Masukโลกทั้งโลกพลันหยุดหมุน อากาศในห้องโดยสารที่เคยอึดอัดบัดนี้มันเบาบางจนขวัญข้าวหายใจไม่ออก คำพูดของสิงห์ยังคงก้องอยู่ในหัว
‘หรือมึงจะจ่ายหนี้แทนพ่อมึงคืนนี้ บนรถคันนี้...’
หล่อนรู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่คำขู่ แต่มันคือการตีราคา เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการเงิน แต่เขาต้องการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของหล่อน เขากำลังบอกว่าคุณหนูอย่างหล่อนมีค่าเท่ากับหนี้สินก้อนนั้น หล่อนเป็นเพียงหลักประกัน
ความเงียบที่โรยตัวลงมาหลังสิ้นคำพูดนั้นหนักอึ้งจนแทบบดขยี้ร่างของหล่อนให้แหลกสลาย ขวัญข้าวนั่งตัวแข็งทื่อ แฟ้มเอกสารเก่า ๆ บนตักให้ความรู้สึกหนักราวกับแท่งเหล็ก มันคือโซ่ตรวนที่เถ้าแก่เหลียงพ่อของหล่อนใช้ล่ามหล่อนไว้กับอสูรตนนี้
หล่อนเหลือบมองไปยังชายหนุ่ม สิงห์นั่งกอดอกพิงเบาะฝั่งคนขับ เขานิ่งอย่างน่ากลัว กำลังรอเหมือนพรานป่าที่วางกับดักเสร็จแล้ว และกำลังรอให้เหยื่อเลือกว่าจะติดกับแบบไหน สายตาของเขาที่จ้องมองหล่อนในแสงไฟสลัวนั้นมันว่างเปล่า แต่ลึกลงไปในความว่างเปล่านั้นขวัญข้าวเห็นความพึงพอใจ ความสะใจของผู้ชนะ เขากำลังเพลิดเพลินกับการเฝ้าดูหล่อนแตกสลาย
การที่เขาเปิดประตูทิ้งไว้นั่นไม่ใช่ทางเลือก มันคือการเยาะเย้ย เขากำลังบอกเป็นนัย ๆ ว่า ถ้าหล่อนหนีไปหล่อนก็ไม่รอด หล่อนไม่มีที่ไป และสุดท้ายก็ต้องคลานกลับมาหาเขาอยู่ดี
“ว่าไงคุณหนู” สิงห์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เสียงแหบห้าวของเขาเจือด้วยแววสนุก “เลือกยากมากหรือไง”
ขวัญข้าวกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าฝ่ามือ
“ปกติเห็นเก่งแต่ใช้ปากด่าคนอื่น” เขาโน้มตัวมาข้างหน้า กลิ่นสาบชายตีเข้าหน้าหล่อนจัง ๆ “ลองใช้อย่างอื่นทำประโยชน์ให้พ่อมึงบ้างสิ”
“แกมันเลวยิ่งกว่าสัตว์” ขวัญข้าวเค้นเสียงลอดไรฟัน “ฉันไม่เลือกทางไหนทั้งนั้น!”
“มึงไม่มีสิทธิ์ไม่เลือก!” สิงห์ตวาด เสียงที่เปลี่ยนจากเยาะเย้ยเป็นดุดันทำเอาหล่อนสะดุ้ง “กูเป็นเจ้าหนี้มึงคือลูกหนี้ พ่อมึงขายมึงให้กูแล้ว!”
“พ่อฉันแค่เป็นหนี้ พ่อไม่ได้ขายฉัน!”
“หึ...” สิงห์หัวเราะในลำคอ “โง่จริง มึงคิดว่าเถ้าแก่เหลียงมันไม่รู้เหรอว่ากูต้องการอะไร มันรู้มันถึงยอมกู้ มันยอมเสียมึงดีกว่าเสียบ้าน”
คำพูดนั้นเหมือนค้อนปอนด์ทุบเข้ากลางใจ พ่อรู้มาตลอดว่ามันต้องการหล่อน
น้ำตาที่เหือดแห้งไปเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวดที่ถูกพ่อทรยศ
“เลือกมา” สิงห์ยื่นคำขาด “จะลงไปเดินหรือจะนอนจ่าย”
ขวัญข้ามองมองไปที่ประตูที่เปิดกว้าง ความมืดและป่าอ้อยนั้นคือกับดัก แล้วหล่อนก็หันกลับมามองหน้าอสูรที่นั่งแสยะยิ้มรอคอยดูหล่อนจำนน
วินาทีนั้นน้ำตาที่เอ่อคลอพลันเหือดแห้ง ถูกแทนที่ด้วยเปลวไฟแห่งความพยศ
หล่อนเกลียด...เกลียดพ่อที่ขี้ขลาด และเกลียดไอ้สิงห์ที่ชั่วช้า หล่อนจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมากำหนดชะตาชีวิตหล่อน
จะยึดบ้านเหรอ...ยึดไปสิ! จะทำลายพ่อหล่อนเหรอ...ทำไปสิ!
แต่เขาจะไม่ได้ตัวหล่อน หล่อนยอมตายดีกว่าที่จะจ่ายหนี้ด้วยร่างกายบนเตียงสกปรกหรือในกรงเหล็กของมัน
“ฉันบอกว่าไม่!!!” ขวัญข้าวตวาดลั่น
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนสิงห์ที่มั่นใจในชัยชนะตั้งตัวไม่ทัน ขวัญข้าวใช้แรงเฮือกสุดท้ายคว้าแฟ้มเอกสารบนตักแล้วปาอัดเข้าใส่หน้าสิงห์เต็มแรง
“เอาคืนไป!!!”
กระดาษปลิวว่อน สันแฟ้มกระแทกเข้าที่ดั้งจมูกเต็ม ๆ
“ไอ้...!” สิงห์อุทานชะงัก ยกมือขึ้นบัง
และนั่นคือเสี้ยววินาทีที่ขวัญข้าวรอ หล่อนโถมร่างทั้งร่างพุ่งออกจากประตูที่เปิดอ้ารออยู่ ใช้ความหยิ่งผยองของเขาเป็นอาวุธ
ร่างระหงลอยทะลุความมืดร่วงลง...
ตุ้บ!!!
“โอ๊ย!!!”
หล่อนกระแทกลงบนพื้นดินที่แข็งและขรุขระ ความเจ็บปวดแหลมปราดแล่นไปทั่ว ฝ่ามือและหัวเข่าแสบร้อน หล่อนรู้สึกได้ถึงเลือดที่ซิบออกมา แต่มันไม่สำคัญ
“มึง!!!” เสียงคำรามที่โกรธจัดดังไล่หลังมา
สิงห์ไม่เคยคิดว่าคุณหนูที่บอบบางจะกล้าที่จะเลือกทางที่สามซึ่งเป็นทางที่เจ็บปวดที่สุดคือหนี
อะดรีนาลีนสูบฉีดพล่านไปทั่วร่าง ขวัญข้าวไม่สนใจความเจ็บปวด หล่อนตะเกียกตะกายลุกขึ้นมองซ้ายมองขวา
ถนนใหญ่ไกลเกินไป เขาต้องดักทัน มีทางเดียวที่พอจะซ่อนตัวได้ ขวัญข้าวตัดสินใจ หล่อนหันแล้วพุ่งสุดชีวิตเข้าป่าอ้อย
กำแพงสีดำทึบที่เคยน่ากลัวบัดนี้มันคือที่ลี้ภัยเพียงแห่งเดียว
ซ่าาาา!
ร่างของหล่อนปะทะเข้ากับดงอ้อย ใบที่คมเหมือนมีดบาดเฉือนแขนและใบหน้าจนแสบไปหมด แต่หล่อนไม่หยุด หล่อนแหวกมันเดินลึกฝ่าเข้าไปในความมืด วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่สนว่าข้างหน้าคืออะไร รู้แค่ต้องหนีจากสัตว์ร้ายที่อยู่ข้างหลัง
“ขวัญข้าว!!!” เสียงตะโกนอย่างหัวเสียดังขึ้นด้านหลังบ่งบอกได้ถึงความเดือดดาลอย่างสุดขีด
ปัง!!!
เสียงประตูรถสิบล้อฝั่งคนขับถูกกระแทกเปิดอย่างรุนแรง
ตุ้บ!
เสียงรองเท้าคอมแบตหนัก ๆ กระทืบลงบนพื้นดิน
ขวัญข้าวใจหายวาบ ไอ้คนเลวกำลังตามมา และเขาเร็วมาก
หญิงสาวยิ่งเร่งฝีเท้า หล่อนวิ่งสะเปะสะเปะในป่าอ้อยที่มืดสนิท มันเหมือนเขาวงกต ทุกทิศเหมือนกันหมด มีแต่ต้นอ้อยที่สูงท่วมหัว
กลิ่นดินที่ชื้นและกลิ่นหวานจาง ๆ ของอ้อยลอยคละคลุ้ง ปกติแล้วมันน่าจะหอม แต่สำหรับหล่อนในตอนนี้มันคือกลิ่นแห่งความตาย
หล่อนล้มลุกคลุกคลาน เสียงหัวใจเต้นดังจนหูอื้อ และที่เลวร้ายที่สุด หล่อนได้ยินเสียงแหวกป่าอ้อย เสียงที่หนักแน่นและสม่ำเสมอดังตามมาไม่ไกล
สิงห์รู้ว่าหล่อนอยู่ตรงไหน เขาไม่ได้วิ่งไล่ แต่กำลังเดินล่าอย่างไม่รีบร้อน เขารู้ว่าในอาณาเขตของเขา เหยื่ออย่างหล่อนไม่มีวันหนีพ้น
หนึ่งปีผ่านไป... ในอาณาจักรไร่อ้อยและอู่รถบรรทุก เสียงเครื่องยนต์ดีเซลที่คุ้นเคยคำรามลั่นมาแต่ไกล มันไม่ใช่เสียงที่ปลุกเร้าความหวาดกลัวอีกต่อไป แต่ในวันนี้มันปลุกเร้าความหงุดหงิด ขวัญข้าวในชุดคลุมท้องผ้าฝ้ายเนื้อดี ยืนเท้าสะเอวมองลอดหน้าต่างบ้านหลังใหญ่ออกไป ร่างบางที่เคยสั่นเทาด้วยความกลัว บัดนี้กลับดูมั่นคงและเต็มไปด้วยอำนาจ เรือนร่างที่เคยบอบบางถูกเติมเต็มด้วยชีวิตใหม่ที่กำลังจะลืมตาดูโลก ท้องของหล่อนนูนเด่นขึ้นมาชัดเจนภายใต้ชุดราวห้าเดือนเห็นจะได้ หล่อนไม่ใช่ซากหรือของที่ไร้วิญญาณอีกต่อไปแล้ว หนึ่งปีที่ผ่านมาหล่อนคือนายหญิงของที่นี่ คือเมียของสิงห์ และเป็นคนเดียวที่กล้าพยศใส่ราชสีห์เจ้าของอาณาจักร “บอกแล้วไม่เคยจำ! คนดื้อด้าน!” หล่อนสบถกับตัวเองเบา ๆ&nb
แสงคือสิ่งแรกที่ปลุกหล่อนเปรียบเสมือนการกระชากวิญญาณที่ล่องลอยหนีความเจ็บปวดไปตลอดทั้งคืนให้กลับเข้ามาในร่างที่รกร้าง แสงอาทิตย์ยามเช้าสีส้มอมม่วงสาดทะลุกระจกหน้ารถที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นและซากแมลง มันอาบไล้ใบหน้าที่ชาด้านและมือที่เปื้อนดินของหล่อน ขวัญข้าวกะพริบตา เปลือกตาหนักอึ้งและบวมเจ่อ คอแห้งผากเหมือนมีทรายอัดอยู่ และความเจ็บมันก็ถาโถมกลับมา เจ็บที่ข้อเท้าซึ่งบวมเป่งจนแทบจะระเบิด ทุกแรงสั่นสะเทือนของรถมันส่งความปวดแล่นปราดขึ้นมาถึงสมอง เจ็บที่ข้อมือที่มีรอยช้ำสีม่วง เจ็บที่ผิวเนื้อทุกส่วนที่เสียดสีกับผ้าหยาบ ๆ ของเสื้อเขา และเจ็บที่แกนกลาง ความเจ็บที่ฉีกขาดที่บัดนี้มันกลายเป็นความด้านชา ทื่อหน่วง ตอกย้ำว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง รถยังวิ่ง เครื่องยนต์คำรามสม่ำเสมอ แรงสั่น
ความเงียบคือสิ่งแรกที่หวนกลับมาหลังจากเสียงคำรามทุ้มต่ำครั้งสุดท้ายของเขาและเสียงหวีดร้องที่แหบโหยของหล่อนจบลง พายุอารมณ์อันป่าเถื่อนได้ผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังที่แหลกสลายใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคันนา ขวัญข้าวยังคงถูกตรึง แผ่นหลังที่ด้านชาแนบสนิทกับเปลือกไม้ที่หยาบกร้าน ร่างของสิงห์ยังคงทาบทับ หล่อนรู้สึกได้ถึงความเหนียวเหนอะที่ไหลซึมอยู่ระหว่างเรียวขา มันปนเปไปกับเลือด ดิน และโคลน หล่อนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของเขาที่ทิ้งลงมากดทับจนหล่อนแทบไม่เหลือตัวตน หล่อนได้ยินเสียงลมหายใจหอบถี่และรุนแรงของเขาที่พ่นรดอยู่ข้างแก้ม มันคือเสียงเดียวในโลกที่ยืนยันว่าทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นจริง ส่วนหล่อน ขวัญข้าวไม่ได้ร้อง ไม่ได้ดิ้น หล่อนไม
ไม่ต่างอะไรจากเสื้อนักศึกษา เสียงผ้าลูกไม้ที่บอบบางขาดติดมือเขาเหมือนกระดาษ ความอิสระที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดปะทะเข้ากับไอเย็น ยอดอกแข็งขืนหดเกร็งจากความหนาวและความตื่นตระหนก “สวย...” เขาคำราม แล้วก้มลง ขวัญข้าวหลับตาปี๋กรีดร้องเสียงที่ไม่มีใครได้ยินเมื่อความร้อนชื้นครอบครองยอดอก ดูดดึงขบเม้มจนหล่อนเจ็บ...เจ็บจน...เสียว ความรู้สึกแปลกปลอมที่น่ารังเกียจแล่นปราดจากยอดอกลงไปสู่เบื้องล่างที่เริ่มทรยศหล่อนอย่างสิ้นเชิง “ไม่...ไม่...พอแล้ว...สิงห์...ฉัน...ฉันยอมแล้ว...ยอมทุกอย่าง...แล้ว...” หล่อนสะอื้น นี่คือการยอมจำนน การสิ้นฤทธิ์ที่เขาต้องการ สิงห์เงยหน้าขึ้นจากอกที่ช้ำจากการถูกบดขยี้ ดวงตาแดงก่ำจ้องหญิงสาว เขารู้ว่าหล่อนได้แตกสลายแล้ว
ขวัญข้าวตัวสั่นสะท้านจากทั้งอากาศเย็นที่ปะทะร่าง รู้สึกถึงความอัปยศที่สุดในชีวิต สิงห์จ้องมองความขาวนวลตรงหน้าด้วยสายตาราวกับจะกลืนกิน ดวงตาสีนิลที่เคยดำมืดบัดนี้มันลุกโชน เปลวไฟแห่งตัณหาดิบที่เขาไม่แม้แต่จะคิดปิดบัง ลมหายใจของเขาหนักหน่วงรุนแรงขึ้น เนินอกที่เปลือยเปล่าตรงหน้าที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหอบมันคือเชื้อไฟที่ตัวหล่อนเองเป็นคนจุด “ไม่...ไม่นะ...กรี๊ดดดด!!!” สติที่ขาดผึงกลับคืนมา ขวัญข้าวหวีดร้องด้วยเสียงร้องที่สิ้นหวังที่สุดในชีวิต “ไอ้เลว! ไอ้ชั่ว! อย่ามองนะ! อย่ามอง!!!” หล่อนยกมือที่สั่นเทาขึ้นพยายามจะดึงเศษเสื้อที่ขาดวิ่นมาปิด พยายามจะทุบตีเขา พยายามจะ
เขาชนะ เขาใช้เวลาสองสามวินาทีดื่มด่ำกับภาพนั้น “หมดแรงแล้วเหรอคุณหนู” เขาถามเสียงเรียบ ก้าวช้า ๆ เข้ามา ย่อตัวลง ขวัญข้าวถอยกรูด “อย่า...อย่าเข้ามา...ฉัน...ฉันยอม...” “หึ...” เขาหัวเราะในลำคอ “มึงน่าจะยอมตอนที่กูให้เลือกดี ๆ ตั้งแต่แรก” สิงห์ยื่นมือมากำรอบต้นแขนหญิงสาวกระชากโดยแรง ร่างของขวัญข้าวถูกลากไปกับพื้นดิน ข้อเท้าที่เจ็บครูดและปะทะกับลำต้นอ้อยไปตามทาง “กรี๊ด! เจ็บ! ฉันเจ็บ!” แม้จะกรีดร้องแค่ไหนสิงห์ก็ไม่สนใจ เขายังคงลากหล่อนเหมือนซากออกจากป่าอ้อยมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นเดียวอยู่ริ







