปิดเปลือกตาที่สั่นระริกขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ไม่อยู่แล้ว ร่างสูงใหญ่กำลังเดินอ้อมไปที่ประตูฝั่งคนขับ เปิดมันออก แล้วปีนขึ้นไป
ขวัญข้าวยังยืนตัวแข็งพิงรถอยู่ หล่อนกำลังสับสน นี่เขาจะทิ้งหล่อนไว้ตรงนี้เหรอ
แกร๊ก...
เสียงปลดล็อกประตูฝั่งที่หล่อนยืนอยู่ดังขึ้น สิงห์โน้มตัวข้ามเบาะมาเปิดมันจากด้านใน ประตูเหวี่ยงเปิดออกกระแทกจนร่างหล่อนเซ แล้วเขาก็จ้องมาที่หล่อนนิ่ง
“ขึ้นมา” เสียงทุ้มห้าวออกคำสั่ง
“ไม่” ขวัญข้าวส่ายหน้าก้าวถอยหลัง “ฉันไม่ไปกับแก...ฉันไม่ไป!”
“มึงจะขึ้นมาเองดี ๆ” สิงห์พูดช้าชัดทีละคำ “หรือจะให้กูอุ้มขึ้นมาเหมือนเมื่อกี้”
ขวัญข้าวตัวสั่น หล่อนเหลือบมองไปที่ถนนใหญ่ที่มืดมิด มองกลับไปที่ร้านข้าวต้มที่สว่างแต่ไร้ซึ่งความช่วยเหลือ ตอนนี้หล่อนไม่มีทางเลือก และไม่มีทางหนี
หญิงสาวกัดริมฝีปากจนห้อเลือด ความอัปยศ ความแค้น และความกลัวตีรวนไปหมด
ในที่สุดหล่อนจึงค่อย ๆ ก้าวขาที่หนักอึ้งราวกับโซ่ตรวนปีนขึ้นไปบนที่เปรียบดั่งกรงเหล็กที่สูงชันนั้นด้วยตัวเอง
และทันทีที่ร่างของหล่อนเข้าไปในห้องโดยสารสิงห์ก็เอื้อมมือข้ามตัวหล่อนมากระชากประตูปิด
ปัง!!!
เสียงปิดประตูดังกึกก้อง ตัดขาดหล่อนออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ตามมาด้วยเสียงกดล็อกเหมือนตะปูตัวสุดท้ายที่ตอกปิดฝาโลง
หนึ่งปีผ่านไป... ในอาณาจักรไร่อ้อยและอู่รถบรรทุก เสียงเครื่องยนต์ดีเซลที่คุ้นเคยคำรามลั่นมาแต่ไกล มันไม่ใช่เสียงที่ปลุกเร้าความหวาดกลัวอีกต่อไป แต่ในวันนี้มันปลุกเร้าความหงุดหงิด ขวัญข้าวในชุดคลุมท้องผ้าฝ้ายเนื้อดี ยืนเท้าสะเอวมองลอดหน้าต่างบ้านหลังใหญ่ออกไป ร่างบางที่เคยสั่นเทาด้วยความกลัว บัดนี้กลับดูมั่นคงและเต็มไปด้วยอำนาจ เรือนร่างที่เคยบอบบางถูกเติมเต็มด้วยชีวิตใหม่ที่กำลังจะลืมตาดูโลก ท้องของหล่อนนูนเด่นขึ้นมาชัดเจนภายใต้ชุดราวห้าเดือนเห็นจะได้ หล่อนไม่ใช่ซากหรือของที่ไร้วิญญาณอีกต่อไปแล้ว หนึ่งปีที่ผ่านมาหล่อนคือนายหญิงของที่นี่ คือเมียของสิงห์ และเป็นคนเดียวที่กล้าพยศใส่ราชสีห์เจ้าของอาณาจักร “บอกแล้วไม่เคยจำ! คนดื้อด้าน!” หล่อนสบถกับตัวเองเบา ๆ&nb
แสงคือสิ่งแรกที่ปลุกหล่อนเปรียบเสมือนการกระชากวิญญาณที่ล่องลอยหนีความเจ็บปวดไปตลอดทั้งคืนให้กลับเข้ามาในร่างที่รกร้าง แสงอาทิตย์ยามเช้าสีส้มอมม่วงสาดทะลุกระจกหน้ารถที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นและซากแมลง มันอาบไล้ใบหน้าที่ชาด้านและมือที่เปื้อนดินของหล่อน ขวัญข้าวกะพริบตา เปลือกตาหนักอึ้งและบวมเจ่อ คอแห้งผากเหมือนมีทรายอัดอยู่ และความเจ็บมันก็ถาโถมกลับมา เจ็บที่ข้อเท้าซึ่งบวมเป่งจนแทบจะระเบิด ทุกแรงสั่นสะเทือนของรถมันส่งความปวดแล่นปราดขึ้นมาถึงสมอง เจ็บที่ข้อมือที่มีรอยช้ำสีม่วง เจ็บที่ผิวเนื้อทุกส่วนที่เสียดสีกับผ้าหยาบ ๆ ของเสื้อเขา และเจ็บที่แกนกลาง ความเจ็บที่ฉีกขาดที่บัดนี้มันกลายเป็นความด้านชา ทื่อหน่วง ตอกย้ำว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง รถยังวิ่ง เครื่องยนต์คำรามสม่ำเสมอ แรงสั่น
ความเงียบคือสิ่งแรกที่หวนกลับมาหลังจากเสียงคำรามทุ้มต่ำครั้งสุดท้ายของเขาและเสียงหวีดร้องที่แหบโหยของหล่อนจบลง พายุอารมณ์อันป่าเถื่อนได้ผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังที่แหลกสลายใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคันนา ขวัญข้าวยังคงถูกตรึง แผ่นหลังที่ด้านชาแนบสนิทกับเปลือกไม้ที่หยาบกร้าน ร่างของสิงห์ยังคงทาบทับ หล่อนรู้สึกได้ถึงความเหนียวเหนอะที่ไหลซึมอยู่ระหว่างเรียวขา มันปนเปไปกับเลือด ดิน และโคลน หล่อนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของเขาที่ทิ้งลงมากดทับจนหล่อนแทบไม่เหลือตัวตน หล่อนได้ยินเสียงลมหายใจหอบถี่และรุนแรงของเขาที่พ่นรดอยู่ข้างแก้ม มันคือเสียงเดียวในโลกที่ยืนยันว่าทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นจริง ส่วนหล่อน ขวัญข้าวไม่ได้ร้อง ไม่ได้ดิ้น หล่อนไม
ไม่ต่างอะไรจากเสื้อนักศึกษา เสียงผ้าลูกไม้ที่บอบบางขาดติดมือเขาเหมือนกระดาษ ความอิสระที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดปะทะเข้ากับไอเย็น ยอดอกแข็งขืนหดเกร็งจากความหนาวและความตื่นตระหนก “สวย...” เขาคำราม แล้วก้มลง ขวัญข้าวหลับตาปี๋กรีดร้องเสียงที่ไม่มีใครได้ยินเมื่อความร้อนชื้นครอบครองยอดอก ดูดดึงขบเม้มจนหล่อนเจ็บ...เจ็บจน...เสียว ความรู้สึกแปลกปลอมที่น่ารังเกียจแล่นปราดจากยอดอกลงไปสู่เบื้องล่างที่เริ่มทรยศหล่อนอย่างสิ้นเชิง “ไม่...ไม่...พอแล้ว...สิงห์...ฉัน...ฉันยอมแล้ว...ยอมทุกอย่าง...แล้ว...” หล่อนสะอื้น นี่คือการยอมจำนน การสิ้นฤทธิ์ที่เขาต้องการ สิงห์เงยหน้าขึ้นจากอกที่ช้ำจากการถูกบดขยี้ ดวงตาแดงก่ำจ้องหญิงสาว เขารู้ว่าหล่อนได้แตกสลายแล้ว
ขวัญข้าวตัวสั่นสะท้านจากทั้งอากาศเย็นที่ปะทะร่าง รู้สึกถึงความอัปยศที่สุดในชีวิต สิงห์จ้องมองความขาวนวลตรงหน้าด้วยสายตาราวกับจะกลืนกิน ดวงตาสีนิลที่เคยดำมืดบัดนี้มันลุกโชน เปลวไฟแห่งตัณหาดิบที่เขาไม่แม้แต่จะคิดปิดบัง ลมหายใจของเขาหนักหน่วงรุนแรงขึ้น เนินอกที่เปลือยเปล่าตรงหน้าที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหอบมันคือเชื้อไฟที่ตัวหล่อนเองเป็นคนจุด “ไม่...ไม่นะ...กรี๊ดดดด!!!” สติที่ขาดผึงกลับคืนมา ขวัญข้าวหวีดร้องด้วยเสียงร้องที่สิ้นหวังที่สุดในชีวิต “ไอ้เลว! ไอ้ชั่ว! อย่ามองนะ! อย่ามอง!!!” หล่อนยกมือที่สั่นเทาขึ้นพยายามจะดึงเศษเสื้อที่ขาดวิ่นมาปิด พยายามจะทุบตีเขา พยายามจะ
เขาชนะ เขาใช้เวลาสองสามวินาทีดื่มด่ำกับภาพนั้น “หมดแรงแล้วเหรอคุณหนู” เขาถามเสียงเรียบ ก้าวช้า ๆ เข้ามา ย่อตัวลง ขวัญข้าวถอยกรูด “อย่า...อย่าเข้ามา...ฉัน...ฉันยอม...” “หึ...” เขาหัวเราะในลำคอ “มึงน่าจะยอมตอนที่กูให้เลือกดี ๆ ตั้งแต่แรก” สิงห์ยื่นมือมากำรอบต้นแขนหญิงสาวกระชากโดยแรง ร่างของขวัญข้าวถูกลากไปกับพื้นดิน ข้อเท้าที่เจ็บครูดและปะทะกับลำต้นอ้อยไปตามทาง “กรี๊ด! เจ็บ! ฉันเจ็บ!” แม้จะกรีดร้องแค่ไหนสิงห์ก็ไม่สนใจ เขายังคงลากหล่อนเหมือนซากออกจากป่าอ้อยมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเดียวอยู่ริ







