เมื่อถึงช่วงบ่ายในยามเซิน ผู้คนในเมืองต่างก็เริ่มแยกย้ายกันไป เมื่อจี้เสี่ยวชุ่ยกับโจวเฉิงจวินรีบไปถึงก็พบว่าบนเกวียนมีหญิงที่แต่งงานแล้วสองสามคน ด้านหน้าของพวกนางต่างก็มีตะกร้าวางอยู่บนละหนึ่งใบ ข้างในว่างเปล่าแต่กลับมีใบผักที่เหี่ยวเฉาพาดอยู่ที่ขอบตะกร้า เช่นนี้ก็รู้ได้เลยว่าพวกนางน่าจะมาเพื่อขายผักกาดเขียวส่วนพวกนางก็เห็นว่าจี้เสี่ยวชุ่ยถือตะกร้ามาหนึ่งใบ ใส่ของเอาไว้จนเต็ม มองผ่านช่องจากข้างนอกก็ยังรู้ได้ว่าข้างในมีกระดูกชิ้นใหญ่อยู่จนเต็ม ส่วนเครื่องในหมูก็ใช้เชือกมัดแล้วถือเอาไว้ แท้จริงแล้วเนื้อที่อยู่ข้างในต่างก็โดนบังเอาไว้ทั้งหมด ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น เมื่อเทียบกันแล้วข้าวและเส้นหมี่ที่โจวเฉิงจวินแบกเอาไว้ก็ค่อนข้างเป็นที่สะดุดตา แต่ก็เอาใส่ถุงมัดอย่างดีจนมองไม่ออกว่ามันคืออะไร“แหม~ นี่พวกเจ้าร่ำรวยแล้วหรือสหายเฉิงจวิน? ถึงได้ซื้อของมากมายขนาดนี้?” คนที่นั่งอยู่ข้างในเป็นหญิงแต่งงานแล้วอายุราวสามสิบปีชื่อว่าเซียงเหนียง แท้จริงแล้วอายุสามสิบปีก็ไม่ได้แก่เท่าใด เพียงแต่ทำงานมาเป็นเวลานาน ทำให้ดูมีอายุมากกว่าอายุจริงไม่น้อย พอเห็นของในมือพวกเขาก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนอยู่บ้าง“
“ท่านแม่ พวกนี้ล้วนแต่เป็นอาหารที่เสี่ยวชุ่ยลำบากขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรแลกมานะขอรับ”โจวเฉิงจวินขมวดคิ้ว เมื่อก่อนหากแม่ของเขาทำตัวเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ถ้าหากทำกับจี้เสี่ยวชุ่ยละก็ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจเท่าใดนัก แม้แต่น้ำเสียงที่พูดออกไปก็ยังแฝงไปด้วยความเย็นชา ทว่าในขณะนี้อาสะใภ้โจวกำลังโกรธ ไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของเขาแต่กลับใช้เสียงที่ดังกว่าเดิมในการตะคอกพวกเขา“ลำบากไม่ลำบากอะไรกัน เข้าในบ้านตระกูลโจวแล้วคิดจะแบ่งแยกคนนั้นคนนี้หรือ?”“ฮ่วนเหนียง มันเป็นสิ่งที่เสี่ยวชุ่ยลำบากไปแลกมา อีกอย่างนางก็ไม่ได้ซื้ออะไรให้ตัวเอง ที่ซื้อมาก็มีแต่ของกินในบ้านทั้งนั้น!” โจวไฉทนมองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วางของในมือลงแล้วพูดออกมาเสียงเข้มฮ่วนเหนียงกลายเป็นคนที่ไร้เหตุผลขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เกรงว่าคงจะหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับบ้านสินะ!โจวไฉถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง ล้วนแต่เป็นเพราะเขาไร้ความสามารถ มิฉะนั้นภาระในชีวิตประจำวันก็คงไม่ตกเป็นหน้าที่ของพวกเขา ทำให้ฮ่วนเหนียงกลายเป็นคนเช่นนี้ไป เงินหนึ่งอีแปะยังคิดจะแบ่งมาใช้เหมือนเงินสองอีแปะอู๋ฮ่วนเหนียงก็คืออาสะใภ้โจว
ในยามโหย่วของหมู่บ้านต้าถาวสวยงามพร่างพรายอย่างยิ่ง ทั้งผืนฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงส้มเมื่อแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่อง ชาวบ้านที่ไปดูแลพืชไร่เกษตรต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ให้ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยได้พักแล้วรับประทานอาหารซึ่งในขณะนี้บ้านตระกูลโจวก็ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอาหารที่หอมฟุ้ง เมื่อมองอาหารที่รูปรสกลิ่นสีครบครัน แม้แต่คนปากร้ายอย่างอู๋ฮ่วนเหนียงก็ยังถลึงตามองโต ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น มันเป็นสิ่งที่เด็กตัวเหม็นเสี่ยวชุ่ยทำจริงหรือ?เวลายังไม่มืดนัก คนของตระกูลโจวต่างก็ยกโต๊ะเก้าอี้ออกมากินข้าวที่ลานบ้าน เป็นที่พอใจอย่างมากโจวไฉนั่งที่หัวโต๊ะ มองอาหารตรงหน้าด้วยแววตาที่มีความประหลาดใจปรากฏคิดถึงยามที่ตนเองอยู่ในสถานที่ที่ร่ำรวยเงินทองแห่งหนึ่ง ได้กินอาหารชั้นดีไม่น้อย แต่อาหารที่อยู่เบื้องหน้าในขณะนี้กลับเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นเลยสักอย่าง ถึงแม้จะยังไม่ได้ลองชิมอาหารตรงหน้า แต่เพียงแค่ได้เห็นก็รู้ว่าจะต้องไม่แย่เป็นแน่“พี่สะใภ้ใหญ่ท่านเก่งเกินไปแล้ว ข้าโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยได้กลิ่นอาหารที่หอมขนาดนี้มาก่อน!” โจวเฉิงเจี๋ยก็เป็นคนที่รักในการกินเช่นกัน เมื่อได้เห็นอาหารที่มากมายเช่
ภายในลานบ้าน จี้เสี่ยวชุ่ยและเสียวหย่ากำลังยุ่งจนมือเป็นระวิง โจวเฉิงเหรินที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องก็อดไม่ได้ที่จะเดินออกมา เมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังเดินไปมาไม่หยุด และง่วนอยู่กับการเก็บกวาดลาน ก็ลังเลอยู่นานถึงจะเดินเข้าไปหา“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านว่าข้าพอจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่?”ทันทีที่โจวเฉิงเหรินเอ่ยปากจี้เสี่ยวชุ่ยก็ผงะไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร โจวเฉิงหย่าก็พูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “พี่รอง ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่จัดการได้ ไม่ต้องให้ท่านช่วย หากท่านรู้สึกเบื่อก็ไปนั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนท่านพ่อทางด้านโน้นสักพักเถิด! เช่นนี้ภายหน้าหากท่านพี่สอบติดจอหงวนขึ้นมา ข้าก็จะได้กินดีอยู่ดีโดยไม่ต้องกังวลแล้ว”โจวเฉิงเหรินหันมองโจวเฉิงหย่าแล้วหัวเราะ “ก็ได้ พี่รองจะทำตามที่เสียวหย่าบอก” ขณะที่พูดอยู่นั้นก็เดินเข้าไปหาโจวไฉ แต่ความโดดเดี่ยวที่อยู่ในแววตาของเขากลับถูกจี้เสี่ยวชุ่ยจับสังเกตได้ โจวเฉิงเหรินผู้นี้อยากทำอะไรเพื่อครอบครัวบ้างจริง ๆ! ทำไมเสียวหย่าถึงไม่ยอมกันล่ะ?จี้เสี่ยวชุ่ยก้มหน้าแล้วถามออกมาเบาๆ ด้วยความสงสัย โจวเฉิงหย่าจึงได้อธิบายเหตุผลให้นางฟัง ที่แท้เป็นเพราะหลังจากโจวเฉิงเหรินล้มป่วย หมอ
อู๋ฮ่วนเหนียงรู้สึกโกรธในใจ อารมณ์ดีที่หาได้ยากพลันหายวับไปกับตา แม้แต่ความเร็วในการเดินกลับบ้านก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย ขณะผลักเปิดประตูบานใหญ่เตรียมจะระเบิดอารมณ์ กลับได้เห็นสภาพภายในลาน ทำให้ความโกรธนั้นระงับไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้มือไม้คล่องแคล่วไม่น้อย เมื่อคิดได้ดังนั้น อารมณ์ก็ดีขึ้นตามมาจนเมื่อได้เห็นโจวเฉิงจวินและโจวเฉิงเจี๋ยกำลังกวัดแกว่งสมุนไพรไปมา ก็ยิ่งไม่รู้ว่าความโกรธนั้นหายไปไหนหมด นี่มันเงินทั้งนั้นเลยนะแม้วิธีการเผาเช่นนี้จะทำให้นางรู้สึกเจ็บใจอยู่บ้าง แต่สมุนไพรนี้หากไม่ได้จี้เสี่ยวชุ่ย พวกนางเองก็คงไม่รู้จัก ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่นางพูดมาเมื่อวานก็ถูกต้อง อาหารที่กินในบ้านแย่เกินไปจริง ๆ ตอนนี้เมื่อได้เงินมาจำนวนหนึ่ง การบำรุงร่างกายก็ถือเป็นเรื่องสมควร“ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ทำอาหารได้อร่อยมากจริง ๆ” เมื่อโจวเฉิงหย่าเห็นอู๋ฮ่วนเหนียง ก็รีบวิ่งเข้ามาประจบประแจงอย่างน่าเอ็นดู“เจ้าแมวน้อยจอมตะกละ” อู๋ฮ่วนเหนียงลูบจมูกของนาง รู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย หากในตอนนั้นไม่เกิดเรื่องพวกนั้นขึ้นกับครอบครัว พวกเขาก็คงไม่ต้องหนีมาหลบภัยยังสถานที่ห่างไกลถึงเพียงนี้ เหนื่อยจน
หลังอาหารเย็น ม่านราตรีค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยลงมาจี้เสี่ยวชุ่ยกับคนตระกูลโจว ต่างกำลังจัดเรียงโกฐขี้แมวที่พวกโจวเฉิงจวินขุดกลับมาจากบนเขาเพราะจี้เสี่ยวชุ่ยเคยเตือนเอาไว้ก่อนหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าควรขุดโกฐขี้แมวเหล่านี้อย่างไร สมุนไพรที่ราคาแพงเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่ากำลังจะทำเสร็จ จี้เสี่ยวชุ่ยก็ยืดตัวขึ้น คิดจะยืดเส้นยืดสายสักหน่อย แต่กลับเหลือบไปเห็นร่างร่างหนึ่งที่อยู่นอกลาน สายตาคู่นั่นสบตากับนางเพียงแวบเดียวก็หันหลังวิ่งหนีไปทางหมู่บ้าน “เฮ้ย...” จี้เสี่ยวชุ่ยวิ่งตามออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อถึงด้านนอกกลับเห็นเพียงร่างผอมเพรียวสีเขียววิ่งหนีไป จี้เสี่ยวชุ่ยเพิ่งจะมาถึง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อหันหลังกลับไป โจวเฉิงจวินกับโจวเฉิงหย่าก็เดินออกมาแล้วนอกลานยังมีตะกร้าวางอยู่อีกหนึ่งใบ มองเห็นอย่างเลือนรางว่าด้านในบรรจุไข่ไก่อยู่สิบกว่าฟอง นี่คือของที่แม่นางคนนั้นส่งมาให้หรือ? แต่เมื่อเห็นสีหน้าของพวกโจวเฉิงจวินไม่ปรากฏความประหลาดใจแม้แต่น้อย ทำให้รู้ว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นมานานแล้วอย่างแน่นอน อีกทั้งพวกเขาเองก็รู้ว่าคนผู
เฉิงเหรินเจ้ามานั่งตรงนี้”ทันทีที่โจวเฉิงจวินเอ่ยปาก โจวเฉิงเหรินก็ผงะไป แม้จะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังนั่งลงอย่างเชื่อฟังจี้เสี่ยวชุ่ยนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่อีกด้าน และจับชีพจรของเขาอยู่นานสองนานทุกคนต่างวางงานในมือลงแล้วหันมองนาง แม้แต่สองสามีภรรยาโจวไฉเดินออกมาก็ต้องประหลาดใจ ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังเล็กน้อยเช่นกัน แม้พวกเขาเพิ่งตรวจรักษามาไม่กี่ที่ แต่ก็ยังวินิจฉัยผลลัพธ์ใด ๆ ออกมาไม่ได้ พวกเขายังจำได้ว่า เริ่มแรกที่โจวเฉิงเหรินหมดสติไปอย่างกะทันหัน เคยเชิญหมอเฒ่าคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้านมา หมอเฒ่าผู้นั้นพูดจาแปลกประหลาด วินิจฉัยออกมาได้เพียงว่าชีพจรของเขาอ่อนแอ ร่างกายว่างเปล่า ต้องการการบำรุงอย่างหนักและห้ามเหนื่อย ส่วนโรคนี้คือโรคอะไรนั้น เขากลับไม่ได้พูดออกมา บอกเพียงว่ากำลังสังเกตอาการดูอยู่เท่านั้นจนกระทั่งสุดท้ายก็ยังมีสภาพเช่นนี้ ต่อให้กินสมุนไพรบำรุงร่างกายไปจำนวนมากก็ยังไม่เป็นผล ภายหลังพวกเขายังเคยไปตรวจรักษาในตำบล ถึงขั้นที่ว่าเคยเดินทางไปตรวจรักษาในเมืองที่ไกลออกไป แต่ก็ไม่อาจวินิจฉัยผลออกมาได้ จึงทำได้เพียงห้ามไม่ให้เขาเหนื่อย ทำให้การเข้าไปเรียนในเมืองกลายเป็นปัญหา
หมู่บ้านเสี่ยวถาวอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านต้าถาวมากนัก จี้เสี่ยวชุ่ยที่พักผ่อนเต็มที่ก็เดินทางพลางชมทัศนียภาพพร้อมกับโจวเฉิงจวินอย่างมีความสุข ตั้งแต่ทำอะไรไม่ถูกตอนทะลุมิติมา จนกระทั่งถึงความสบายใจในตอนนี้จี้เสี่ยวชุ่ยมองดูถนนสีเขียวที่ปกคลุมด้วยพืชพรรณอันเขียวชอุ่มเบื้องหน้าก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง มาถึงหลายวันแล้วและไม่รู้สึกงุนงงอย่างเช่นก่อนหน้านี้อีก ส่วนอนาคตก็มีแผนการที่แน่นอนในมือของโจวเฉิงจวินถือของขวัญสำหรับกลับไปเยี่ยมบ้านที่อู๋ฮ่วนเหนียงเตรียมเอาไว้ให้ เมื่อเห็นว่าจี้เสี่ยวชุ่ยอารมณ์ดีไม่น้อย แม้แต่เขาเองก็รู้สึกดีขึ้นมาก เส้นทางสู่หมู่บ้านเสี่ยวเถาไม่ไกลนัก ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้วตอนที่พวกเขาใกล้จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก็สามารถมองเห็นคนในหมู่บ้านที่กำลังทำงานอยู่โดยรอบได้ เมื่อคนในหมู่บ้านเห็นจี้เสี่ยวชุ่ยต่างก็เอ่ยทักทาย “เสี่ยวชุ่ยพาลูกเขยคนใหม่กลับบ้านหรือ!”“ใช่แล้วลุงเจิ้ง ท่านยังสบายดีสินะ!” จี้เสี่ยวชุ่ยยิ้มเล็กน้อย ลุงเจิ้งผู้นั้นผงะไป เมื่อตั้งสติได้ก็หันไปยิ้มให้นาง จี้เสี่ยวชุ่ยคนเดิมมีนิสัยขี้อาย เมื่อพบกับคนในหมู่บ้านก็อาจทักทายเป็นบางครั้ง แต่