เข้าสู่ระบบจนกระทั่งรถเริ่มชะลอ เขาเปิดไฟเลี้ยว เสียงดังติ๊ก ๆ ๆ เป็นจังหวะฟังดูเหมือนเสียงนับถอยหลังเข้าสู่แดนประหาร
เขาหักพวงมาลัยเลี้ยวออกจากถนนใหญ่เข้าสู่ถนนสายรองที่ไม่มีไฟแม้แต่ดวงเดียว สองข้างทางคือความมืดที่ทึบจนมองไม่เห็นอะไร
ขวัญข้าวหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“แกจะพาฉันไปไหน! นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านฉัน!”
เขาไม่ตอบ รถวิ่งลึกเข้าไปในความมืด เสียงเครื่องยนต์ดังก้องในความเงียบของค่ำคืนมันบดขยี้เสียงจิ้งหรีดจนเงียบกริบ
ถนนหนทางเริ่มขรุขระขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ถนนลาดยางอีกต่อไป มันคือทางลูกรังที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ทำให้ร่างของหล่อนถูกเหวี่ยงไปมาตามแรงกระแทก
ขวัญข้าวเพ่งมองไปด้านนอก หล่อนเห็นสองข้างทางที่บัดนี้พอมองเห็นในแสงไฟหน้ารถ มันคือ ป่าอ้อยสูงทึบราวกับกำแพงสีดำ
“ไม่ จอดนะ สิงห์...จอด! ที่นี่มัน...ที่ไหน...จอดรถ!”
ขวัญข้าวเริ่มตื่นตระหนกอีกครั้ง นี่มันกลางไร่อ้อย ที่ที่ต่อให้หล่อนกรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครได้ยิน
สิงห์ชะลอรถแล้วหยุด เขากระตุกเบรกมือแล้วดับเครื่องยนต์
ฟุ่บ...
โลกพลันมืดสนิท ความเงียบที่แท้จริงเข้าครอบงำ มันน่ากลัวยิ่งกว่าความเงียบใด ๆ ที่หล่อนเคยเจอ
ขวัญข้าวกลั้นหายใจ หล่อนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นระรัวเหมือนกลองศึก และเสียงลมหายใจฟืดฟาดของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
หัวสมองน้อย ๆ จินตนาการถึงเรื่องเลวร้ายไปต่าง ๆ นานา นี่คือจุดจบของหล่อนใช่ไม่ เขาจะพาหล่อนมาฆ่าหมกป่าใช่ไหม เพราะเขาแค้นที่หล่อนดูถูกเหยียดหยามเขาใช่ไหม หรือว่าเลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น...
ในความมืดหล่อนเห็นเขาขยับ แล้วร่างสูงใหญ่ก็หันมา มันทำให้หล่อนกระถดหนีจนแผ่นหลังแนบสนิทกับประตู
“อย่านะ อย่าทำอะไรฉัน ฉันขอร้อง อย่า...”
เขาไม่ได้พุ่งเข้ามา เขาเอื้อมมือไปด้านหลังเบาะเหมือนกำลังควานหาอะไรบางอย่าง
แกร๊ก...
เสียงไฟในห้องโดยสารถูกเปิด แสงสีเหลืองนวลที่สลัวสว่างวาบขึ้น มันทำให้ห้องโดยสารที่เคยน่ากลัวยิ่งน่าอึดอัด มันฉายให้เห็นใบหน้าที่ตื่นกลัวจนซีดเผือดของหล่อน และใบหน้าที่เรียบเฉยจนน่าขนลุกของเขา
ในมือของเขาไม่ใช่มีด ไม่ใช่ปืน แต่มันคือแฟ้มเอกสารเก่า ๆ
สิงห์โยนมันลงบนตักของขวัญข้าว
“อ่านซะ”
ขวัญข้าวสะดุ้ง หล่อนก้มลงมองแฟ้มนั้นอย่างไม่เข้าใจ มือที่สั่นเทาค่อย ๆ เปิดมันออก ข้างในคือกระดาษไม่กี่แผ่น หล่อนหยิบแผ่นบนสุดขึ้นมา
มันคือสัญญาเงินกู้ ตัวเลขจำนวนมหาศาลทำให้หล่อนตาพร่า และชื่อของผู้กู้คือพ่อของหล่อนเอง
หล่อนรีบเปิดแผ่นต่อไป และสิ่งที่เห็นทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบคือโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นโฉนดของบ้านที่หล่อนเพิ่งหนีมา และชื่อของผู้รับจำนองคือนายสิงหา...’สิงห์’
“พ่อ...พ่อฉัน...” หล่อนพึมพำ “นี่มัน...”
“พ่อมึงเอาโฉนดมาค้ำไว้กับกู” เสียงของสิงห์ดังขึ้นทำลายความเงียบ มันเย็นชาและไร้ความรู้สึก “วันนี้ครบกำหนดจ่าย” เขาจ้องเข้าไปในดวงตาที่เบิกกว้างของหล่อน “มึงหนี กูยึด”
“ไม่...” ขวัญข้าวส่ายหน้า “ไม่จริง แก...แกมันเลว แกวางแผนทุกอย่าง แกต้องการอะไร!”
“กูไม่สนเงิน” เขาพูดชัดทีละคำ
ร่างสูงโน้มเข้ามาใกล้ กลิ่นบุหรี่และกลิ่นชายชาตรีของเขาปะทะเข้าจมูกจัง ๆ “กูสน ‘ตัว’ มึง”
ขวัญข้าวตัวแข็งราวกับถูกสาป เมื่อสิงห์ยกมือขึ้น หล่อนก็หลับตาปี๋ แต่เขาไม่ได้ทำร้ายหล่อน เขาเพียงแค่เอื้อมข้ามตัวหล่อนไปที่ประต
แกร๊ก...
เสียงปลดล็อกดังขึ้น เขาเปิดประตูฝั่งหล่อนออก ผลักออกไป แล้วประตูก็เปิดกว้าง ไอเย็นยามค่ำคืนและกลิ่นดินโชยเข้ามา
“กูให้มึงเลือก” สิงห์พูดขณะที่ถอยกลับไปนั่งพิงเบาะฝั่งตัวเอง เขากอดอกมองหล่อนด้วยสายตาที่เหนือกว่า
“หนึ่ง...ลงไป แล้วมึงก็เดินฝ่าป่าอ้อยนี่กลับไป กูจะไปยึดบ้านมึงพรุ่งนี้เช้า”
เขาเว้นจังหวะ สายตากวาดมองเรือนร่างของหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า
“หรือสอง...มึงจะจ่ายหนี้แทนพ่อมึงคืนนี้ บนรถคันนี้ แล้วกูกลับไปฉีกสัญญาทิ้ง”
หนึ่งปีผ่านไป... ในอาณาจักรไร่อ้อยและอู่รถบรรทุก เสียงเครื่องยนต์ดีเซลที่คุ้นเคยคำรามลั่นมาแต่ไกล มันไม่ใช่เสียงที่ปลุกเร้าความหวาดกลัวอีกต่อไป แต่ในวันนี้มันปลุกเร้าความหงุดหงิด ขวัญข้าวในชุดคลุมท้องผ้าฝ้ายเนื้อดี ยืนเท้าสะเอวมองลอดหน้าต่างบ้านหลังใหญ่ออกไป ร่างบางที่เคยสั่นเทาด้วยความกลัว บัดนี้กลับดูมั่นคงและเต็มไปด้วยอำนาจ เรือนร่างที่เคยบอบบางถูกเติมเต็มด้วยชีวิตใหม่ที่กำลังจะลืมตาดูโลก ท้องของหล่อนนูนเด่นขึ้นมาชัดเจนภายใต้ชุดราวห้าเดือนเห็นจะได้ หล่อนไม่ใช่ซากหรือของที่ไร้วิญญาณอีกต่อไปแล้ว หนึ่งปีที่ผ่านมาหล่อนคือนายหญิงของที่นี่ คือเมียของสิงห์ และเป็นคนเดียวที่กล้าพยศใส่ราชสีห์เจ้าของอาณาจักร “บอกแล้วไม่เคยจำ! คนดื้อด้าน!” หล่อนสบถกับตัวเองเบา ๆ&nb
แสงคือสิ่งแรกที่ปลุกหล่อนเปรียบเสมือนการกระชากวิญญาณที่ล่องลอยหนีความเจ็บปวดไปตลอดทั้งคืนให้กลับเข้ามาในร่างที่รกร้าง แสงอาทิตย์ยามเช้าสีส้มอมม่วงสาดทะลุกระจกหน้ารถที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นและซากแมลง มันอาบไล้ใบหน้าที่ชาด้านและมือที่เปื้อนดินของหล่อน ขวัญข้าวกะพริบตา เปลือกตาหนักอึ้งและบวมเจ่อ คอแห้งผากเหมือนมีทรายอัดอยู่ และความเจ็บมันก็ถาโถมกลับมา เจ็บที่ข้อเท้าซึ่งบวมเป่งจนแทบจะระเบิด ทุกแรงสั่นสะเทือนของรถมันส่งความปวดแล่นปราดขึ้นมาถึงสมอง เจ็บที่ข้อมือที่มีรอยช้ำสีม่วง เจ็บที่ผิวเนื้อทุกส่วนที่เสียดสีกับผ้าหยาบ ๆ ของเสื้อเขา และเจ็บที่แกนกลาง ความเจ็บที่ฉีกขาดที่บัดนี้มันกลายเป็นความด้านชา ทื่อหน่วง ตอกย้ำว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง รถยังวิ่ง เครื่องยนต์คำรามสม่ำเสมอ แรงสั่น
ความเงียบคือสิ่งแรกที่หวนกลับมาหลังจากเสียงคำรามทุ้มต่ำครั้งสุดท้ายของเขาและเสียงหวีดร้องที่แหบโหยของหล่อนจบลง พายุอารมณ์อันป่าเถื่อนได้ผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังที่แหลกสลายใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคันนา ขวัญข้าวยังคงถูกตรึง แผ่นหลังที่ด้านชาแนบสนิทกับเปลือกไม้ที่หยาบกร้าน ร่างของสิงห์ยังคงทาบทับ หล่อนรู้สึกได้ถึงความเหนียวเหนอะที่ไหลซึมอยู่ระหว่างเรียวขา มันปนเปไปกับเลือด ดิน และโคลน หล่อนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของเขาที่ทิ้งลงมากดทับจนหล่อนแทบไม่เหลือตัวตน หล่อนได้ยินเสียงลมหายใจหอบถี่และรุนแรงของเขาที่พ่นรดอยู่ข้างแก้ม มันคือเสียงเดียวในโลกที่ยืนยันว่าทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นจริง ส่วนหล่อน ขวัญข้าวไม่ได้ร้อง ไม่ได้ดิ้น หล่อนไม
ไม่ต่างอะไรจากเสื้อนักศึกษา เสียงผ้าลูกไม้ที่บอบบางขาดติดมือเขาเหมือนกระดาษ ความอิสระที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดปะทะเข้ากับไอเย็น ยอดอกแข็งขืนหดเกร็งจากความหนาวและความตื่นตระหนก “สวย...” เขาคำราม แล้วก้มลง ขวัญข้าวหลับตาปี๋กรีดร้องเสียงที่ไม่มีใครได้ยินเมื่อความร้อนชื้นครอบครองยอดอก ดูดดึงขบเม้มจนหล่อนเจ็บ...เจ็บจน...เสียว ความรู้สึกแปลกปลอมที่น่ารังเกียจแล่นปราดจากยอดอกลงไปสู่เบื้องล่างที่เริ่มทรยศหล่อนอย่างสิ้นเชิง “ไม่...ไม่...พอแล้ว...สิงห์...ฉัน...ฉันยอมแล้ว...ยอมทุกอย่าง...แล้ว...” หล่อนสะอื้น นี่คือการยอมจำนน การสิ้นฤทธิ์ที่เขาต้องการ สิงห์เงยหน้าขึ้นจากอกที่ช้ำจากการถูกบดขยี้ ดวงตาแดงก่ำจ้องหญิงสาว เขารู้ว่าหล่อนได้แตกสลายแล้ว
ขวัญข้าวตัวสั่นสะท้านจากทั้งอากาศเย็นที่ปะทะร่าง รู้สึกถึงความอัปยศที่สุดในชีวิต สิงห์จ้องมองความขาวนวลตรงหน้าด้วยสายตาราวกับจะกลืนกิน ดวงตาสีนิลที่เคยดำมืดบัดนี้มันลุกโชน เปลวไฟแห่งตัณหาดิบที่เขาไม่แม้แต่จะคิดปิดบัง ลมหายใจของเขาหนักหน่วงรุนแรงขึ้น เนินอกที่เปลือยเปล่าตรงหน้าที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหอบมันคือเชื้อไฟที่ตัวหล่อนเองเป็นคนจุด “ไม่...ไม่นะ...กรี๊ดดดด!!!” สติที่ขาดผึงกลับคืนมา ขวัญข้าวหวีดร้องด้วยเสียงร้องที่สิ้นหวังที่สุดในชีวิต “ไอ้เลว! ไอ้ชั่ว! อย่ามองนะ! อย่ามอง!!!” หล่อนยกมือที่สั่นเทาขึ้นพยายามจะดึงเศษเสื้อที่ขาดวิ่นมาปิด พยายามจะทุบตีเขา พยายามจะ
เขาชนะ เขาใช้เวลาสองสามวินาทีดื่มด่ำกับภาพนั้น “หมดแรงแล้วเหรอคุณหนู” เขาถามเสียงเรียบ ก้าวช้า ๆ เข้ามา ย่อตัวลง ขวัญข้าวถอยกรูด “อย่า...อย่าเข้ามา...ฉัน...ฉันยอม...” “หึ...” เขาหัวเราะในลำคอ “มึงน่าจะยอมตอนที่กูให้เลือกดี ๆ ตั้งแต่แรก” สิงห์ยื่นมือมากำรอบต้นแขนหญิงสาวกระชากโดยแรง ร่างของขวัญข้าวถูกลากไปกับพื้นดิน ข้อเท้าที่เจ็บครูดและปะทะกับลำต้นอ้อยไปตามทาง “กรี๊ด! เจ็บ! ฉันเจ็บ!” แม้จะกรีดร้องแค่ไหนสิงห์ก็ไม่สนใจ เขายังคงลากหล่อนเหมือนซากออกจากป่าอ้อยมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเดียวอยู่ริ







