บิดาของนางฉลาดไม่น้อย เพียงแค่ฟังเรื่องที่มารดาเล่าก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ผิดกับมารดาเป็นเวลานานกว่านางจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
“ข้าคิดว่าใช่เจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยเล่าเรื่องที่ไห่กวงจะลอบเข้ามาในเรือน แต่โดนผึ้งต่อยเสียก่อน จนตอนนี้ใบหน้าบางส่วนของเขายังไม่สามารถนำเหล็กในของผึ้งออกได้เลย
“ช่างกล้านัก” ซูเต๋อถึงกับคำรามออกมา ความคิดเช่นนี้คงเป็นของนางไห่ซื่ออย่างแน่นอน
หากไม่ได้สหายของบุตรสาวเขาช่วยไว้ ไม่รู้ว่านางแม่ลูกจะมีชะตาชีวิตเช่นไร
“ท่านพี่อย่าได้มีโทสะ อย่างที่ท่านเห็น หากนางไห่ซื่อมาหาเรื่องอีก ข้าคิดว่าสหายของเจินเออร์คงไม่ปล่อยนางไว้แน่” จิ่วเม่ยบีบมือสามีเพื่อให้เขาคลายโทสะ
“หากมีอีกครั้งก็ลองดู ว่าข้าจะจัดการนางเช่นไร” เขาผ่านความเป็นความตายมาไม่น้อย จิตใจของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย หากมีคนคิดจะรังแกครอบครัวของเขา เขาย่อมต้องจัดการอย่างเด็ดขาดแน่นอน
“ข้าว่าท่านลองไปดูโรงเก็บข้าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ซูเต๋ออุ้มซูเจิน เดินตามจิ่วเม่ยไปโรงเก็บข้าวเปลือกที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นข้าวที่เต็มโรงเก็บไปหมด เขาก็ไม่อยากเชื่อสายตา หากไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะสหายของบุตรสาว คงได้คิดว่าจิ่วเม่ยนางหาวิธีทำให้พวกนก หนู ไม่เข้ามากินข้าวได้อย่างแน่นอน
“วันนี้ท่านพี่อยากกินอันใด ในเรือนยังมีเนื้อแห้งอยู่อีกมาก หากท่านอยากกินอย่างอื่น ข้าจะไปซื้อเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง ข้ากินอันใดก็ได้” ในสนามรบแทบจะกินดินอยู่แล้ว เขาไม่ได้เลือกกินขนาดนั้น
“ต่าย” ซูเจินเอ่ยออกมา
เพียงแค่นางพูด เสี่ยวเตี๋ยก็บินออกไปทันที จิ่วเม่ยได้แต่ส่ายหัวให้บุตรสาว ซูเต๋อยังมองตามไปอย่างไม่เข้าใจ จิ่วเม่ยไม่คิดจะบอกเขา อยากให้เขาได้เห็นกลับตาตัวเอง
แต่เพียงจิบถ้วยชา (ประมาณ 15 นาที) ผ่านไปก็มีกระต่ายตัวอวบอ้วนที่กระโดดเข้ามาในเรือนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง
ซูเจินดิ้นลงจากตัวของซูเต๋อ ก่อนจะเดินเข้าไปหากระต่ายแล้วนั่งลูบหัวพวกมัน
“ขอบคุณพวกเจ้ามาก”
กระต่ายทั้งสองตัวค่อยๆ หลับตาลง สิ้นใจต่อหน้านาง
“นี่ นี่” ซูเต๋อชี้นิ้วที่สั่นเทาของเขาไปที่กระต่ายตรงหน้าบุตรสาว
“ข้าบอกท่านแล้ว เห็นหรือไม่ หากเจินเออร์ นางอยากกินอันใด ก็จะมาตายต่อหน้านางเช่นนี้”
“เรื่องนี้มีผู้ใดรู้หรือไม่” ซูเต๋อเอ่ยถามอย่างกังวล
“ท่านลุงหวง ท่านป้าหวง พวกเขารู้เพียงว่าเรือนข้าโชคดี ที่มีสัตว์ป่าเดินมาตาย แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่พวกเขารู้ เพียงครั้งเดียวตอนที่กวางเดินมาตาย เพราะข้าไม่อาจจัดการได้ด้วยตนเอง”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
ซูเต๋อเหมือนจะนึกเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาในสนามรบได้ ในตอนที่เขาจวนตัว ได้มีนกกลุ่มหนึ่งบินมาล้อมรอบตัวของเขาไว้ เพื่อให้พ้นจากคมดาบ
และตลอดเวลาที่อยู่ในสนามรบครั้งที่ตัดสิ้นผลแพ้ชนะ ตัวเขาโดนปกป้องไว้ตลอด จนไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิด
แม่ทัพจ้าวที่อยู่ไม่ห่างจากเขา เห็นความผิดปกตินี้เช่นกัน เมื่อตอนที่เขากำลังจะจวนตัว ซูเต๋อตัดสินใจพุ่งเข้าไปบังลูกธนูให้แม่ทัพจ้าว
เพราะเขาคิดว่า หากกองทัพที่ไร้แม่ทัพควบคุม พวกเขาที่เป็นเพียงพลทหารคงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้เช่นกัน จึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น
แต่ฝูงนกยังติดตามเขาไป ทั้งยังพุ่งเข้าจิกกัดมือธนูฝ่ายตรงข้ามที่กำลังเล็งมาทางทิศที่เขาอยู่ ทำให้ทั้งเขาและแม่ทัพจ้าวรอดชีวิตมาได้
หลังจากแคว้นต้าเยี่ยนเป็นฝ่ายชนะ แม่ทัพจ้าวได้เรียกซูเต๋อเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวในกระโจม แล้วเอ่ยถามเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น
“เจ้าทำได้อย่างไร”
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ตอนที่หลับตาเพื่อรอรับความตาย ฝูงนกก็เข้ามาช่วยข้อน้อยไว้แล้ว” ซูเต๋อก็ไม่เข้าใจในเรื่องนี้เช่นกัน
เขายังได้รับป้ายจากแม่ทัพจ้าว หากมีเรื่องที่เขาต้องการความช่วยเหลือให้นำป้ายที่เขาให้มาที่จวนแม่ทัพได้ตลอดเวลา
พอฟังเรื่องจากภรรยาแล้ว เขาจึงได้รู้ว่าคงเป็นเพราะบุตรสาวของเขา จึงได้รอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัย คนที่เดินทางไปพร้อมเขาไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตลงในสนามรบที่โหดร้าย
เมื่อซูเต๋อเดินเข้าไปสำรวจกระต่ายทั้งสองตัวก็พบว่าพวกมันอายุมากแล้ว
“แก่ แล้ว” ซูเจินเอ่ยบอกเขา นางอยากจะบอกว่ามันสิ้นอายุขัย แต่เพราะประโยคมันยาวเกินไป
“เจ้าหมายถึงมันใกล้ตายแล้วใช่หรือไม่” ซูเต๋อเอ่ยถามบุตรสาว
“ใช่ ใช่” นางพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้น สัตว์ที่เดินมาตายที่เรือน พวกมันใกล้ตายแล้วอย่างนั้นรึ” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เจ้าค่ะ” ซูเจินยกนิ้วโป้งให้บิดาของนาง ฉลาดนัก เช่นนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย
ซูเต๋อถอนหายใจอย่างโล่งอก ในตอนแรกเขากลัวว่าหากเรื่องนี้ผู้อื่นรู้จะคิดว่าบุตรสาวของตนเป็นปีศาจ แต่หากเป็นเช่นนี้ก็ดี นางช่างเป็นเด็กวาสนาดีนัก
“แล้ววันนี้เจินเออร์อยากกินอันใด” จิ่วเม่ยเอ่ยถามบุตรสาวอย่างเช่นทุกครั้ง
“ย่าง” ซูเจินเลียปากน้อยๆ ของนาง เมื่อนึกถึงรสชาติของกระต่ายที่มารดาเคยย่างให้กิน
“เจ้าตัวตะกละ” จิ่วเม่ยจิ้มจมูกบุตรสาว ก่อนจะถือกระต่ายสองตัวเข้าครัวไป
“อยู่คนเดียวได้หรือไม่” ซูเต๋อจะไปช่วยจิ่วเม่ยในครัว จึงได้ถามบุตรสาว
“อืม” นางพยักหน้าให้เขาวางใจ ก่อนจะเดินไปเล่นที่ใต้ต้นไม้ที่มีแค่ไม้วางไว้อยู่ ซูเต๋ออุ้มนางขึ้นไปนั่ง แล้วเข้าไปในครัวเพื่อช่วยจิ่วเม่ยอีกแรง
จิ่วเม่ยเห็นเนื้อกระต่ายที่มีมาก แม้จะย่างไปแล้วหนึ่งตัว ต้มทำน้ำแกงอีกตัว หากพวกเขาสามคนคงกินกันไม่หมด จึงได้ให้ซูเต๋อไปชวนท่านลุงหวงและท่านป้าหวงมากินข้าวที่เรือน
เมื่อทั้งสองมาถึง จิ่วเม่ยนางก็ยกของขึ้นตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ป้าหวงที่เห็นเนื้อกระต่ายมากมายจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“อาเม่ยเจ้าไปเอาเนื้อกระต่ายมากมายมาจากที่ใด”
“ข้าออกไปจับมาขอรับ” เป็นซูเต๋อที่เอ่ยตอบ
ชาวบ้านไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าเขามีฝีมือเรื่องจับสัตว์ป่าไม่น้อย หากมีเวลาว่าง นางไห่ซื่อไม่เคยจะคิดให้เขาได้พัก นางให้เขาเข้าป่ามาตั้งแต่เด็ก
วันใดที่ไม่สามารถหาของติดไม้ติดมือมาได้ เขาจะถูกนางลงโทษไม่น้อย
“เช่นนั้นหรือ ดีแล้ว ต่อไปเจินเออร์ของข้าคงมีเนื้อกินทุกมื้อ” ป้าหวงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
แต่ซูเต๋อได้แต่ยิ้มแห้ง หากเขาไม่กลับมา เขาก็เชื่อว่าบุตรสาวตัวน้อยของเขานางจะต้องมีเนื้อกินทุกมื้ออย่างแน่นอน
เมื่อมีคนมาเพิ่มอีกสองปาก อาหารที่จิ่วเม่ยทำมากมายก็หมดลงจนไม่มีเหลือ ซูเจินลูบท้องของนางอย่างพอใจ กระต่ายย่างกว่าครึ่งถูกบิดาแกะวางในชามของนางอย่างใส่ใจ
นางก็ไม่ปฏิเสธกินทั้งหมดลงไปอย่างเชื่อฟัง จนผู้ใหญ่ทั้งสี่อดจะส่ายหน้าไม่ได้ ลุงหวงถือสุราติดมือมาด้วย จึงได้นั่งดื่มพร้อมทั้งเอ่ยถามเรื่องในกองทัพกับซูเต๋อ
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู