เข้าสู่ระบบภายในห้องโดยสารอันน่ารังเกียจถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่หนักอึ้งราวกับมีมวลสารที่กำลังกดทับบดขยี้อากาศในห้องโดยสารจนเบาบาง เสียงแกร๊กสุดท้ายของกลอนประตูยังคงก้องอยู่ในหูของขวัญข้าว มันคือเสียงที่ตัดขาดหล่อนออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
นี่คืออาณาจักรของไอ้คนเลว ห้องโดยสารของรถสิบล้อคือโลกของสิงห์
สิ่งแรกที่โจมตีหล่อนคือกลิ่น มันไม่ใช่กลิ่นหอมสะอาดเหมือนรถเก๋งคันหรูของหล่อน แต่มันคือกลิ่นที่ดิบและเถื่อนจนน่าสะพรึง กลิ่นคราบน้ำมันดีเซลที่ฝังแน่นปนกับกลิ่นฝุ่นดินแดงจากงานก่อสร้าง กลิ่นเหงื่อที่แห้งกรังผสมกับกลิ่นยาสูบฉุน ๆ และที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือกลิ่นสาบของผู้ชายที่เข้มข้นจนทำให้ท้องไส้บิดเกร็ง
ขวัญข้าวนั่งตัวแข็งทื่อชิดประตู หล่อนพยายามเบียดร่างให้ห่างจากเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เบาะนั่งก็มีพื้นที่จำกัดเพียงแค่เอื้อมมือก็สัมผัสโดน
หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง หล่อนสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกำยำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงทุกลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอและหนักหน่วงของเขาที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง
ความเงียบที่เขาจงใจสร้างขึ้นมันดังยิ่งกว่าเสียงตะคอก มันกำลังบดขยี้โสตประสาทของหล่อน บีบให้หล่อนต้องเป็นฝ่ายพังทลายลงก่อน
เครื่องยนต์ยังคงคำรามเบา ๆ แรงสั่นสะเทือนทำให้ร่างของหล่อนสั่นตามไปด้วย สิงห์เพียงแค่สตาร์ทรถ ยังไม่ขยับหรือเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมาอีก เขากำลังรอให้หล่อนคลั่ง
ขวัญข้าวยกมือที่สั่นเทาขึ้นปิดปาก กลั้นเสียงสะอื้นที่จุกอยู่ที่ลำคอ ไม่หล่อนจะไม่ร้อง จะไม่ยอมให้มันเห็นน้ำตาเด็ดขาด
ความเงียบยืดยาวจนขวัญข้าวแทบจะทนไม่ไหว หล่อนสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมเศษเสี้ยวของความพยศที่ยังเหลืออยู่
“แกจะพาฉันไปไหน”
เสียงที่หลุดออกมาแหบพร่าและสั่นจนน่าสมเพช
“...”
ไม่มีคำตอบ สิงห์ยังคงนิ่งเหมือนรูปปั้นหิน
“ฉันถามว่าแกจะพาฉันไปไหน!” หล่อนแผดเสียงดังขึ้น “เปิดประตูนะ! ฉันจะลง! เปิดเดี๋ยวนี้!”
หล่อนควานมือไปที่ที่เปิดประตู มันล็อก จะเปิดอย่างไรก็เปิดไม่ออก ในเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงทุบไปที่กระจก
ปัง! ปัง!
“เปิดประตู! ไอ้คนเถื่อน! ไอ้บ้า! เปิด!”
และนั่นเองคือตอนที่เขาขยับ ไม่ได้หันมา เขาแค่ยกมือที่ใหญ่และหยาบกร้านขึ้น วางมันลงบนคันเกียร์ นิ้วมือที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันและรอยแผลเป็นกำรอบหัวเกียร์แล้วผลักมัน
ครืด...ตัวรถสั่นสะเทือน
วูมมมมม!
เมื่อเขาเหยียบคันเร่ง รถสิบล้อก็พุ่งทะยานออกจากความสว่างเพียงริบหรี่ของปั๊มน้ำมันมุ่งหน้าสู่ความมืดมิดของทางหลวง
“ไม่นะ! ไม่! กรี๊ดดดด! จอดรถ! จอด!”
ขวัญข้าวกรีดร้อง ทุบกระจกอย่างบ้าคลั่ง แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เสียงกรีดร้องของหล่อนถูกเสียงคำรามของเครื่องยนต์กลืนหายไปสิ้น
สิงห์ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เขายังคงจ้องตรงไปข้างหน้า ดวงตาคมกริบสะท้อนแสงไฟจากรถที่สวนมาเป็นครั้งคราวมันตายด้านและไร้ความปรานี
รถแล่นไปบนทางหลวงที่มืดมิด แสงไฟจากเสาไฟฟ้าสาดผ่านเข้ามาในห้องโดยสารเป็นจังหวะ สว่าง...มืด...สว่าง...มืด...เหมือนกำลังฉายหนังสยองขวัญที่หล่อนเป็นตัวเอก
ขวัญข้าวหมดแรงจึงทรุดตัวพิงประตู เสียงร้องกลายเป็นเสียงสะอื้นแผ่วเบา ความสิ้นหวังเข้าครอบงำ
ป๊า...ช่วยขวัญด้วย ขวัญคิดถึงป๊า...
แล้วความโกรธก็พุ่งขึ้นมาแทนที่ความกลัว ทั้งหมดมันเป็นเพราะพ่อของหล่อนที่เอาหล่อนไปขายให้กับไอ้สิบล้ออย่างมัน ถ้าหล่อนไม่หนีป่านนี้ฉก็คงตกเป็นของมันอยู่ดี!
ความคิดนั้นทำให้หล่อนแข็งขึ้นมาอีกครั้ง ไม่...หล่อนจะไมยอม ถ้าจะต้องตายหล่อนก็จะสู้!
แม้จะรู้ว่าสิงห์ไม่ใช่คนขับสิบล้อธรรมดา แต่เป็นถึงเจ้าของอู่และรวยมาก แต่หล่อนก็รับไม่ได้อยู่ดีกับความที่เขาเป็นคนขับสิบล้อ
ขวัญข้าวปาดน้ำตาลวก ๆ หันหน้าไปเผชิญกับคนเถื่อน
“แกต้องการอะไรสิงห์” หล่อนถาม เสียงยังสั่นแต่นิ่งกว่าเดิม “เงินเหรอ พ่อฉันติดหนี้แกเท่าไหร่ บอกมาสิ ถึงฉันจะต้องทำงานฉันก็จะหามาใช้คืนให้ทุกบาททุกสตางค์!”
สิงห์หันขวับ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหันมามองหล่อนตรง ๆ ดวงตาในความมืดมันลุกโชนน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่ก่อหน้าที่มันตายด้านเสียอีก
“หุบปาก!”
เขาคำรามเสียงต่ำ เป็นเพียงสองพยางค์แต่อำนาจทำลายล้างของมันรุนแรงจนทำให้ขวัญข้าวสะท้านไปทั้งร่าง หล่อนรีบหุบปากฉับ ความกล้าเมื่อครู่หายวับไปในทันที
สิงห์หันกลับไปมองถนน แต่บรรยากาศในรถเปลี่ยนไปแล้ว ความเงียบที่เคยเย็นชาบัดนี้มันคุกรุ่นไปด้วยโทสะ
รถยังคงวิ่งต่อไป นานแค่ไหนหล่อนไม่รู้ แต่สำหรับหล่อน เวลาในกรงเหล็กนี้มันยืดยาวราวกับชั่วนิรันดร์
หนึ่งปีผ่านไป... ในอาณาจักรไร่อ้อยและอู่รถบรรทุก เสียงเครื่องยนต์ดีเซลที่คุ้นเคยคำรามลั่นมาแต่ไกล มันไม่ใช่เสียงที่ปลุกเร้าความหวาดกลัวอีกต่อไป แต่ในวันนี้มันปลุกเร้าความหงุดหงิด ขวัญข้าวในชุดคลุมท้องผ้าฝ้ายเนื้อดี ยืนเท้าสะเอวมองลอดหน้าต่างบ้านหลังใหญ่ออกไป ร่างบางที่เคยสั่นเทาด้วยความกลัว บัดนี้กลับดูมั่นคงและเต็มไปด้วยอำนาจ เรือนร่างที่เคยบอบบางถูกเติมเต็มด้วยชีวิตใหม่ที่กำลังจะลืมตาดูโลก ท้องของหล่อนนูนเด่นขึ้นมาชัดเจนภายใต้ชุดราวห้าเดือนเห็นจะได้ หล่อนไม่ใช่ซากหรือของที่ไร้วิญญาณอีกต่อไปแล้ว หนึ่งปีที่ผ่านมาหล่อนคือนายหญิงของที่นี่ คือเมียของสิงห์ และเป็นคนเดียวที่กล้าพยศใส่ราชสีห์เจ้าของอาณาจักร “บอกแล้วไม่เคยจำ! คนดื้อด้าน!” หล่อนสบถกับตัวเองเบา ๆ&nb
แสงคือสิ่งแรกที่ปลุกหล่อนเปรียบเสมือนการกระชากวิญญาณที่ล่องลอยหนีความเจ็บปวดไปตลอดทั้งคืนให้กลับเข้ามาในร่างที่รกร้าง แสงอาทิตย์ยามเช้าสีส้มอมม่วงสาดทะลุกระจกหน้ารถที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นและซากแมลง มันอาบไล้ใบหน้าที่ชาด้านและมือที่เปื้อนดินของหล่อน ขวัญข้าวกะพริบตา เปลือกตาหนักอึ้งและบวมเจ่อ คอแห้งผากเหมือนมีทรายอัดอยู่ และความเจ็บมันก็ถาโถมกลับมา เจ็บที่ข้อเท้าซึ่งบวมเป่งจนแทบจะระเบิด ทุกแรงสั่นสะเทือนของรถมันส่งความปวดแล่นปราดขึ้นมาถึงสมอง เจ็บที่ข้อมือที่มีรอยช้ำสีม่วง เจ็บที่ผิวเนื้อทุกส่วนที่เสียดสีกับผ้าหยาบ ๆ ของเสื้อเขา และเจ็บที่แกนกลาง ความเจ็บที่ฉีกขาดที่บัดนี้มันกลายเป็นความด้านชา ทื่อหน่วง ตอกย้ำว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง รถยังวิ่ง เครื่องยนต์คำรามสม่ำเสมอ แรงสั่น
ความเงียบคือสิ่งแรกที่หวนกลับมาหลังจากเสียงคำรามทุ้มต่ำครั้งสุดท้ายของเขาและเสียงหวีดร้องที่แหบโหยของหล่อนจบลง พายุอารมณ์อันป่าเถื่อนได้ผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังที่แหลกสลายใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคันนา ขวัญข้าวยังคงถูกตรึง แผ่นหลังที่ด้านชาแนบสนิทกับเปลือกไม้ที่หยาบกร้าน ร่างของสิงห์ยังคงทาบทับ หล่อนรู้สึกได้ถึงความเหนียวเหนอะที่ไหลซึมอยู่ระหว่างเรียวขา มันปนเปไปกับเลือด ดิน และโคลน หล่อนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของเขาที่ทิ้งลงมากดทับจนหล่อนแทบไม่เหลือตัวตน หล่อนได้ยินเสียงลมหายใจหอบถี่และรุนแรงของเขาที่พ่นรดอยู่ข้างแก้ม มันคือเสียงเดียวในโลกที่ยืนยันว่าทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นจริง ส่วนหล่อน ขวัญข้าวไม่ได้ร้อง ไม่ได้ดิ้น หล่อนไม
ไม่ต่างอะไรจากเสื้อนักศึกษา เสียงผ้าลูกไม้ที่บอบบางขาดติดมือเขาเหมือนกระดาษ ความอิสระที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดปะทะเข้ากับไอเย็น ยอดอกแข็งขืนหดเกร็งจากความหนาวและความตื่นตระหนก “สวย...” เขาคำราม แล้วก้มลง ขวัญข้าวหลับตาปี๋กรีดร้องเสียงที่ไม่มีใครได้ยินเมื่อความร้อนชื้นครอบครองยอดอก ดูดดึงขบเม้มจนหล่อนเจ็บ...เจ็บจน...เสียว ความรู้สึกแปลกปลอมที่น่ารังเกียจแล่นปราดจากยอดอกลงไปสู่เบื้องล่างที่เริ่มทรยศหล่อนอย่างสิ้นเชิง “ไม่...ไม่...พอแล้ว...สิงห์...ฉัน...ฉันยอมแล้ว...ยอมทุกอย่าง...แล้ว...” หล่อนสะอื้น นี่คือการยอมจำนน การสิ้นฤทธิ์ที่เขาต้องการ สิงห์เงยหน้าขึ้นจากอกที่ช้ำจากการถูกบดขยี้ ดวงตาแดงก่ำจ้องหญิงสาว เขารู้ว่าหล่อนได้แตกสลายแล้ว
ขวัญข้าวตัวสั่นสะท้านจากทั้งอากาศเย็นที่ปะทะร่าง รู้สึกถึงความอัปยศที่สุดในชีวิต สิงห์จ้องมองความขาวนวลตรงหน้าด้วยสายตาราวกับจะกลืนกิน ดวงตาสีนิลที่เคยดำมืดบัดนี้มันลุกโชน เปลวไฟแห่งตัณหาดิบที่เขาไม่แม้แต่จะคิดปิดบัง ลมหายใจของเขาหนักหน่วงรุนแรงขึ้น เนินอกที่เปลือยเปล่าตรงหน้าที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหอบมันคือเชื้อไฟที่ตัวหล่อนเองเป็นคนจุด “ไม่...ไม่นะ...กรี๊ดดดด!!!” สติที่ขาดผึงกลับคืนมา ขวัญข้าวหวีดร้องด้วยเสียงร้องที่สิ้นหวังที่สุดในชีวิต “ไอ้เลว! ไอ้ชั่ว! อย่ามองนะ! อย่ามอง!!!” หล่อนยกมือที่สั่นเทาขึ้นพยายามจะดึงเศษเสื้อที่ขาดวิ่นมาปิด พยายามจะทุบตีเขา พยายามจะ
เขาชนะ เขาใช้เวลาสองสามวินาทีดื่มด่ำกับภาพนั้น “หมดแรงแล้วเหรอคุณหนู” เขาถามเสียงเรียบ ก้าวช้า ๆ เข้ามา ย่อตัวลง ขวัญข้าวถอยกรูด “อย่า...อย่าเข้ามา...ฉัน...ฉันยอม...” “หึ...” เขาหัวเราะในลำคอ “มึงน่าจะยอมตอนที่กูให้เลือกดี ๆ ตั้งแต่แรก” สิงห์ยื่นมือมากำรอบต้นแขนหญิงสาวกระชากโดยแรง ร่างของขวัญข้าวถูกลากไปกับพื้นดิน ข้อเท้าที่เจ็บครูดและปะทะกับลำต้นอ้อยไปตามทาง “กรี๊ด! เจ็บ! ฉันเจ็บ!” แม้จะกรีดร้องแค่ไหนสิงห์ก็ไม่สนใจ เขายังคงลากหล่อนเหมือนซากออกจากป่าอ้อยมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเดียวอยู่ริ







