“อาด้วงออกไปทำงานแต่เช้าตลอดเลยนะครับ”
เสียงเด็กชายวัยมัธยมต้นกล่าวทักญาติคนสนิทที่แม้ตอนนี้หน้าปัดนาฬิกาจะบอกเวลาตีสี่สี่สิบห้า กระนั้นคุณอาชายที่แปะชื่อนายสถานีก็ยังขยันขันแข็งสะพายกระเป๋าเป้ใบเดิมคว้ากุญแจเตรียมออกจากบ้าน ทั้งเมื่อครู่พวกเขานั่งทานมื้อเช้าด้วยกันสามคน วางจานอาหารพร้อมกัน แต่เจ้าตัวกลับทานหมดคนแรกทั้งที่ข้าวพูนจานกว่าใครแท้ ๆ
คุณอาเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหลานชายจึงใช้ฝ่ามือสีน้ำผึ้งยีเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติกระเซิงด้วยความมันเขี้ยว
“แซวอาได้ทุกวันนะกันต์”
“ผมพูดจริงนี่ครับ อาด้วงไปแต่เช้าทุกวัน ทิ้งผมกับคุณพ่อให้กินข้าวต่อกันสองคน บางครั้งกันต์ก็อยากเดินออกจากบ้านพร้อมกันบ้างนะครับ”
กันต์ธีร์พูดไปอมข้าวไป กล่าวถึงพฤติกรรมอันไม่เป็นที่พอใจของตัวเขาสักเท่าไรนัก เนื่องจากเขาสนิทกับคุณอามากที่สุดในบ้าน แม้ทีแรกใคร ๆ จะบอกว่าอาด้วงน่ากลัวเพราะมีรอยบากที่หางคิ้ว ลำคอ จะมีฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลเก่า หรือแม้ยามปกติอีกฝ่ายจะชอบทำหน้านิ่งแต่ใครรู้ว่าแท้จริงเจ้าตัวจิตใจดี ทั้งยังชอบพาเขาทำกิจกรรมสนุก ๆ อีกต่างหาก ใครจะว่าก็ว่าเถอะ แต่อาด้วงน่ะใจดีที่สุดในโลก!
“กันต์ อย่าพูดไปกินไป”
เสียงเข้มกล่าวขึ้นพร้อมหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่พับลงเผยให้เห็นใบหน้าคมเรียบนิ่งลอนผมสั้นหยักศกสีน้ำตาลธรรมชาติและร่างกายสูงใหญ่ภายใต้เครื่องแบบตำรวจสีกากีภูมิฐาน เพียงตวัดหางตามองผู้เป็นลูกชายช่างจ้อเพียงเสี้ยววินาทีเด็กน้อยก็สงบเสงี่ยมกลับมาตั้งใจกินข้าวต่อ
“พี่ไกร กันต์เขากลืนข้าวลงท้องหมดแล้ว ทำไมจะพูดไม่ได้”
“จริง ๆ เลย พี่แค่เตือนไว้ เวลาออกสังคมจะได้ไม่เผลอ”
“เห็นแก่ภาพลักษณ์เกินไปแล้ว”
คุณอานายสถานีเข้าข้างหลานชายเต็มรูปแบบเข้าคล้องคอกอดปลอบเด็กน้อยที่เคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ พี่ไกรวิชญ์ก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอด คงเพราะถูกเลี้ยงดูมาจากบิดาซึ่งเคยเป็นอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยิ่งครอบครองนามสกุล ‘ก้องภัชรกุล’ ซึ่งสืบตำแหน่งหน้าที่ในวงการราชการมานานมากกว่าแปดสิบปี ยิ่งต้องเคร่งในกิริยาประเพณี ซ้ำยังต้องเก่งรอบด้านตำราก็ได้ วิชาต่อสู้ก็ต้องดี กระนั้นหากสบโอกาสเขาก็จะแอบพาหลานรักตะลอนขึ้นรถไฟเที่ยวหนีหน้าบูด ๆ ของพ่อเจ้าตัวอยู่ดี
นายตำรวจคล้ายว่าจะเอือมระอากับนิสัยรักอิสระของน้องชายบุญธรรมคนนี้ แม้จะอยากตำหนิติเตียนก็คงต้องกลืนคำพูดพวกนั้นลงไป เพราะถึงจะพูดเช่นไรก็คงจะฟังหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ร่ำไป
พี่ไกรวิชญ์ถือเป็นตำรวจน้ำดีที่ใคร ๆ ในแถบนี้ก็ต่างรู้จัก ทั้งยังเป็นที่ถูกใจของสาวน้อยสาวใหญ่แม้เจ้าตัวจะมีลูกอายุสิบสามปีแล้วก็ตาม ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา ลอนผมสั้นหยักศกเป็นลอนสีน้ำตาลธรรมชาติหาได้ยาก และเครื่องหน้าที่จัดได้ว่าสมบูรณ์แบบ นี่ยังไม่รวมไปถึงอาชีพสายตำรวจซึ่งเป็นที่น่าเคารพนับถือ
“เฮ้อ...”
เมื่อคุณพ่อถอนหายใจและยกมุมปากขึ้นเล็ก ๆ นั่นจึงเป็นสัญญาณถึงชัยชนะของสองอาหลานที่เถียงเจ้าของบ้านได้สำเร็จ
กันต์ธีร์เนื่องจากพูดขณะเคี้ยวอาหารไม่ได้จึงยกมือโบกส่งคุณอาไปทำงาน แน่นอนว่าคนในชุดราชการต้องโบกมือกลับ ก่อนจะรีบสาวเดินลงบันไดจากระเบียงหน้าบ้านชั้นสองลงมาผ่านสวนขนาดเล็กพลางล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงกะจะหยิบกุญแจ ทว่ามันกลับไม่มี สงสัยเขาจะเผลอวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะกินข้าวเมื่อตอนหยอกล้อกับหลานชาย
บ้านหลังนี้เป็นเรือนเศวตสองชั้นสีขาวสะอาดตาตั้งติดริมแม่น้ำ แม้จะมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงและอยู่ใจกลางพระนครแต่เพราะมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบจึงให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแก่ผู้อาศัย ชั้นแรกประกอบไปด้วยห้องโถงรับแขก ตู้เก็บของสะสมของคุณพ่อ ตู้หนังสือและครัวไฟท้ายบ้าน มีบันไดเชื่อมต่อจากหน้าเรือนขึ้นไปเป็นพื้นที่เฉพาะคนในครอบครัว
นายสถานีคิดจะวกกลับขึ้นไปเอา แต่เมื่อมองไปยังหน้าบันไดกลับเห็นพี่ชายเดินลงมาพร้อมชูพวงกุญแจจี้ห้อยหนังรูปวัวสลักสีน้ำตาล
“เพราะมัวแต่ติดเล่น เลยลืมแบบนี้ไง”
“หาเรื่องดุคนอื่นเก่งจริง ๆ”
“เราก็บ่นเก่งจริง ๆ”
ผู้เป็นน้องชายรีบคว้าพวงกุญแจมาก่อนจะมองค้อนคนแก่กว่าไปที บ่นลูกแล้วยังจะพาลมาบ่นเขาด้วย สงสัยที่สถานีตำรวจลูกน้องภายใต้การดูแลคงหูชาไปหมดแล้วกระมัง มีหัวหน้าขี้จุกจิกปานนี้
ด้วงหันมาให้ความสนใจกับการหาลูกกุญแจสำหรับไขประตูใหญ่ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยนึกว่าเจ้าพี่จะขึ้นบ้านไปทานอาหารต่อแล้ว
“ด้วง นี่ก็จะครบสิบปีแล้ว พี่ว่าเราเลิกทำแบบนี้เถอะ”
“…”
เจ้าของชื่อหยุดการกระทำทุกอย่าง หลังจากเสียงปลดแม่กุญแจ สีหน้าท่าทางเรียบนิ่งก่อนจะหันมาสบตานายตำรวจ ด้วยใบหน้าปนเศร้า เขารอมาสิบปีแล้ว รอไปอีกสักปีสองปีจะเป็นไรเล่า
“ผมมีเป้าหมายของผม พี่ก็รู้ว่าที่ผมขอคุณพ่อมาทำอาชีพนี้ก็เพราะอะไร”
“แต่สิบปี ป่านนี้คนคนนั้นเขาคง-
“พี่กำลังบั่นทอนความตั้งใจของผมอยู่นะครับ”
“พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะด้วง แต่แบบนี้มันไม่ดีต่อเรา ออกเช้ากลับดึกทุกวันแบบนี้เราจะเอาเวลาไหนมาพักผ่อน”
“มันดีแล้วครับ แล้วแผลที่ได้มาเมื่อวาน ผมอุตส่าห์ตั้งใจทายาให้ วันนี้ก็อย่าพึ่งไปซ้อมนะครับ”
น้องชายต่างสายเลือดเลือกที่จะตัดบทสนทนา รีบเปิดรั้วไม้แทรกตัวออกไปโดยไม่สนว่าเจ้าของบ้านจะกล่าวสิ่งใดต่อ
เจ้าตัวมักจะชอบเปรียบมวยกับเพื่อนและกลับมาพร้อมแผลที่ข้อนิ้วอยู่เป็นประจำ จึงเป็นหน้าที่ของน้องชายเพียงคนเดียวที่ต้องคอยช่วยเหลือ เพราะเหลือมือเดียวทำแผลเองคงไม่สะดวกนัก
ไกรวิชญ์มองบานรั้วไม้สีขาวค่อย ๆ แง้มปิดลงด้วยความมัวหมอง น้องชายเขาเป็นแบบนี้นับสิบปี ตื่นแต่เช้าตลอดทุกวัน ก้าวขาออกจากบ้านเป็นคนแรกทุกวัน ไปนั่งเฝ้ามองหาคนที่รักอยู่ทุกวัน
‘ผมแอบชอบใครคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาคงอยู่ในที่ไกลแสนไกล’
‘ผมคาดหวังว่าเขาจะกลับมาในสักวันหนึ่ง’
‘มันอาจเป็นเหตุผลที่ไร้สาระ แต่พี่ไกรช่วยผมคุยกับคุณพ่อให้ท่านอนุญาตผมเรียนช่างกลได้ไหม’
คนคนนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้น้องชายเขาเข้ามาอ้อนวอนขอร้องให้พี่ชายช่วยคุยกับบิดาแท้ ๆ ผู้หญิงคนนั้นมีความสำคัญต่อใจถึงขนาดเจ้าตัวยอมแลกเวลาหลายสิบปีเพื่อปักหลักอยู่สถานีตลอดหลายสิบชั่วโมงต่อวัน โดยคิดว่าใครคนนั้นจะกลับมาให้เห็นหน้า
แน่นอนว่าหากเขาไม่เห็นด้วยแต่แรก เจ้าตัวคงไม่ได้ใส่เครื่องแบบสีกากีพร้อมหมวกหม้อน้ำตาลประดับเครื่องหมายกรมรถไฟเช่นนี้
แต่หากถามว่าเขาเต็มใจกับมันรึเปล่า คำตอบคือคำว่า ‘ไม่’
เขาไม่ได้รังเกียจอาชีพการรถไฟ แต่ไม่ชอบใจที่แรงผลักดันนั้นมาจากบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าถูกรักจากผู้เป็นน้องชายบุญธรรมที่เขาเฝ้าเอื้อเอ็นดูมามากกว่าสิบปีเสียด้วยซ้ำ
ไกรวิชญ์คิดแล้วก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เม้มริมฝีปากพยายามควบคุมลมหายใจให้อยู่ในสภาวะปกติ
ยิ่งใช้ชีวิตไปเหมือนมันยิ่งหนักใจ การแบกรับเครื่องหมายดาวครอบชฎาประดับรัศมีมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาในวัยสามสิบห้า แม้ใครจะว่าดี แต่ในสายตาเขามันกลับเป็นภาระอันหนักอึ้ง
“คุณพ่อ ผมไปก่อนนะครับ”
“อือ ตั้งใจเรียนล่ะ”
ฝ่ามือหยาบกร้านลงลูบกลุ่มผมเจ้าลูกชายแผ่วเบาก่อนจะเดินสวนทางขึ้นไปเอาสัมภาระของตน ปล่อยเด็กชายวัยมัธยมต้นไว้กับพี่เลี้ยง
กันต์ธีร์ตอบรับ กระชับสายกระเป๋าเป้เนื้อดีพลางมองเจ้าคุณพ่อที่เดินหน้านิ่งขึ้นบ้านทำกิจ กล่าวกันตามตรงเขาไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อกับบิดาแท้ ๆ สักเท่าไรนัก วัน ๆ เขากลับมาก็ไม่เจอเพราะเจ้าตัวทำงานทั้งวัน กลับมาดึก ๆ ดื่น ๆ ซึ่งเขาต้องพาตัวเองเข้านอนคนเดียวอยู่เสมอเพราะอาด้วงที่ต้องดูแลชานชาลากลับทุ่มสองทุ่มทุกวัน เขาเหงาเหลือเกิน
“คุณหนู ไปโรงเรียนกันเถอะครับ”
“ครับลุงแดง...”
อันที่จริงนอกจากอาด้วงแล้วอีกคนที่เขาชอบก็คือคุณย่า แม่แท้ ๆ ของอาด้วง เจ้าหล่อนเป็นคนคารมดียิ้มเก่ง หัวเราะง่าย แต่คงซึมเศร้าจากการสูญเสียคุณปู่ผู้เป็นสามีและสะใภ้ในเวลาไล่เลี่ยกันจึงตรอมใจขอแยกตัวไปอยู่บ้านพักตากอากาศในจังหวัดใกล้เคียง เวลาที่จะได้ไปปะหน้าท่านก็มีเพียงปีละครั้งในวันขึ้นปีใหม่สากล เพราะในช่วงเทศกาลอื่น ๆ หรือวันหยุดยาวคุณพ่อก็ต้องส่งคนควบคุมความสงบภายในงานหรืออาด้วงต้องคอยรองรับผู้คนที่แห่แหนขึ้นลงรถไฟ การจะหาเวลาที่ตรงกันได้นั้นลำบากนัก
หากมีวันที่พวกเราได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ก็คงดี
“ตื่นมาก็ทำงานเลยหรือ?”องค์กษัตริย์ไถ่ถามมเหสี ที่เคยนอนด้วยกันปกติจะเป็นเขาที่ออกมาทันทีหลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเนื่องจากมีราชกิจกับเหล่าเสนาบดี แต่วันนี้เนื่องจากเป็นวันดีที่จะได้ไปส่งมเหสีขึ้นเกี้ยวกลับไปเยี่ยมมารดาพวกเขาจึงตื่นสายหน่อยและให้เวลาส่วนตัวแก่มเหสีคนใหม่ จึงมาอาบน้ำด้วยตัวเอง“ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้จึงมีงานวังหลังเหลืออยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกสนมรองขึ้นมาช่วยงานสิ งานบัญชีเยอะเช่นนี้เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”“หากข้าเลือกขึ้นมาแล้วท่านสัญญาได้ไหมว่าจะปันเวลาให้พวกนาง”เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสอง อย่างไรพระสนมส่วนใหญ่ถึงบางรายอาจไม่แสดงออกแต่ลึก ๆ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น“ข้าทำไม่ได้มเหสี”“เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจำต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานแต่เพียงผู้เดียว”ว่าแล้วอดีตพระสนมจึงวางพู่กันลงลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งเดินตรงไปยังส่วนอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะสบตาพระสวามีผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ปิ่นปักผมหงส์กนกมาครองแม้วันนี้พวกเขาจะมีนัดไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ยังคงตื่
“ท่านพี่ ท่านพี่เพคะ ท่านพี่ว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับน้องไหมเพคะ?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงในชุดผ้าแพรยาวสีสันสดใสพร้อมด้วยสองมวยผมที่จับมักเป็นมวยกลมตกแต่งด้วยดอกไม้หยกห้อยระย้าประดับกรอบหน้างามอย่างคุณหนูลูกสาวขุนนางใหญ่ เธอหยิบปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้ขึ้นมาทาบศีรษะกล่าวถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ปลอมตัวเป็นคนรวยเข้ามาเดินเล่นในชุมชนในกลางเมืองเด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลผินใบหน้าแววตาเหยียดมองคู่หมั้นที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย ทำเอาเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย แทนที่จะได้เดินดูทุกข์ราษฎรแล้วเอาไปเขียนรายงานส่งท่านอาจารย์กลายเป็นต้องมาดูแลประคบประหงมลูกคุณหนูเสียอย่างนั้น“กระจกก็มีเจ้าไม่ส่องดูเอาเองล่ะ”ไร้ซึ่งความเห็นใจ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งเดินสะบัดก้นหนีจนองครักษ์ซึ่งติดตามมาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกเฉกเช่นเดียวกับพระคู่หมั้นที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วองค์รัชทายาทในวัยสิบสองขวบปีเดินกระชับปีกหมวกคล้องลูกปัดหลบเลี่ยงมายังตรอกซอกซอยหนึ่งโดยมีองครักษ์ในชุดชาวบ้านเดินติดสอยห้อยตามมาคุ้มครองด้วย‘เดินถัดจากตลาดมานิดเดียวก็เจอศพคนตายแล้ว’
ชนชั้นในสถานที่อันปวงประชาภายนอกรั้วมองเข้ามาล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงสิ่งปลูกสร้างอันประณีตงดงาม สวนดอกไม้อันเขียวชอุ่มและอาหารเลิศรสที่สามัญชนแม้เฝ้าเก็บเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลิ้มลองจานของโอรสสวรรค์ได้ท่ามกลางความอู้ฟู่โอฬารเหล่านั้น ภาพสวยหรูที่ใครต่อใครซึ่งพรายกระซิบกันมาผ่านกำแพงสูงกลับถูกสกัดด้วยมุมมืดของวังหลวงแห่งนี้พระราชโอรสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์เมื่อพระราชบิดาสิ้นอายุขัย พระคู่หมั้นเข้าพิธีอภิเษกสมรสและได้ครอบครองปิ่นปักผมหงส์กนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทั้งสองปกครองเคียงคู่กันมาจนให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่พระราชโอรสชาญฉลาดนัก ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ กระนั้นยังคงไว้ซึ่งประกายสดใสในแววตาเปล่งปลั่ง ประหนึ่งดวงตะวันน้อยที่ค่อย ๆ เจริญเติบโตและกลายมาเป็นที่พึ่งพิงของผืนฟ้าจนมาวันหนึ่ง ท่ามกลางโต๊ะไม้สักลายมังกรวางเรียงรายด้วยจานอาหาร เมื่อพระมเหสีได้ตักเนื้อข้าวเสวยเข้าไปเพียงคำเดียว เสียงช้อนเงินซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่น
"กันต์มาทำงานใกล้บ้านไม่ได้เหรอ อาไม่อยากให้เราไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ เลย”“ผมไปอยู่นั่นแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็ได้ย้ายมาศูนย์พระนครแล้วครับ”จนแล้วจนรอดคุณอาที่เลี้ยงดูหลานชายมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนยามนี้มีงานมีการทำก็ยังเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีก กลับมาบ้านครั้งหนึ่งก็จัดอาหารชุดใหญ่เอาไว้ให้เสียอลังการ พอจะกลับไปวิทยาลัยอาเจ้าก็เอาของกินใส่ปิ่นโตมาให้ทั้งยังหาอาหารที่เก็บได้นาน ๆ จัดใส่กระเป๋าเอาไว้ กลัวว่าหลานชายจะไม่มีอะไรกินเมื่ออยู่ที่นั่นตอนนี้กันต์ธีร์โตเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้พ่อ กำลังเรียนต่อชั้นป.โทจากทุนที่ได้มาทันทีหลังจบป.ตรี ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักวิจัยพรรณพืชของวิทยาลัยแม้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว ทว่าคุณอาไม่ชอบใจเท่าไรที่ที่เรียนที่ทำงานไกลจากบ้านเหลือเกิน เขาอดใจรอหลานเรียนจบ หวังจะได้กลับมาเห็นหน้าค่าตาทุกวันเหมือนวันวานกลายเป็นต้องเหินห่างกันเหมือนเดิมไปอีกหนึ่งปีเสียได้“เดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ”“มันจะไม่รบกวนเราไปใช่ไหมกันต์?”เดินทางครั้งหนึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายแล้วยั
กันต์ธีร์ × อาจารย์น้ำหวานคุณอานายสถานีในวัยสามสิบสี่ย่างสามสิบห้านั่งปักผ้าเตรียมทำถุงหอมให้พี่ชายคนรักและกันต์ธีร์ที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์นี้ โดยมีพี่ชายนั่งกกกอดอยู่ด้านหลังซุกไซ้ใบหน้าไปมาตามกิจวัตรอยู่บนเตียงนุ่ม แทนที่จะเรียกว่าเอือมระอาให้เรียกว่าชินชาเสียมากกว่า ทว่าอย่างไร ณ จุดจุดนี้อ้อมกอดของพี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักผ้าลำบากขึ้นมากนักหรอกเห็นว่ามหาวิทยาลัยกันต์ธีร์อยู่ไกลจึงจำต้องไปอาศัยพักหอในที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ให้ ดีที่เจ้าตัวเก่งพอจะได้ทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เผลอ ๆ อาจราคาพอกันกับสมัยมัธยมเลยกระมังทว่าแม้จะผ่านมาครบหนึ่งปีที่หลานชายที่รักต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็ยังมีเรื่องที่คุณอาคนนี้กังวลใจอยู่ไม่หาย“เฮ้อ...”“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ครับ ค่อยเย็บใหม่วันพรุ่งนี้”“น้องไม่ได้เหนื่อยเรื่องนั้น น้องแค่เป็นห่วงน้องกันต์”“กันต์โตเป็นหนุ่มแล้ว ปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างก็ได้ ไว้มีปัญหาพี่เชื่อว่ากันต์จะมาบอก
“ด้วง เรามาโกนหนวดให้พี่ได้ไหมครับ?”ไกรวิชญ์ในทุกอาทิตย์มักจะเข้ามาอ้อนขอน้องชายถึงสิ่งนี้เป็นประจำ บางครั้งด้วงก็งงงวยว่าทำไมเจ้าพี่เมื่อก่อนก็จัดการเคราบนหน้าได้เองตามปกติแต่ทำไมหลังจากที่เขาโกนให้ครั้งแรกถึงได้ติดอกติดใจนัก“พี่เตรียมของไว้นะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”ด้วงซึ่งอาสาเช็ดโต๊ะทานอาหารหลังมื้อเช้าเสร็จบอกดังนั้นก่อนจะเห็นพี่ไกรเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี หากเทียบตัวตนของพี่ไกรวิชญ์เมื่อปีที่เรื่องราวเกิดขึ้นล้านแปดแล้วเหมือนเป็นคนละคนตอนนั้นเขามองหน้าพี่แทบไม่ติดคล้ายจะมีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมาตลอด คุยกันครั้งหนึ่งต้องมีทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอย แต่มาเดี๋ยวนี้พี่เจ้าแค่มองหน้าเขาก็ยิ้มร่า มักจะชอบวิ่งเข้าหามาช่วยเขาไม่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน จนบางครั้งก็เหมือนได้เห็นภาพซ้อนของกันต์ธีร์ในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วก็ขำกับตัวเอง นี่เขาเห็นพี่มีนิสัยเหมือนเด็กเล็กอย่างนั้นหรือด้วงคิดสะระตะก่อนเดินไปพาดตากผ้าขี้ริ้วกับระเบียงด้านนอก จัดแจงเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนไปทำตามที่พี่เจ้าร้องขอไว้