รุ่งเช้า
คุณพัฒน์และชนาวุฒิลุกแต่เช้าตรู่ เพราะวันนี้ต้องเตรียมตัวไปหาสมัครงาน และอีกอย่างก็เกรงใจเจ้าของบ้านด้วย เพราะตัวเองก็ถือว่าเป็นแขกมาขออาศัย
ทั้งสองลุกมาทำกับข้าวไว้รอเจ้าของบ้าน โดยที่คุณพัฒน์เป็นคนเข้าครัวเอง มีชนาวุฒิที่เป็นลูกมือถูกบังคับให้ตื่นตามแต่เช้า
“ไผมาแต่เช้า” (ใครมาแต่เช้า) ชนาวุฒิบ่นพึมพำอยู่ เมื่อมีคนมากดออดที่หน้าบ้าน
“มึงกะออกไปเบิ้งตี้ล่ะ” (มึงก็ออกไปดูสิ) คุณพัฒน์พูดให้เพื่อนออกไปดุ เพราะเจ้าตัวมัวแต่วุ่นอยู่กับการปรุงอาหาร
“มาหาใครครับ” เสียงเข้มเอ่ยถามขึ้นมาทันที เป็นภาษากลางเพราะสังเกตว่าคนตรงหน้าคงจะฟังภาษาบ้านเกิดของพวกตนไม่เข้าใจเป็นแน่
ชนาวุฒิเดินออกไปเปิดประตู เมื่อมีคนมากดสัญญาณออดอยู่ที่หน้าบ้านของพี่สาว แต่กลับพบชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่ สายตาคมกวาดมองสำรวจชายหนุ่มผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่างพิจารณา
ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าหล่อเหล่าราวกับพระเอกในเทพนิยายหลุดออกมา ผมถูกเซ็ตเป็นทรง จมูกโด่งรับกับปากหยักได้รูปสีสด แต่งกายดูมีภูมิฐาน มองแค่ภายนอกก็ดูออกว่าเป็นคนมีฐานะ เพราะรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ที่เป็นโลโก้ของต่างประเทศ
“อ้าว! บะ...คุณภัทรมาถึงนานยังคะ” เสียงชญานุชดังขึ้นมาเสียก่อน เมื่อเปิดประตูออกมาจากห้องกลับพบกับเจ้านายหนุ่มของเธอเดินเข้ามาภายในบ้านตามหลังน้องชายมาติด ๆ
คำว่าบอสที่กำลังจะเปล่งออกมานั้นต้องกลืนลงไป เพราะเขาเคยบอกว่าอยู่นอกบริษัทหรือนอกเวลางานห้ามให้เธอเรียก...
ชายหนุ่มร่างสูง ไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่มองตน แต่กลับเดินเข้าไปหาหญิงสาวอย่างเสียมารยาท เพราะเขามาหาเจ้าของบ้านเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้นั้นกลับเจอผู้ชายสองคนอยู่ที่นี่ด้วย
“พึ่งมาถึง แล้วสองคนนี้คือ...” เสียงนุ่มเอ่ยตอบ แล้วถามเธอกลับไปพร้อมมองไปยังทางที่ทั้งสองหนุ่มนั้นอยู่
ธนภัทร ชายหนุ่มวัย 35 ปี เป็นเจ้านายของชญานุช และเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทที่ชญานุชทำงานอยู่นั่นเอง เขามักจะมารับเลขาสาวของเขาเกือบทุกเช้า เพราะกำลังขายขนมจีบให้แก่เจ้าหล่อนอยู่ด้วย
“น้องชายนุชเองคะ พึ่งเดินทางมาถึงกันเมื่อคืนนี้เอง ทั้งสองมาหางานทำ นุชเลยให้น้องพักอยู่ด้วยกันก่อน จนกว่าน้องจะหางานทำได้” ชญานุชเอ่ยบอกเจ้านายหนุ่มออกไปตามตรง
“สวัสดีครับ” เป็นคุณพัฒน์วางทุกอย่างลง แล้วหันมาเอ่ยทักทายผู้ที่มีอายุมากกว่าขึ้นมาก่อนอย่างนอบน้อม
“คนนี้เกื้อกูลเป็นเพื่อนของน้องชายนุชคะ และนั่นก็น้องชายแท้ ๆ ของนุชเอง ชนาวุฒิคะ” ชญานุชเอ่ยแนะนำน้องชายทั้งสองให้เจ้านายหนุ่มได้รู้จัก
“วุฒิเกื้อ นี่คุณภัทร เป็นเจ้านายของเอื้อยเอง” (วุฒิเกื้อ นี่คุณภัทร เป็นเจ้านายพี่เอง)
แล้วชญานุชก็หันมาเอ่ยแนะนำเจ้านายหนุ่มกับน้องชายได้รู้จักด้วย เพราะเห็นสายตาที่มีแต่คำถามของน้องชายมองอยู่
“สวัสดีครับ” ชนาวุฒิจึงรีบยกมือขึ้นไหว้ เมื่อทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้นั้นคือใคร ถึงแม้อยากจะถามอะไรออกไป แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ก่อน รอฟังความจากปากของพี่สาว
“ไปกันได้หรือยัง เดี่ยวรถจะติดอีก” ธนภัทรผงกก้มศีรษะลงเล็กน้อย เพื่อเป็นการรับไหว้ชายหนุ่มทั้งสอง แล้วหันมาเอ่ยกับหญิงสาวเพียงคนเดียวตรงนี้
“วุฒิเกื้อ กินข้าวกันเลยเด้อ เอื้อยต้องไปเฮ็ดงานแล้ว” (วุฒิเกื้อ กินข้าวกันเลยนะ พี่ต้องไปทำงานแล้ว)
ชญานุชหันมาสั่งน้องทั้งสอง ก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไป เพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาที่เธอต้องไปทำงานแล้ว และก็เกรงใจเจ้าานายหนุ่มที่มารอรับด้วย
“เอื้อยกู ไปลักมีผัวตั้งแต่ตอนใดว่ะ” (พี่สาวกู ไปแอบมีสามีตั้งแต่ตอนไหนว่ะ) ชนาวุฒิพึมพำออกมาทันที ที่พี่สาวเดินออกไปแล้ว
“มึงเว้าให้มันดี ๆ แน่บักอันนี่ นั่นเอื้อยมึงเด้” (มึงพูดให้มันดี ๆ หน่อยไอ้หมอนี่ นั่นพี่สาวมึงนะ) คุณพัฒน์ได้แต่ตำหนิเพื่อนขึ้นมาทันที เมื่อเพื่อนพูดถึงพี่สาวตัวเองโต้ง ๆ ออกมาแบบนี้
รู้อยู่หรอก ว่าคนต่างจังหวัดแบบพวกเขาก็ชอบพูดอะไรกันที่ตรง ๆ ไม่เคยอ้อมค้อม แต่ก็อยากให้เพื่อนให้เกียรติพี่สาวตัวเองบ้าง เพราะยังไม่รู้เลยว่าความจริงนั้นเป็นแบบไหน
“หล่อคือจังดารา เท่ห์คักอีหลี ซาตินี้เฮาสิมีวาสนาได้ขับรถแบบนั้นบ่วะเกื้อ” (หล่อเหมือนดารา เท่ห์มาก ๆ ด้วย ชาตินี้พวกเราจะมีวาสนาได้ขับรถแบบนั้นไหมวะเกื้อ) ชนาวุฒิเพ้อขึ้นมา เมื่อมองตามหลังพี่สาวและชายหนุ่มที่รถแล่นออกไปได้ไกลแล้ว
“วาสนาเฮามันกะส่ำนี้ มีหม่องอยู่หม่องนอนกะบุญหลายแล้ว ไปหากินข้าวกันได้แล้วจะได้ไปหาสมัครงาน” (วาสนาพวกเรามันก็แค่นี้แหละ มีที่อยู่ที่กินก็เป็นบุญมากแล้ว ไปหาข้าวกินกันได้แล้วจะได้ไปหาสมัครงาน) คุณพัฒน์รีบถ่อมตน และตัดพ้อชีวิตของเขาทันที
“ชีวิตมึงนี้มีแต่งานเนาะบักเกื้อ” (ชีวิตมึงนี้มีแต่งานนะไอ้เกื้อ) ชนาวุฒิได้แต่ส่ายหน้าให้กับอาการจริงจังในชีวิตที่มากเกินไปของเพื่อน
“กะกูตั้งใจมาหาเฮ็ดงาน กูบ่ได้มาหาแนมแต่สาวกรุงเทพคือมึงบักวุฒิ จักสินำดากกูมาเฮ็ดหยังดอก” (ก็กูตั้งใจมาหาทำงาน ก็ไม่ได้มาหาเหล่สาวกรุงเทพเหมือนมึงนะไอ้วุฒิ ไม่รู้จะตามตูดกูมาทำไม) ได้ทีคุณพัฒน์ก็ต่อว่าเพื่อนขึ้นมา แถมยังไม่วายที่จะเอ่ยแซวออกมาด้วย
“ย่านมึงเอาเมียหนีจากกูก่อน เลยต้องนำมาเฝ้า” (กลัวมึงชิ่งเอาเมียก่อนกู เลยต้องตามมาเฝ้า) ชนาวุฒิตอบทีแบบเล่นทีที่ติดตลก เพราะอยากให้เพื่อนคลายเครียดบ้าง
“เว้าคือจังว่ามึงเป็นเมียกู” (พูดอย่างกับมึงเป็นเมียกู)
“ให่เป็นบ่ล่ะ” (ให้เป็นไหมล่ะ)
“บักห่าวุฒิ!!!” (ไอ้ห่าวุฒิ!!!)
“เว้าเล่น หยอก ๆ แฮร่” (พูดเล่น หยอก ๆ แฮร่)
ทั้งสองหัวเราะออกมาทันที เพราะชอบหยอกล้อกันเป็นประจำตั้งแต่ไหน แต่ไรมาอยู่แล้ว จนบางทีผู้หญิงที่เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้ เพราะคิดว่าพวกเขานั้นจะชอบไม้ป่าเดียวกัน
จำใจยอมมื้อค่ำสุดพิเศษจบลง มุกดารินทร์ก็ยังคงเอาแต่นั่งชะเง้ออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมขึ้นห้องไปพักผ่อน จนปราโมทย์ที่นั่งอยู่ด้วยถอนหายใจยาว ก่อนที่จะเอ่ยสั่งเด็กสาวรับใช้ที่เป็นหลานสาวของพิไล“ไปตามเกื้อกูลมาที่นี่หน่อย” ปราโมทย์ที่ทนเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้แม่บ้านไปตามคุณพัฒน์เข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ทีนที“ค่ะ คุณท่าน”สักพักคุณพัฒน์ก็เดินเข้ามาถึง เจอกับปราโมทย์นั่งวางมาดขรึมอยู่ที่โซฟาจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง แต่เขาทำใจฮึดสู้ยกมือขึ้นไหว้อย่างยอบน้อม โดยที่จะไม่เอ่ยถามอะไรว่าท่านให้คนไปตามทำไมกัน“พามุกดาขึ้นไปนอน นี้ก็ดึกมากแล้วไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย” พูดเพียงแค่นั้น ปราโมทย์ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเดินผ่านหน้าชายหนุ่มขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที เพราะเขาเองก็ง่วงเต็มทนจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ“ทำไมถึงไม่ยอมขึ้นนอนล่ะครับ หืมมม” คุณพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อเดินเข้าไปหาหญิงสาว และใช้มือโอบรอบเอวพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน“มุกไม่อยากนอนคนเดียวค่ะ มันหงุดหงิดทำให้มุกนอนไม่หลับ” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับทำหน้ายู่ราวกับเด็กใส่เขาทันทีดูสิขนาดเธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว แต
มื้อค่ำสุดพิเศษตกเย็นคุณพัฒน์ที่ผล็อยหลับไปตามหญิงสาวนั้น ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเย็น แล้วช้อนเอาร่างเล็กของว่าที่คุณแม่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ขึ้นอย่างทะนุถนอมไปวางที่เตียงกว้างให้เธอได้นอนสบาย ก่อนที่จะออกจากห้องของเธอไป เพื่อที่จะไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้ตามที่่รับปากเธอเอาไว้“จะไปไหน?” เสียงเข้มของปราโมทย์ถามขึ้นมา เมื่อเขากำลังเดินออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ ที่มีมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ด้วยปราโมทย์รู้ว่าชายหนุ่มจะออกไปไหน เพราะได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับลูกสาวทุกประโยคเมื่อตอนกลางวัน แต่แค่อยากถามกวนเฉย ๆ“จะออกไปตลาดครับ” คุณพัฒน์ตอบออกไปตามตรง เพราะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมให้เขามาอยู่ใกล้กับลูกสาวท่าน“ไปสภาพนี้?” ใบหน้านิ่งขรึมมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงได้แต่เลิกคิ้วถามคุณพัฒน์นั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งของราคาแพงอะไรประดับติดตัว แต่ก็ดูดีใบแบบของชายหนุ่มเอง“คือ...” เขาได้แต่ก้มหน้าถ่อมตนไม่กล้าสบตาของปราโมทย์ เพราะสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวท่านเลย“เ
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท