ฉางเล่ยอึดอัดไม่น้อยกับที่นั่งแคบ ๆ บนรถโดยสารคันนี้ เพียงแต่เขาต้องอดทนจนกว่าจะถึงเมืองมณฑลจึงจะสามารถยืดเส้นยืดสายได้ ซูเมี่ยวจินเห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขาคงนั่งไม่สบายนัก ในใจของเธอยิ่งอยากได้รถเครื่องเพื่อที่ขากลับพวกเขาจะได้ไม่ต้องเบียดเสียดกับคนในรถโดยสารอีก
“คุณทนอึดอัดสักหน่อยนะ รอให้เราไปถึงเมืองมณฑลค่อยไปหาดูรถเครื่องคันใหญ่สักคัน ขากลับจะได้ขนของและขี่กลับบ้านกัน” ซูเมี่ยวจินบอกแผนการของเธอ
“แต่ผมขี่รถไม่เป็นนะภรรยา” ฉางเล่ยกระซิบบอกอย่างอาย ๆ
“ไม่เป็นไร ฉันขี่เป็น คุณนั่งสบาย ๆ ก็พอแล้ว” ซูเมี่ยวจินยิ้มขำคนตัวโตด้านข้าง
คนที่ยืนเบียดกันบนรถได้ยินสองคนพูดคุยกันก็ได้แต่นึกเหยียดหยามอยู่ในใจ จากการแต่งตัวของฉางเล่ยและซูเมี่ยวจิน พวกเขาไม่เชื่อว่าสองคนนี้จะมีปัญญาซื้อรถเครื่องราคาหลายพันหยวนจริง ๆ
เกือบสองชั่วโมงต่อมา รถโดยสารก็จอดเทียบท่าในสถานีมณฑลกวางสี ค่าโดยสารต่อคนเพียงคนละ 5 หยวนเท่านั้น นับว่าราคาไม่แพงสำหรับชาวบ้านทั่วไปเลยสักนิด แต่กับฉางเล่ยแล้ว เขากลับรู้สึกว่าแพงไปสักหน่อย อย่างไรฉางเล่ยก็ไม่เคยใช้เงินมากขนาดนี้มาก่อน เขามักจะเก็บเงินเอาไว้เป็นค่าขนมให้น้องสาวมาตลอดหลายปี
“เราจะไปร้านค้ายังไงกันดีสามี” ซูเมี่ยวจินถามระหว่างที่กำลังเดินออกจากสถานี
“ผู้จัดการเจี่ยงบอกว่ามีรถสามล้อรับจ้างที่หน้าสถานี เราให้เขาไปส่งที่ห้างในมณฑลก่อนดีไหม ที่นั่นน่าจะมีของที่เราต้องซื้ออยู่นะครับ”
“ตกลงค่ะ ลองไปดูกันก่อน รายการของที่แม่เขียนมีไม่น้อยเลย”
ฉางเล่ยพยักหน้ารับคำภรรยา เมื่อออกจากประตูสถานี ทั้งสองเห็นรถสามล้อจอดเรียงกันเป็นทิวแถวอย่างเป็นระเบียบ ฉางเล่ยพาซูเมี่ยวจินไปสอบถามกับรถสามล้อคันที่อยู่แถวหน้าสุดก่อน
“ไปห้างใหญ่ในมณฑล สองคนราคาเท่าไหร่ครับ”
“คนละ 3 หยวน จะไปหรือเปล่า” คนขับมองท่าทางพวกเขาแล้วก็รู้ว่าน่าจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ราคาที่เขาเรียกเป็นราคาทั่วไปที่รถคันอื่น ๆ ใช้เป็นมาตรฐาน
“ไปครับ ขึ้นรถเถอะภรรยา” ฉางเล่ยหันไปบอกซูเมี่ยวจิน
ซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับและขึ้นไปนั่งบนรถสามล้อก่อน จากนั้นฉางเล่ยก็ขึ้นไปนั่งข้างกัน ถึงแม้สามล้อจะดูคันใหญ่ แต่ร่างกายที่ใหญ่โตของฉางเล่ยกลับรู้สึกว่ามันก็ยังอึดอัดไม่ต่างจากการนั่งรถโดยสารเมื่อครู่เลยสักนิด
“คนขับ ที่เมืองมณฑลมีโรงแรมของรัฐอยู่หรือเปล่าคะ” ซูเมี่ยวจินที่พอจะนึกได้ว่าในยุคนี้มักมีโรงแรมของรัฐที่ราคาถูกกว่าเอกชนอยู่จึงถามขึ้นมา
“มีครับ อยู่ไม่ไกลจากห้างที่ผมกำลังจะพาพวกคุณไปนักหรอก ที่นั่นเป็นเขตเศรษฐกิจในเมืองมณฑล ร้านค้ามากมายก็อยู่ติด ๆ กันนั่นแหละ” คนขับตอบ
“ขอบคุณที่บอกนะคะ สามี ซื้อของแล้วเราค่อยเอาไปเก็บที่โรงแรมก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกไปหาอะไรกินกันตอนเย็น” ซูเมี่ยวจินคิดว่าของที่พวกเธอต้องซื้อมีมาก เธอเลยไม่อยากหอบหิ้วของพวกนั้นไปร้านอาหารด้วย
“ตกลงครับ ตามใจคุณภรรยา” ฉางเล่ยหันไปยิ้มบางให้
รถสามล้อขี่ลัดเลาะไปตามทางลัดที่เขาคุ้นเคย จนกระทั่งทะลุไปถึงถนนใหญ่กลางเมืองมณฑลในเวลาไม่นาน ฉางเล่ยและซูเมี่ยวจินมองดูผู้คนมากมายเดินไปมาตามร้านค้าต่าง ๆ ก็ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ซูเมี่ยวจินเพิ่งเคยเห็นภาพจริงในยุคปี 1980 เป็นครั้งแรก เธอไม่คิดว่าเมืองมณฑลนี้จะเจริญรุ่งเรืองมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก
“ถึงแล้วครับ นี่เป็นห้างใหญ่แห่งเดียวของรัฐที่กวางสี” คนขับจอดหน้าห้างสามชั้นขนาดใหญ่ที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่
“นี่เงินครับ ขอบคุณที่มาส่งพวกเรานะครับ” ฉางเล่ยจ่ายเงินหลังลงจากรถ
“ไม่เป็นไรครับ พวกคุณเที่ยวให้สนุกนะครับ หากต้องการกลับไปสถานีเดินรถ จะมีสามล้อหน้าห้างให้พวกคุณเรียกใช้ได้อยู่” คนขับรับเงินมาแล้วจึงเอ่ยบอก
“ขอบคุณที่บอกนะครับ” ฉางเล่ยยิ้มรับคำและจับมือซูเมี่ยวจินเดินไปยังประตูห้างที่เขาเห็นคนเดินเข้าออกจำนวนไม่น้อย
“คุณเอาใบรายการของแม่ออกมาดูก่อนดีไหม เราจะได้เดินดูไปทีละอย่าง” ซูเมี่ยวจินหันไปบอกสามี เธออยากซื้อของจำเป็นสำหรับงานแต่งงานเสียก่อน จากนั้นค่อยซื้อของฝากไปให้ทุกคนทีหลัง
“ตกลงครับ” ฉางเล่ยหยิบแผ่นกระดาษออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างที่ยืมน้องสาวมาก่อนออกจากบ้าน เพราะเขาต้องพกเงินจำนวนมากมาด้วย จึงต้องใช้กระเป๋า
ซูเมี่ยวจินรับใบรายการมาดูก็เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นของใช้ในพิธีแต่งงานทั้งนั้น เธอมองดูรอบ ๆ ห้างนี้แล้วดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีของตามรายการ แต่ในเมื่อเข้ามาในห้างแล้ว ซูเมี่ยวจินจึงพาฉางเล่ยไปซื้อเสื้อผ้าใหม่เสียก่อน
“เราไปซื้อเสื้อผ้ากันก่อนเถอนะคะ ของที่ต้องใช้ในพิธีค่อยไปหาดูจากร้านนอกห้าง”
“ได้ครับ ตามใจภรรยาเลย ผมจะช่วยคุณถือของนะ” ฉางเล่ยไม่เคยซื้อของเองจึงไม่กล้าเลือกสุ่มสี่สุ่มห้า เขาปล่อยให้ซูเมี่ยวจินตัดสินใจแทนดีกว่า
“ตกลงค่ะ วันนี้ฉันจะเลือกชุดดี ๆ ให้คุณสักสองสามชุด ของพ่อแม่แล้วก็น้องสาวด้วยคนละสองสามชุด เวลาออกไปข้างนอกหรือไปงานเลี้ยงจะได้ไม่อายใครเขา” ซูเมี่ยวจินคิดว่ายังไงของมันต้องใช้ เธอจึงไม่คิดจะประหยัดเรื่องพวกนี้แต่แรก
“คุณไม่ต้องซื้อแพงมากนะครับ ผมกลัวพ่อกับแม่จะดุคุณเอา” ฉางเล่ยรู้นิสัยประหยัดของพ่อแม่ตัวเองดี เขารีบเตือนภรรยาเอาไว้ก่อน
“พวกเราไม่บอกราคา พ่อกับแม่จะรู้ได้ยังไงล่ะคะ อย่าคิดมากเลยน่า ถือว่าเป็นของขวัญจากสะใภ้คนนี้นะคะ” ซูเมี่ยวจินอ้างตำแหน่งในครอบครัวฉางของตัวเอง
“เอ่อ… ตกลงครับ ภรรยาว่ายังไงผมก็จะทำตาม” ฉางเล่ยเขินไม่น้อยที่ภรรยาเขาอ้างถึงตำแหน่งในบ้านซึ่งกำลังจะเป็นจริงในอีกไม่กี่วัน
ซูเมี่ยวจินพาฉางเล่ยเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น ฉางเล่ยในมือของเขาเต็มไปด้วยถุงเสื้อผ้ามากมายของคนในครอบครัวรวมถึงของตัวเขาเองด้วย ชุดที่ภรรยาเขาเลือกให้ดูดีมากเลยทีเดียว ทำเอาเขารู้สึกดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนชุดของภรรยาเขาก็ดูดีเช่นกัน ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นชุดกางเกงก็เถอะ
“คุณเหนื่อยหรือยังคะ” ซูเมี่ยวจินคิดว่าเดินนานแล้ว เธออยากให้ฉางเล่ยนั่งพักทานน้ำสักหน่อยค่อยไปหาซื้อชุดแต่งงานกันต่อ
“ยังไม่เหนื่อยครับ คุณเหนื่อยแล้วเหรอ” ฉางเล่ยเลิกคิ้วถามภรรยาอย่างแปลกใจ
“เปล่าหรอกค่ะ แต่ฉันคิดว่าเราหาที่นั่งพักทานน้ำสักหน่อยแล้วค่อยไปร้านชุดแต่งงานในห้างกันต่อ ฉันถามพนักงานขายมาแล้วว่าร้านนั้นอยู่ตรงไหน”
“ตกลงครับ คุณเลือกเลยว่าจะนั่งทานน้ำที่ร้านไหน ผมเห็นมีหลายร้านที่ชั้นหนึ่ง”
“ตามฉันมาเลยค่ะ ฉันจะพาคุณกินน้ำเย็น ๆ กับขนมหวานเพิ่มพลังสักหน่อย” ซูเมี่ยวจินนึกถึงร้านน้ำผลไม้และของหวานร้านหนึ่งที่เธอเห็นขึ้นมาได้
ฉางเล่ยพยักหน้ายิ้มรับคำภรรยา เขารู้ดีว่าเธอช่างสังเกตมากกว่าเขาเสียอีก ไม่ว่าร้านไหนในห้างที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรก เพียงแค่ผ่านตาของภรรยา เธอก็จำได้หมดว่าร้านนั้นขายสินค้าอะไร ทำให้พวกเขาไม่ได้เสียเวลาในการซื้อของมากนัก
ซูเมี่ยวจินพาฉางเล่ยเข้าไปนั่งในร้านขายขนมหวานซึ่งมีน้ำผลไม้หลายอย่างให้เลือกกินด้วย
“คุณสั่งเลย ฉันเอาน้ำแตงโมกับฟักทองเชื่อมค่ะ” ซูเมี่ยวจินหันไปบอกพนักงานที่เดินมารอรับคำสั่งอาหาร
“ผมเอาเหมือนภรรยาครับ” ฉางเล่ยไม่อยากเรื่องมาก เขากินอะไรก็ได้ ในเมื่อภรรยาอยากให้เขาลองกินดู เขาก็จะกินตามที่เธอบอก
หลังจากพนักงานเดินไปเตรียมของที่สั่ง ซูเมี่ยวจินอดจะบ่นฉางเล่ยไม่ได้ว่าเขาไม่ยอมเลือกเองเลย แบบนี้เธอจะรู้ได้ยังไงว่าเขาชอบของที่เธอพามากินหรือไม่ ฉางเล่ยได้แต่หัวเราะกับท่าทางแง่งอนของภรรยา เขาเพิ่งรู้ว่าภรรยาที่ภายนอกสวยดุของเขายังมีมุมที่น่ารักแบบนี้ด้วย
แม่เฒ่าฮัว ป้าซิงและป้าฟางเห็นผู้ชายร่างกายกำยำมองพวกเธออย่างอยากจะกินเลือดกินเนื้อก็หดคอเงียบปากไปตามระเบียบ แค่นี้พวกเธอก็ยังเจ็บตัวไม่หายจากการเตะของซูเมี่ยวจิน หากถูกกลุ่มผู้ชายตรงหน้าตบเข้าอีก ไม่รู้ว่าฟันในปากของพวกเธอจะยังอยู่ครบหรือไม่ชาวบ้านในลานบ้านกลับไปนั่งโต๊ะของตัวเองหลังจากเห็นว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวกลับเข้ามาแล้ว พวกเขาเองก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศของงานมงคลเพราะตัวปัญหาทั้งสามของหมู่บ้านจนขายหน้าคนจากหมู่บ้านเสิ่น15 นาทีต่อมา ลูกน้องสามคนของแม่ทัพน้อยก็มาถึงหน้าประตูรั้วบ้านฉาง พวกเขาไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ลากตัวทั้งสามคนซึ่งถูกมัดรวมกันออกไปทันที เพราะชาวบ้านที่มาตามพวกเขาก่อนหน้านี้เล่าทุกอย่างให้ฟังแล้ว ในเมื่อนี่เป็นคำสั่งของแม่ทัพน้อย พวกเขาที่เป็นลูกน้องต้องทำตามอย่างแน่นอน“เอาล่ะ ในเมื่อเอาตัวคนไปแล้ว เราเริ่มทำพิธีไหว้ฟ้าดินกันก่อนเถอะ” คุณปู่ฉางลุกขึ้นพร้อมกับคุณย่าเพื่อเข้าไปทำพิธีในบ้านตามธรรมเนียม“พ่อ แม่เดินช้า
ซูเมี่ยวจินที่กำลังทำความรู้จักกับแขกในหมู่บ้านอยู่ได้ยินก็หันขวับไปมองสามตัวปัญหาของหมู่บ้านทันที เธอกล่าวขอตัวอย่างสุภาพ ก่อนจะปล่อยมือที่ฉางเล่ยจับเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้ออก และเดินดุ่ม ๆ เข้าหาทั้งสามคนอย่างรวดเร็วเปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! ฟิ้ว!!! ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!“โอ้ย!!! ฆ่าคนแล้ว ๆ นังสารเลว กล้าทำร้ายพวกเราได้ยังไง ฉันจะแจ้งความ” แม่เฒ่าฮัวที่เพิ่งหล่นตุ้บลงกับพื้นจนเอวเคล็ดตะโกนเสียงดังเมื่อถูกเตะจนร่างกระเด็นออกจากลานบ้านตระกูลฉาง“ใช่ ๆ ผู้ใหญ่บ้าน แม่ทัพน้อย พวกคุณต้องให้ความเป็นธรรมกับเรานะ” ป้าฟางตะโกนขึ้นต่อทันที เธอเจ็บปวดไม่ต่างจากแม่เฒ่าฮัวนัก“อูย… สะใภ้บ้านฉางรังแกคนเกินไปจริง ๆ ทุกคนดูสิว่าเธอร้ายกาจแค่ไหน” ป้าซิงร้องโอดโอยไม่ต่างจากสองคนก่อนหน้านี้คนที่เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้สติขึ้นมาทันที เมื่อครู่พวกเขาเบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าสาวจะดุถึงขนาดนี้ แม้แต่ผู้ให
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย