ซูเจินนางนั่งเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานหนังตาที่จะปิดลงมาให้ได้อยู่ตลอด จิ่วเม่ยหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะอุ้มนางไปล้างหน้าแล้วพาเข้านอน
“นอน” ซูเจินนางชี้มือไปที่ห้องข้างที่อยู่ติดกับห้องของบิดามารดา
“เจินเออร์ จะนอนห้องข้างหรือลูก”
“อืม” นางพยักหน้าอย่างงัวเงีย
“ไม่ได้ เจ้ายังเล็กนัก”
“นอน นอน” ครั้งนี้ซูเจินงอแงอย่างเห็นได้น้อย ป้าหวงที่ได้ยินเสียงของนางโวยวายจึงได้เดินเข้ามาดู
“เกิดอันใดขึ้น”
“เจินเออร์ นางจะนอนห้องนี้ผู้เดียวเจ้าค่ะ”
“เพ้ย เจ้าเด็กดื้อ เหตุใดถึงได้งอแงในวันที่บิดาเจ้ากลับมาเล่า” ป้าหวงเอ่ยตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก
“น้อง” นางตบไปที่ท้องของมารดาแล้วพูดออกมา
“ฮ่า ฮ่า เจ้าเด็กแสบ” ป้าหวงหัวเราะลั่น
ลุงหวงกับซูเต๋อต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ก็เห็นป้าหวงที่หัวเราะไม่หยุด และจิ่วเม่ยที่ยืนอุ้มซูเจินที่ใกล้จะหลับหน้าแดงก่ำ
“เกิดอันใดขึ้นขอรับ”
“เจินเออร์ เจ้าเด็กแสบ จะไปนอนห้องข้าง นางอยากจะมีน้อง ฮ่า ฮ่า” ป้าหวงหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างชอบใจ
กลายเป็นซูเต๋ออีกคนที่หน้าแดง ลุงหวงก็หัวเราะไปด้วยกับภรรยา เขาอดที่จะมองซูเจินอย่างชื่นชมในความรู้งานของนางไม่ได้ เหตุใดหลานทั้งสองของเขาจึงได้ไม่ครึ่งของนางเลย
เพราะความไม่ยอมของซูเจินที่จะเข้าห้องเดิม นางงอแงจนจิ่วเม่ยต้องพานางเข้าไปนอนในห้องข้าง พอซูเต๋อส่งป้าหวงและลุงหวงกลับไปแล้วจึงได้เข้ามาดูนางสองแม่ลูก
ก็เห็นซูเจินนางหลับสนิท โดยมีสหายของนางทั้งสามนอนอยู่บนผ้าห่มของนางอีกที
“ทิ้งนางไว้ได้รึ” ซูเต๋อเอ่ยถามอย่างกังวล เพราะซูเจินนางเพิ่งจะขวบเดียว
“นางมักจะอยู่ผู้เดียวได้ โดยที่ไม่ต้องให้ข้าอยู่ด้วย ตอนที่ข้าทำนา นางก็นั่งเล่นของนางผู้เดียว” จิ่วเม่ยเอ่ยเรื่องของซูเจินออกมา
“พวกเราวาสนาดีนัก ที่ได้นางเป็นบุตรสาว” ซูเต๋อลูบใบหน้าของบุตรสาวอย่างรักใคร่ เขามองภรรยาที่ยังสวยไม่สร่างของเขาอย่างแฝงความหมาย ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในห้องของตน
ซูเจินนางไม่อยากตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของบิดามารดา นางจึงได้ร้องจะมานอนห้องข้างแทน
รุ่งเช้า เป็นซูเต๋อที่เข้ามาดูบุตรสาวที่ห้องด้านข้าง เห็นว่านางยังนอนหลับสนิท เขาก็ออกไปเตรียมต้มน้ำ และทำอาหารเช้าแทนจิ่วเม่ยที่ยังคงนอนพักต่ออยู่บนเตียง
พอจัดการเรื่องทำอาหารเรียบร้อย ซูเต๋อเข้ามาดูซูเจินอีกครั้ง ก็เห็นนางลุกขึ้นนั่งรออยู่ที่เตียงนอนแล้ว
“เจินเออร์เด็กดี วันนี้พ่อจะพาเจ้าไปล้างหน้า” ซูเต๋อก้มตัวลงอุ้มซูเจินเดินไปด้านหลังเรือน พอจัดการบุตรสาวเรียบร้อย จิ่วเม่ยนางก็ตื่นพอดี
“ท่านพี่เหตุใดไม่เรียกข้า” นางรับตัวซูเจินไปจากสามี
“หึหึ ให้เจ้านอนต่ออีกสักหน่อยจะเป็นอันใดเล่า” ซูเจินเห็นสายตาของท่านพ่อที่มองท่านแม่ นางได้เบือนหน้าหนีเพราะเขินอายแทน
“วันนี้ข้าจะเข้าป่า” ซูต๋อเอ่ยออกมาในตอนที่กินข้าวอยู่
ถึงแม้บุตรสาวจะเก่งกาจเรียกเนื้อให้มาหาถึงเรือนได้ แต่คนที่ทำงานมาตลอดเช่นเขา ก็ไม่อาจจะเฉยๆ แต่ที่เรือนได้
“ด้วย” ซูเจินยกมือขึ้น ดวงตาของนางเปล่งประกายอย่างคาดหวัง
“หึหึ เจ้าเด็กแสบ พ่อจะพาเจ้าไปได้อย่างไร” ซูเต๋อขยี้ผมบุตรสาวที่นั่งกินข้าวด้วยตนเองได้แล้ว
“ด้วย ได้ ด้วย” ซูเจินนางอยากจะสื่อสารให้เขาเข้าใจว่านางอยากไปมากเพียงใด
“เช่นนั้นไปกันหมดเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” จิ่วเม่ยนางก็ไม่ได้ขึ้นเขามานานแล้ว จึงอดที่จะอยากไปด้วยไม่ได้
ซูเต๋อเห็นสายตาของสองแม่ลูกที่มองมาทางเขาเหมือนกันไม่มีผิด ได้แต่ถอนหายใจออก “ได้”
“เย้” ซูเจินชูมือขึ้นอย่างดีใจ นางอยากจะเข้าไปสำรวจป่ายุคโบราณแทบแย่แล้ว
ไม่คิดว่าไม่ต้องรอให้โตจนเข้าไปเพียงลำพังได้ มีแค่ท่านพ่อ ตอนนี้นางก็ได้เข้าเลย
ทั้งสามเตรียมของที่จะขึ้นเขา ซูเจินถูกจับให้นั่งลงในตะกร้าที่ปูรองด้วยผ้าอยู่ด้านหลังของท่านพ่อนาง
สามคนพ่อแม่ลูกถูกชาวบ้านที่พบเจอระหว่างทางเอ่ยถามไปตลอด ซูเจินยิ้มจนเห็นฟันคู่หน้าของนางอย่างน่าเอ็นดู
เมื่อพ้นสายตาของชาวบ้าน สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในป่าเหมือนจะรู้การมาถึงของซูเจิน ต่างโผล่หน้าออกมามองนางอย่างสนใจ
ซูเต๋อจ้องมองไปรอบๆ อย่างประหลาดใจ เพียงแค่ป่าชั้นนอกไม่รู้ว่าสัตว์ป่ามากมายมาจากไหน ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าควรยกธนูในมือขึ้นมาเล็งหรือไม่
“พ่อ” เสียงของซูเจินดังขึ้น มือน้อยสะกิดอยู่ที่บ่าของเขา
“มีอันใดหรือลูก”
“ลง” ซูเจินชี้ไปที่พื้น นางต้องการให้เขาวางนางลง
ซูเต๋อจึงได้ปลดตะกร้าออกจากหลัง แล้วอุ้มบุตรสาวออกมา เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง เพื่อดูว่ามีชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ หรือไม่
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดนอกจากพวกเขา จึงได้หันมาสนใจบุตรสาวตัวน้อยต่อ
ซูเจินรู้ว่าบิดาคงอยากเข้าป่ามาล่าสัตว์เช่นที่เขาเคยทำก่อนไปเข้ากองทัพ แต่นางไม่อยากให้เอาชีวิตพวกเขา เพื่อนำไปแลกเงินทอง
“เจ้าเคยเห็นของที่ไปขายได้เงินเยอะๆ หรือไม่” นางลูบขนลูกหมูป่าที่อยู่ตรงหน้าของนาง โดยมีแม่หมูป่ายื่นมองอยู่ไม่ไกล
“ตามข้ามาขอรับ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะขายได้เงินหรือไม่” ลูกหมูป่าวิ่งไปที่แม่ของมันทัน
สัตว์ตัวอื่นมองมันอย่างอิจฉาที่ถูกซูเจินนางสัมผัส
“ตาม ตาม” ซูเจินชี้นิ้วสั้นๆ ของนางไปที่ลูกหมูป่า เพื่อให้บิดารีบตามมันไป
ซูเต๋อเข้าใจความหมายของบุตรสาว รีบอุ้มตัวนางขึ้น แล้ววิ่งตามไปทันที
ลูกหมู่ป่าเหมือนได้รับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ มันรีบวิ่งไปที่ถ้ำที่อยู่ป่าชั้นกลาง ที่มันอาศัยอยู่กับครอบครัวจองมันทันที
ซูเต๋อตามไปห่างๆ เพราะยังกลัวว่าแม่หมูป่าตัวใหญ่จะหันกลับมาเล่นงานพวกเขาตอนที่ไม่ระวังตัว พอมาหยุดอยู่ที่หน้าถ้ำ เขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยเข้ามาลึกเพียงนี้สักครั้ง และไม่รู้ว่าด้านในมีอะไร
“ลง ลง” ซูเจินรีบตบที่บ่าของซูเต๋อ เมื่อสายตาของนางเหลือบไปเห็นดอกไม้ที่นางพบที่ป่าเหอหนานตอนที่เข้าไปกับทีมสำรวจ
“นายหญิง ของท่านเจ้าค่ะ” เสี่ยวมี่บินเข้ามาอยู่ข้างหูของซูเจินแล้วบอกนาง
“ข้าไม่เข้าใจ”
“หลันฮวา (ดอกกล้วยไม้) ดอกนี้ในยุคของท่านหายสาบสูญไปนานแล้วเจ้าค่ะ ในป่าแห่งนี้ก็คงเหลือเพียงดอกเดียวเท่านั้น”
“เสียดายนัก มันสวยมาก” ซูเจินเอื้อมมือออกไปลูบที่กลีบดอกเบาๆ
แสงสว่างเช่นตอนที่นางพบก่อนที่จะมาภพนี้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู