Share

บทที่ 7

“เป็นอะไรไปเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

โจวเฉิงจวินพูดออกมาด้วยท่าทางที่ทำตัวไม่ถูก ทั้งยังยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างเงอะงะ

เมื่อจี้เสี่ยวชุ่ยได้เห็นท่าทีเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ทำให้โจวเฉิงจวินชะงักและจดจำรอยยิ้มนั้นเอาไว้ในหัวใจ หลังจากที่ผ่านไปนานพอสมควร เขาถึงได้เข้าใจว่าตนเองให้นางเข้ามาอยู่ในหัวใจจริง ๆ เสียแล้ว

บนถนนมีผู้คนสัญจรไปมา เมื่อเดินผ่านพวกเขาก็มักมองมาด้วยความสงสัย สายตานั้นคล้ายดั่งมองคนปัญญาอ่อนก็ไม่ปาน จี้เสี่ยวชุ่ยหน้าแดงด้วยความเขินอายเล็กน้อย เมื่อครู่อยู่ ๆ เธอเกิดคิดถึงคุณปู่ขึ้นมา แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ก็คงยังไม่สามารถกลับไปได้ในเร็ว ๆ นี้แน่ ต่อให้ร้อนรนใจก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ มิสู้ตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี ๆ แล้วหาหนทางอื่นว่ายังพอมีวิธีการใดบ้างที่ทำให้สามารถกลับไปได้

“อยู่ ๆ ข้าก็แค่คิดถึงเรื่องที่อาสะใภ้ทำเรื่องไม่ดีกับตนเองเท่านั้น” ถึงแม้มันจะไม่ใช่แบบนั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้ากับสถานการณ์ในขณะนี้ที่สุด

โจวเฉิงจวินกัดเม้มริมฝีปาก นัยน์ตามีความเจ็บปวดปรากฏขึ้นมา นับจากวันนี้ไปเขาไม่มีทางยอมให้คนอื่นมีโอกาสได้รังแกนางเป็นแน่ เขาจะต้องปกป้องนางให้ดี

ซาลาเปาในยุคโบราณค่อนข้างคุ้มค่า ซาลาเปาเนื้อแค่ลูกเดียวก็เทียบได้กับสมัยใหม่ถึงสองลูก ทั้งยังมีราคาถูกอีกด้วย หลังจากจี้เสี่ยวชุ่ยกินซาลาเปาเสร็จ ความเสียใจทั้งหมดก็หายไป เมื่อเห็นว่าในมือของโจวเฉิงจวินไม่มีซาลาเปาหลงเหลือ นางจึงเอ่ยถาม “ท่านกินหรือยัง?”

โจวเฉิงจวินส่ายหน้า “ข้ายังไม่หิว”

ในเวลาปกติเขาก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่ออกจากเรือนมาขายของในเมือง อย่างมากซื้อของใช้อีกเล็กน้อยก็กลับแล้ว น้อยครั้งที่จะอะไรมากินที่นี่ เพราะต่อให้เป็นหมั่นโถวที่ราคาถูกที่สุดก็ยังต้องซื้อในราคาชิ้นละหนึ่งอีแปะ สถานการณ์ของครอบครัวในขณะนี้ เขาประหยัดได้ก็ต้องประหยัด

จี้เสี่ยวชุ่ยมองดวงอาทิตย์ที่ลอยสูงอยู่บนฟ้า เกรงว่าตอนนี้คงจะสายมากแล้ว นางเองก็รู้จักนิสัยของเขาดีก็เลยไปที่ร้านขายซาลาเปาใกล้ ๆ โดยไม่ได้สนใจเขา คนขายเป็นหญิงมีอายุที่แต่งงานแล้ว แต่ก็ฝีมือไม่เลว ซาลาเปาที่นางทำค่อนข้างอร่อยเลยทีเดียว

“ท่านป้า ซาลาเปาของท่านขายลูกละเท่าไรเจ้าคะ” จี้เสี่ยวชุ่ยถามพลางยิ้มจนตาเป็นสระอิ ทำให้คนเห็นรู้สึกเอ็นดูอย่างยิ่ง

“ซาลาเปาลูกละสองอีแปะ”

ซึ่งในขณะนี้โจวเฉิงจวินก็เดาออกว่าจี้เสี่ยวชุ่ยจะต้องซื้อซาลาเปาให้ตนเองแน่ จึงรีบยกมือขึ้นห้าม “ข้าไม่หิว!”

แต่จี้เสี่ยวชุ่ยก็ไม่สนใจเขา แค่ยกนิ้วขึ้นสี่นิ้ว “รบกวนท่านป้าห่อไส้เนื้อให้ข้าสี่ลูกก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

เมื่อโจวเฉิงจวินเห็นว่าห้ามอีกฝ่ายไม่ได้ ก็เลือกที่จะยอมอ่อนข้อแทน “ไม่เอาไส้เนื้อ เอาหมั่นโถวสี่ลูกก็พอ”

“ไม่ต้องไปสนใจเขา ท่านป้า นี่เป็นเงินค่าซาลาเปาเจ้าคะ” จี้เสี่ยวชุ่ยว่าแล้วล้วงเอาเงินออกมาแปดอีแปะแล้ววางไว้ในมือของป้าแก่ ท่านป้าคนนั้นมองพวกเขาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา

“สามีภรรยาคู่นี้ ก่อนหน้านี้เจ้าหนุ่มคนนั้นตัดใจกินไม่ได้แต่กลับซื้อไปให้เจ้า ตอนนี้เจ้ากลับสงสารเขาก็เลยมาซื้อให้เขา ดี ดีจริง ๆ !” ท่านป้าคนนั้นว่าพลางมองพวกเขาทั้งสองที่โต้เถียงกันแล้วยกยิ้มหัวเราะ

เมื่อจี้เสี่ยวชุ่ยได้ยินก็หน้าแดงขึ้นมาทันที สามีภรรยาอะไรกัน ถึงแม้ว่าปัจจุบันนางว่าจะอยู่ในนามภรรยาของเขา...

ทางฝั่งของโจวเฉิงจวินที่ได้ยินก็ไม่ได้ปฏิเสธ หัวเราะรับคำไปเท่านั้น มันยิ่งทำให้จี้เสี่ยวชุ่ยไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จึงดึงมือของโจวเฉิงจวินออกมาทันที พอเดินออกมาไกลแต่เห็นว่าใบหน้าของโจวเฉิงจวินยังเปื้อนยิ้มดังเดิม นางก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

“ท่านไม่กินซาลาเปาแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะได้เอาให้คนอื่น”

โจวเฉิงจวินรู้ว่าอีกฝ่ายขี้อาย จึงรับซาลาเปาจากอีกฝ่ายมาแล้วกัดกินข้างแก้ม ขยับปากเคี้ยวพลางพูดออกมาอย่างไม่ชัดเจนเท่าใด “มันเป็นถึงสิ่งที่น้องหญิงซื้อให้ด้วยความเป็นห่วง ถ้าไม่กินจะไม่เป็นการทำให้น้องหญิงเสียน้ำใจหรือ?”

จี้เสี่ยวชุ่ยถลึงตามองอีกฝ่าย เจ้าคนนี้ ไหนบอกว่าซื่อบื้อพูดน้อยไม่ใช่หรือไร? ทำไมตอนนี้ถึงได้ดื้อขึ้นมาล่ะ?

โจวเฉิงจวินรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดใจ ถึงขั้นรู้สึกว่ารสชาติของซาลาเปาที่อยู่ในปากช่างเลิศรส! แต่ถึงกระนั้น หลังจากที่เขากินซาลาเปาลูกนั้นเสร็จก็เก็บที่เหลือเอาไว้

“ไม่อร่อยหรือ?” จี้เสี่ยวชุ่ยกินได้น้อย แต่นางก็ได้เห็นโจวเฉิงจวินกินข้าวมาแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายต้องกินมากกว่านี้ถึงจะถูก

โจวเฉิงจวินห่อซาลาเปาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง “อร่อย แต่พวกนี้ก็ยังเอาไปให้เฉิงเจี๋ยเฉิงหย่ากินได้”

จี้เสี่ยวชุ่ยชะงักไป แม้ว่าโจวเฉิงจวินจะไว้หนวด แต่เดิมก็อายุแค่ยี่สิบสองปีเท่านั้น แต่เพราะเรื่องราวหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับเรือนในช่วงหลายปีมานี้ก็ทำให้เขาต้องครุ่นคิดในทุก ๆ ด้าน แม้จะเป็นซาลาเปาราคาลูกละสองอีแปะก็ยังไม่กล้ากินเพิ่มแม้แต่ลูกเดียว ยิ่งคิดเช่นนี้จี้เสี่ยวชุ่ยก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจ คว้าเอาซาลาเปามาไว้ในมืออย่างฉับพลัน มีน้ำเอ่อนองในเบ้าตา จับจ้องโจวเฉิงจวินด้วยแววตาที่ดุดัน

“ท่านเป็นเสาหลักของครอบครัว ถ้าหากท่านล้ม ครอบครัวก็จะล้มไปด้วย ดังนั้นท่านจะต้องกินเยอะ ๆ ถ้าหากเงินหมดก็ยังไปหาใหม่ได้ แต่ถ้าหากท่านหิวจนเป็นอะไรไปละก็ เมื่อถึงยามนั้นแม้แต่เงินก็ช่วยไม่ได้”

ถึงแม้จี้เสี่ยวชุ่ยจะมีท่าทีที่ใจร้าย แต่โจวเฉิงจวินกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ถาโถมในหัวใจ ไม่มีคนเป็นห่วงเขาแบบนี้มานานมากแล้ว เมื่อยามอยู่ในที่เรือน เพราะผู้เป็นพ่อกับสองต่างก็เจอปัญหา พวกนั้นก็เลยเอาแต่สนใจทั้งสองคน แม้แต่ผู้เป็นแม่ก็ยังไม่ทันได้สังเกตถึงเรื่องพวกนี้ แต่ด้วยความที่เขาโตแล้วก็เลยไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ แต่ขณะนี้เขากลับรู้สึกดีขึ้นมา ชอบที่ได้รับความเอาใจใส่จากเสี่ยวชุ่ยอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นถนนที่มีคนสัญจรไปมา เขาเกรงว่าคงจะเข้าไปกอดนางเอาไว้แน่น ๆ อย่างควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว

โจวเฉิงจวินกินซาลาเปาที่เหลือจนหมดแล้วยิ้มให้กับจี้เสี่ยวชุ่ย จี้เสี่ยวชุ่ยถึงได้ส่งเสียงหึออกมาอย่างชอบใจ แล้วทั้งสองก็เดินไปที่ขายเนื้อหมู

ยามอยู่ที่ร้านเบ็ดเตล็ดก็ซื้อสิ่งของสัพเพเหระมากมายจนหมดเงินไปสองร้อยกว่าอีแปะ ตัดใจซื้อเนื้อติดมันไปห้าจินและสามชั้นอีกสองจิน เมื่อเถ้าแก่ที่ขายหมูเห็นว่านางซื้อไปค่อนข้างมากในครั้งเดียว ก็เอากระดูกใหญ่ให้อีกหลายชิ้น รวมถึงเครื่องในหมูอีกสองชุด

แต่ถึงกระนั้นก็ต้องใช้เงินไปหนึ่งร้อยกว่าอีแปะอยู่ดี จี้เสี่ยวชุ่ยนับเงินที่เหลือแล้วถามโจวเฉิงจวิน เมื่อรู้ว่าในช่วงบ่ายจะมีเกวียนมารับคนของหมู่บ้านต้าถาวโดยเฉพาะ จี้เสี่ยวชุ่ยก็เลยรู้สึกดีใจเพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะซื้อประเภทเส้นหรือแป้งพวกนั้นกลับไปได้ คิดแล้วก็ดึงโจวเฉิงจวินไปยังร้านเบ็ดเตล็ดเมื่อครู่อีกครั้ง หลังจากถามราคาให้ชัดเจน จี้เสี่ยวชุ่ยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเงินนี้มีบางส่วนเป็นของโจวเฉิงจวินกับโจวเฉิงเจี๋ย!

ด้วยเหตุนี้จึงถามกับโจวเฉิงจวินด้วยจิตใจที่ไม่สงบ แต่ใครจะคิดว่าคนที่ไม่อาจตัดใจซื้อซาลาเปาราคาลูกละสองอีแปะกลับเป็นคนที่ค่อนข้างใจกว้าง บอกว่านางเป็นนายหญิงของเรือน อยากจะใช้เงินอย่างไรก็ใช้ได้ตามใจ อีกอย่างเงินพวกนี้ก็ใช้ไปกับสิ่งของที่ถูกที่ควร ฉะนั้นเขาไม่มีข้อข้องใจอยู่แล้ว

จี้เสี่ยวชุ่ยรู้สึกหน้าแห้งผาก นายหญิงอะไรกัน วันข้างหน้านางจะต้องกลับไป แต่ถึงอย่างไรการที่ยกให้นางเป็นคนจัดการเรื่องการเงินเช่นนี้ก็ดี เพราะหากกลับเรือนแล้วเอาให้อาสะใภ้โจวหมดละก็ เกรงว่าต่อให้อยากกินของพวกนี้ก็คงจะยาก

เพราะฉะนั้นในช่วงบ่ายนี้จี้เสี่ยวชุ่ยก็ใช้เงินไปราวหนึ่งตำลึงห้าเฉียน ทำให้เหลือเพียงร้อยกว่าอีแปะเท่านั้น

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status