เจ้าหน้าที่มองหนุ่มหล่อสาวสวยที่ควงแขนกันเข้ามาก็แปลกใจไม่น้อย ที่ว่าการอำเภอแห่งนี้น้อยนักจะมีคนหนุ่มสาวมา
“สวัสดีค่ะ ต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ” เจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ฉันทำเอกสารส่วนตัวหายไปค่ะ นี่เป็นใบรับรองจากผู้ใหญ่บ้าน รบกวนคุณช่วยบอกขั้นตอนการทำเอกสารใหม่ให้ด้วยนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอกเรื่องสำคัญของเธอ
“ไม่มีปัญหาค่ะ คุณเอาแบบฟอร์มนี้ไปกรอกให้ละเอียดก่อนนะคะ จากนั้นส่งเอกสารพร้อมใบรับรองจากผู้ใหญ่บ้านมา ฉันจะทำบัตรประจำตัวให้คุณใหม่ค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” ซูเมี่ยวจินรับเอกสารใบหนึ่งมาและไปยังจุดที่เจ้าหน้าที่ชี้บอกว่ามีปากกาให้เขียนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับฉางเล่ย
ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็เขียนเสร็จ เธอเดินไปส่งเอกสารให้เจ้าหน้าที่และไปนั่งรอกับฉางเล่ย ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ขั้นตอนต่าง ๆ ก็เสร็จสิ้น ซูเมี่ยวจินได้รับบัตรประจำตัวใบใหม่และจ่ายค่าธรรมเนียมให้เจ้าหน้าที่นิดหน่อย
“คุณเจ้าหน้าที่คะ เราสองคนอยากจดทะเบียนสมรสด้วย ไม่ทราบต้องทำยังไงบ้าง”
“อ้อ พวกคุณแต่งงานกันแล้วเหรอคะ” เจ้าหน้าที่สาวถามอย่างแปลกใจ
“กำลังจะแต่งค่ะ แต่พวกเราเห็นว่าไหน ๆ ก็มาที่นี่แล้วเลยอยากจดทะเบียนก่อน”
“พวกคุณเอาเอกสารนี้ไปกรอกให้ละเอียดนะคะ แล้วค่อยมาส่งให้ฉัน จากนั้นค่อยไปถ่ายรูปและนั่งรอรับทะเบียนสมรสได้เลยค่ะ” เจ้าหน้าที่บอกยิ้ม ๆ
“ขอบคุณมากค่ะ/ครับ” ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยรับเอกสารมาคนละใบ
ขั้นตอนการจดทะเบียนสมรสใช้เวลานานเกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะทั้งสองคนต้องเปลี่ยนเสื้อเพื่อถ่ายรูปคู่กันและรอให้รูปถ่ายออกมาเสียก่อน เจ้าหน้าที่จึงจะสามารถจัดทำเล่มทะเบียนสมรสได้
ระหว่างนั่งรอเอกสาร ซูเมี่ยวจินได้ยินเสียงระบบแจ้งให้ทราบถึงรางวัลจากการจดทะเบียนสมรสขึ้นมาทันที
[ยินดีกับเจ้านายที่มีสามีอย่างเป็นทางการ ระบบขอมอบของขวัญแต่งงานเป็นทองคำมูลค่าสองหมื่นหยวนให้คุณครับ]
[โอ้! ถ้ารู้ว่าจะได้ของขวัญมีค่าขนาดนี้ ฉันน่าจะรีบลากเขามาจดทะเบียนก่อน]
[ผมบอกเจ้านายแล้วไงว่าการแต่งงานของคุณจะมีแต่เรื่องดี เป็นคุณที่ชักช้าเอง]
[ชิ! ว่าแต่ทองคำนั่นฉันแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดสักห้าพันหยวนแทนได้ไหม ส่วนทองคำที่เหลือก็เก็บเอาไว้กับนายก่อน]
[ได้ครับ เงินจะถูกส่งเข้ากระเป๋าเงินของคุณตอนนี้ หากเจ้านายต้องการใช้ทองคำ คุณสามารถบอกผมได้ตลอด หลังงานแต่งงานของคุณ ยังมีภารกิจสร้างความมั่งคั่งให้ครอบครัวสามีรออยู่นะครับ]
[ฉันเข้าใจแล้ว ขอบใจนายมาก]
ซูเมี่ยวจินที่ได้รับเงินเพิ่มขึ้นมาอีกห้าพันหยวน เธอจึงมั่นใจมากว่าเธอจะสามารถซื้อรถเครื่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้ครอบครัวฉางได้แน่ ยุคสมัยนี้ราคารถไม่น่าจะแพงเหมือนศตวรรษที่ 21
“ทะเบียนสมรสของพวกคุณเสร็จแล้วค่ะ ค่าธรรมเนียม 10 หยวน” เสียงเจ้าหน้าที่เรียกพวกเขาดังขึ้นในเวลาไม่นาน
ฉางเล่ยและซูเมี่ยวจินเดินไปรับเล่มทะเบียนสมรสมาดูพร้อมรอยยิ้ม ในที่สุดพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายแล้ว
“นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ผมว่าเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารของรัฐกันก่อนดีไหม”
“ได้สิคะ ยังไงเราก็มีเงินไม่น้อยแล้ว ลองกินอาหารในร้านบ้างก็ไม่เลว” ซูเมี่ยวจินที่อยากลองอาหารนอกบ้านบ้างเอ่ยขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นรีบไปกันเถอะครับ ผมกลัวว่าคนจะเยอะช่วงเที่ยงวัน”
ฉางเล่ยเดินเคียงข้างซูเมี่ยวจินไปยังร้านอาหารของรัฐที่พวกเขาเพิ่งขายเสือทั้งตัวไปให้เมื่อวานนี้ ภายในใจของพวกเขามีความรู้สึกแตกต่างกันไม่น้อย ซูเมี่ยวจินไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับสถานะสามีภรรยาที่เพิ่งได้รับ แต่ฉางเล่ยกลับใจเต้นตึกตักอย่างตื่นเต้นที่เขามีภรรยาแล้ว แถมภรรยาของเขายังสวยและเก่งอีกด้วย
เจี่ยงซูผู้จัดการร้านเมื่อเห็นฉางเล่ยและซูเมี่ยวจินเดินเข้ามาก็รีบเดินออกมาพูดคุยกับพวกเขาอย่างสนิทสนม
“วันนี้ลมอะไรหอบพวกคุณมาที่ร้านผมได้ล่ะครับเนี่ย”
“พวกเราจะไปที่มณฑลน่ะครับ เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วเลยพาภรรยามากินข้าวก่อน”
“โอ้! เมื่อวานไม่ได้ถาม ที่แท้พวกคุณเป็นสามีภรรยากันนี่เอง”
“เราเพิ่งจดทะเบียนกันเสร็จน่ะครับผู้จัดการเจี่ยง” ฉางเล่ยยืดอกอย่างไม่รู้ตัว
“คิก คุณดูท่าจะดีใจมากเลยนะคุณสามี” ซูเมี่ยวจินอดที่จะหัวเราะกับท่าทางเขาไม่ได้
“แน่นอนสิครับคุณภรรยา ใครให้ภรรยาผมทั้งสวยทั้งเก่งกันล่ะ” ฉางเล่ยอวดอย่างไม่คิดจะอายผู้จัดการเจี่ยงเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่า ฮ่า พวกคุณนี่เหมาะสมกันจริง ๆ คนหนึ่งก็หล่อเหลา อีกคนก็สวย วันนี้อยากกินอะไรสั่งมาได้เลยนะครับ ผมลดให้ 10% สำหรับข้าวใหม่ปลามัน”
“ขอบคุณมากครับผู้จัดการเจี่ยง” ฉางเล่ยไม่คิดว่าจะโชคดีได้ส่วนลดในการมากินข้าวที่ร้านของรัฐเป็นครั้งแรก
“คุณรีบสั่งอาหารเถอะค่ะ เราต้องเข้าไปมณฑลอีก ไม่รู้ว่าต้องเดินทางนานไหม”
ฉางเล่ยพยักหน้าให้ภรรยา เขาหันไปสั่งอาหารขึ้นชื่อของร้านที่พอจะรู้จักมาสามสี่อย่างทันที ผู้จัดการเจี่ยงจำได้แล้วจึงขอตัวไปสั่งพ่อครัวให้ทำอาหารให้พวกเขาเพื่อไม่ให้เสียเวลาการเดินทางของทั้งสองคน
อาหารมาส่งที่โต๊ะในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฉางเล่ยคอยตักอาหารใส่จานข้าวให้ซูเมี่ยวจินอย่างเคยชิน ผู้จัดการเจี่ยงมองสองสามีภรรยาตรงหน้าก็อมยิ้มอย่างพอใจ เขารู้จักกับฉางเล่ยมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งเคยเห็นฉางเล่ยดูมีความสุขมากก็วันนี้ นับว่าการมีภรรยาทำให้ฉางเล่ยเปลี่ยนไปไม่น้อย
ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินใช้เวลากินไม่นานนัก ฉางเล่ยลุกขึ้นไปจ่ายเงินกับผู้จัดการเจี่ยงที่โต๊ะ เขาปล่อยให้ซูเมี่ยวจินนั่งรอออกจากร้านพร้อมกัน ค่าอาหารวันนี้นับว่าไม่แพงมากนัก ทั้งหมดเพียงแค่ 30 หยวนเท่านั้น นับว่าคุ้มค่ากับรสชาติอาหารของร้านอาหารของรัฐที่มีอยู่แห่งเดียวในอำเภอ
“เราไปที่สถานีเดินรถกันเถอะเมี่ยวจิน” ฉางเล่ยเดินกลับมาเรียกภรรยา
“ตกลงค่ะ ที่นั่นอยู่ไกลไหมคะ” ซูเมี่ยวจินลุกขึ้นเดินเคียงข้างสามีออกไป
“ไม่ไกลเท่าไหร่ครับ แต่จากอำเภอไปเมืองมณฑลน่าจะเดินทางประมาณสองชั่วโมงได้ ผมถามจากผู้จัดการเจี่ยงมาเมื่อครู่น่ะครับ” ฉางเล่ยบอก
“ดูท่าทางจะไกลมากเหมือนกันนะคะ” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่าระยะทางจากอำเภอนี้ไปถึงเมืองมณฑลจะใช้เวลานานขนาดนี้ กว่าพวกเขาจะไปถึงคงใกล้ตอนเย็นเต็มที
“ความจริงไม่ได้ไกลขนาดนั้นครับ เพียงแต่รถโดยสารจอดบ่อยเลยช้าน่ะ”
“อ้อ! เป็นอย่างนี้นี่เอง เสียดายที่เราไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อรถส่วนตัว รอหลังแต่งงานเราค่อยหาเงินกันใหม่นะคะ” ซูเมี่ยวจินเอ่ยขึ้น ถ้าเธอมีรถส่วนตัวสักคันคงสะดวกกว่านี้ในการหาเงินเลี้ยงครอบครัวฉาง
“ผมขอโทษที่ไร้ความสามารถนะครับภรรยา หลังแต่งงานผมจะขยันให้มากขึ้น คุณจะได้สบายมากกว่านี้” ฉางเล่ยพูดอย่างรู้สึกผิดที่เขาหาเงินไม่เก่งเท่าภรรยา
“คุณอย่าพูดแบบนี้สิ ฉันไม่เคยโทษคุณเลยนะคะ เราช่วยกันหาเงินเพิ่มขึ้นหลังจากนี้ก็ยังไม่สายเกินไปหรอกค่ะ” ซูเมี่ยวจินคิดว่าฉางเล่ยน่าจะมีปมเรื่องความยากจนของที่บ้านมานาน เขาจึงรู้สึกผิดหวังในตัวเองต่อหน้าเธอแบบนี้
ซูเมี่ยวจินปลอบฉางเล่ยอีกไม่กี่คำ พวกเขาก็เดินไปถึงสถานีเดินรถของอำเภอแล้ว ฉางเล่ยสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงรถที่จะเข้าไปยังมณฑล โชคดีที่มีรถเข้ามาเทียบท่าพอดี พวกเขาจึงรีบขึ้นรถไปนั่งคู่กัน คนที่จะเข้าเมืองมณฑลในวันนี้ดูจะไม่มากนัก ซูเมี่ยวจินคิดว่าระหว่างทางคงมีคนรอขึ้นรถอีกไม่น้อยแน่ ดีที่พวกเธอได้ขึ้นรถก่อนจึงมีที่นั่ง ไม่อย่างนั้นคงต้องยืนกันไปตลอดทาง
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ