LOGINเพียงอึดใจ ประตูห้องก็เปิดออก หลี่เยว่ซิงเดินเข้ามาพร้อมกับหลินเหวินซานและหลินซือหาน “พวกเจ้ามีเวลาหนึ่งก้านธูป” คุณชายหอพันธนาการเอ่ยขึ้น พร้อมกับธูปที่ถูกจุดขึ้นในทันที หลินเหวินซานไม่รอช้า รีบรั้งให้หลานชายนั่งลง ในหอพันธนาการ แม้แต่ฮ่องเต้ก็จะถูกปฏิบัติเหมือนกัน ไม่มีใครมีอำนาจเท่าคุณชายของที่นี่ เช่นนั้นการจะรอให้อีกฝ่ายคารวะนั้นเป็นไปไม่ได้ “ไม่อ้อมค้อมแล้ว ข้าอยากได้ทหารลับหมื่นนาย” หลินเหวินซานเอ่ยปากในทันที หลี่หยางเฉิงเหยียดยิ้ม ก่อนหันมามองหลี่เยว่ซิงที่ไม่เอ่ยคำใดแม้ครึ่งคำ “ฉู่อ๋องก็คิดจะเข้าร่วมการก่อกบฏครั้งนี้ด้วยหรือ” หลี่เยว่ซิงตะลึงงัน ไม่ต่างจากหลินเหวินซานและหลินซือหาน ก่อนมาที่นี่ พวกเขาปิดบังชื่อแซ่ไว้ดีแล้ว ไม่นึกว่าคุณชายไร้นามผู้นี้จะล่วงรู้ความลับจนได้ “หึ! พวกเจ้าไม่ต้องตกใจ ผู้ที่มาที่หอนี้ได้ ย่อมต้องเป็นคนที่ข้ารู้จักจนกระจ่างแล้ว” หลี่หยางเฉิงภายในคราบคุณชายหอพันธนาการเอ่ยขึ้น “หึ! สมกับเป็นโรงประมูลอันดับหนึ่งของยุทธภพ” หลี่เย
“แล้วเหตุใดฉู่อ๋องต้องอยากพบท่านอ๋องด้วยเล่า” “หากให้ข้าคาดเดาความคิดของหลินเหวินซาน ตาเฒ่านั่นคงบอกเรื่องราวทั้งหมดในอดีตกับฉู่อ๋อง เพื่อให้เขาร่วมในแผนการครั้งนี้ด้วย อย่างไรเสียหากฉู่อ๋องยอมเข้าร่วม การก่อกบฏครั้งนี้ก็สำเร็จได้ง่ายขึ้น จวนอ๋องมีทหารในมือไม่น้อย หลี่เยว่ซิงรักกุ้ยเฟยเพียงนั้น เขาไม่มีวันปล่อยให้แม่ตัวเองถูกประหารแน่” หลี่หยางเฉิงอธิบายทุกอย่างให้ซูอวี้หนิงฟังโดยไม่ปิดบัง หญิงสาวมีท่าทีกลัดกลุ้ม นางไม่อยากเห็นบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสหายตั้งแต่วัยเด็กจะต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ หลี่หยางเฉิงราวกับอ่านใจนางออก จึงเอ่ยกับนางด้วยแววตาจริงจัง “เจ้าวางใจเถอะ หากเขาไม่มีเจตนาคิดก่อการกบฏข้าจะไม่ยื่นดาบให้เขาแน่ อย่างไรฉู่อ๋องก็เป็นน้องชายของข้า ข้าไม่คิดอยากให้เขาตายเช่นกัน” ซูอวี้หนิงนิ่งงัน นางหันมาจ้องมองหลี่หยางเฉิงด้วยแววตาสับสนอีกครั้ง เดิมทีหญิงสาวนึกว่าฉินอ๋องจะอาคาดมาดร้าย เห็นคนของตระกูลหลินเป็นศัตรูเสียหมด ยิ่งฉู่อ๋องที่เป็นโอรสของกุ้ยเฟยแล้วคงยิ่งหนีไม่พ้นไฟแค้นของคนตรงหน้านางแน่ ทว่าวันนี้นางกลับไ
ซูอวี้หนิงเปิดม่านรถม้าเข้ามา ร่างบางกลับต้องหยุดชะงัก เมื่อด้านในกลับมีหลี่หยางเฉิงนั่งรอนางด้วยสายตาอ้อนวอนอยู่ ฉินอ๋องเมื่อเห็นพระชายาของตน แววตาที่เคยเยือกเย็น กลับแปลเปลี่ยนเป็นน่าเวทนาในทันที “หนิงเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้า” ยังไม่ทันให้นางเอ่ยสิ่งใด บุรุษแสนเย็นชาก็สวมบทบาทผู้ถูกทอดทิ้งในทันที ซูอวี้หนิงไม่เอ่ยอันใด มีเพียงแววตาที่ไหวระริกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้างามจะกลับมานิ่งสงบอีกครั้ง “ท่านอ๋องมาหาหม่อมฉันทำไมกัน ไม่ใช่ว่าตอนนี้พระองค์ต้องวุ่นวายอยู่ที่หอพันธะสัญญาหรอกหรือ” ร่างบางเอ่ยพลางนั่งลงตรงข้ามเขา ก่อนที่รถม้าจะเริ่มเคลื่อนออกจากจวนตระกูลซู เรื่องของฉินอ๋องแม้นางไม่อยากรับรู้ ทว่าบุรุษตรงหน้ากลับยังส่งจ้าวหาน หรือไม่ก็เจียงเฟิงมารายงานเรื่องของตนให้นางรับรู้หลังมื้ออาหารทุกวัน นางที่เพียงจากมาแค่วันเดียว กลับต้องรับรู้เรื่องของเขามากกว่าหกเดือนที่แต่งเข้าจวนอ๋องเสียอีก หลี่หยางเฉิงยังไม่ยอมแพ้ แววตาแสนอ้อนวอนยังจับจ้องที่นาง ก่อนที่มือแกร่งจะยื่นแมวขาวขนปุยให้กับอีกฝ่าย “ข้า
หลังจากอวี้หนิงกลับเข้าจวนจวิ้นอ๋องได้เพียงวันเดียว จวนตระกูลซูก็ส่งคนมาเชิญนางกลับจวน เป็นซูจิ้งซวนมีเรื่องจะบอกกล่าวนาง คราแรกฮูหยินผู้เฒ่าที่รู้เรื่องราวของกู้เผยอี้และหลินอี้หลันจากปากหลานสาว ไม่ยอมให้หลานสาวกลับไป เป็นเหรินชิงหยูที่ออกปากแทนอวี้หนิง อย่างไรเรื่องนี้ควรให้นางจัดการด้วยตนเอง แต่หากนางอยากให้เขาที่เป็นท่านตาช่วย ทั้งตระกูลเหรินก็พร้อมจะเหยียบย่ำตระกูลซูให้จมดิน หน้าจวน ซูอวี้หนิงพบกับกู้เผยอี้ที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน เท่านี้นางก็พอคาดเดาได้ว่าบิดาต้องการพบนางด้วยเรื่องใด “พระชายา” กู้เผยอี้ค้อมกายทักทายนาง อวี้หนิงพยักหน้า ก่อนเอ่ยกับอีกฝ่าย “ท่านเองก็ถูกท่านพ่อเรียกมาใช่หรือไม่” กู้เผยอี้พยักหน้ารับ ก่อนคาดเดาความคิดของบิดาที่ไม่เคยเลี้ยงดู “เกรงว่าเขาคงกลัวตระกูลเหรินจะคิดบัญชี เลยให้ท่านช่วยออกหน้าแน่” อวี้หนิงเองก็มีความคิดไม่ต่างกัน ก่อนจะเดินนำพี่ชายที่ตนเองเพิ่งรู้จักได้เพียงสามวันเข้าไปในจวนซู ภายในเรือนรับรอง ซูจิ้งซวนและฮูหยินเฒ่าซูนั่งรออยู่แล้ว แววตาที่พวก
หลี่หยางเฉิงเร่งออกจากหอพันธสัญญาทันทีเมื่อได้รับรายงานจากจ้าวหาน ว่าผู้อาวุโสฟู่อยู่ที่จวนอ๋อง ทั้งที่ก่อนหน้าผู้เป็นตาบอกกับตนว่าจะกลับเขาอู่ถงเพื่อเตรียมการขั้นสุดท้าย เห็นได้ชัดว่าซูอวี้หนิงคือเป้าหมายของผู้เป็นตาอยู่ก่อนแล้ว หน้าหอพันธสัญญายังไม่ทันให้หลี่หยางเฉิงขึ้นม้าจากไป รถม้าติดตราประทับของหอพันธสัญญาก็หยุดเทียบกับม้าของเขาพอดี “หากนางไม่ฟังข้า ข้าจะคิดบัญชีกับท่านแน่” น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยกับผู้ที่อยู่ในรถม้า ก่อนม้าสีนิลจะตะบึงห้อออกไปราวพายุ หยางเฉิงกลับถึงจวน แสงสุดท้ายของวันก็เกือบหมดไปแล้ว ร่างแกร่งตรงไปยังเรือนชิงหลัวในทันที ประตูเรือนถูกผลักออก เผยให้เห็นร่างของซูอวี้หนิงที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงยาว โดยมีเจ้าชิงชิง แมวขนปุยนอนขดอยู่บนตัก “หนิงเอ๋อร์” เสียงร้อนรนพร้อมร่างแกร่งตรงมายังนาง เรียกสติของเจ้าของชื่อกลับมาได้ทันที ซูอวี้หนิงจ้องมองบุรุษที่ตรงมายังนาง ใบหน้าที่คุ้นเคยนี้กลับทำให้นางรู้สึกว่าตนไม่รู้จักเขาแม้แต่น้อย หลี่หยางเฉิงร่างกายแข็งทื่อ เมื่อแววตาที่นางมองมายังเขาเ
เมื่อหลินอี้หลันจากไป อวี้หนิงจึงได้เอ่ยถามองครักษ์ข้างกาย “เรื่องนี้ท่านอ๋องรู้อยู่ก่อนใช่หรือไม่” จ้าวหานไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร จึงได้เอ่ยตามความจริง “พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่มีหลักฐานเพียงพอเอาผิดหลินอี้เหนียงได้ ท่านอ๋องจึงจำต้องให้พระชายาและใต้เท้าหลางหลานจิ้นได้ยินด้วยตนเอง” จ้าวหานเอ่ยพลางมองไปยังห้องคุมขังนักโทษอีกห้อง ที่มีชายชรานั่งจิบชาอยู่ ด้านข้างมีบุรุษอีกผู้กำลังบันทึกบางอย่างอยู่ อวี้หนิงมองตามสายตานั้นของจ้าวหาน นางจดจำใบหน้าบุรุษในห้องขังนั่นได้ เขาคือเจ้ากรมอาญาหลางหลานจิ้น หลางหลานจิ้นมองเห็นพระชายาฉินอ๋องเช่นกัน เขาลุกขึ้นค้อมกายคำนับนาง อวี้หนิงเพียงพยักหน้าเป็นการตอบรับ ก่อนนางจะกลับมาจมอยู่กับความคิดของตนอีกครั้ง ในหัวนางมีแต่เรื่องของหลี่หยางเฉิง เขาช่างกุมความลับไว้มากมาย แลทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่นางไม่อาจคาดเดา แม้เรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับนางเช่นนี้ เขาที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีก็ยังไม่ยอมปริปากบอกนางเลยสักครั้ง พลันภายในใจก็เจ็บปวดอยู่หลายส่วน จ้าวหานเห็นนางเงียบไป







