หมาวัดแบบเขา เมื่อริอ่านจะเด็ดดอกฟ้า มันก็ตกลงมาเจ็บแบบนี้แหละ ...ทำไมไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลยนะ...
View Moreณ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย(ภาคอีสาน)
“แม่บอกเกื้อมาเถาะ ว่าพ่อเกื้อเป็นผู้ใด เกื้อแค่อยากฮู้ซือ ๆ ทอนี้อีหลี” (แม่บอกเกื้อมาเถอะ ว่าพ่อเกื้อเป็นใคร เกื้อแค่อยากรู้เฉย ๆ แค่นี้จริง ๆ) เสียงทุ้มถามเอาความจริงจากปากของมารดาอีกครั้ง ตั้งแต่ที่มารดาป่วย เขาก็มักจะถามคนเป็นแม่อยู่ตลอด ว่าบิดาของเขานั้นคือใคร
คุณพัฒน์ ปัญญากูล หรือ เกื้อกูล แต่คนสนิทมักเรียกขานกันว่า บักเกื้อ ชายหนุ่มในวัย 23 ปี หนุ่มกำพร้าบิดาตั้งแต่เกิด อาศัยอยู่กับผู้เป็นมารดาที่ให้กำเนิด เพียงแค่สองคน ที่บ้านปูนชั้นเดียวหลังเก่า ที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
ชายหนุ่มที่ขาดบิดามาตั้งแต่เกิด ทำให้เป็นเด็กที่มีนิสัยก้าวร้าวมากพอสมควร เพราะต้องทำตัวเป็นคนเข้มแข็งจากการโดนเพื่อนล้อ และต้องคอยเป็นเกราะป้องกัน เป็นที่พึ่งให้แก่มารดาได้ ผู้หญิงซึ่งอันเป็นที่รักที่เขารักมากที่สุด ถึงจะเกเรบ้างตามประสาผู้ชาย เพราะอยู่ในวัยที่อยากรู้อยากลอง จนทำให้มารดานั้นเสียเงินเสียน้ำตามาแล้ว
และยังถูกตราหน้าว่า ‘บักคำผลาญ’ ตั้งแต่นั้นมา เขาได้ให้คำมั่นสัญญาต่อมารดาว่าจะเลิกนิสัยเกเร และหันมาตั้งใจทำงานหาเลี้ยงมารดาแทน ด้วยการช่วยงานของผู้เป็นลุงที่เปิดร้านซ่อมรถ เขามีความรู้มาบ้าง เพราะเขาจบช่างยนต์มา ถึงแม้จะจบเพียงแค่ ปวส. เพราะฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่ แถมมารดายังมาป่วยอีก เมื่อตรวจพบมะเร็งปากมดลูกเมื่อสามปีที่แล้ว
จากนั้นมาเขาก็เริ่มตั้งใจทำงาน เก็บเงินดูแลมารดามาโดยตลอด จนมาถึงปีนี้ ที่ผู้เป็นแม่ของเขาอาการทรุดลง เขาจึงถามหาความจริงจากปากของมารดา ว่าบิดาของเขานั้นคือใครกัน เพราะมักถูกคนล้อเสมอว่า เขานั้นหน้าตาไม่เหมือนมารดาเอาเลย ออกจะไปทางลูกครึ่งไทยผสมคล้ายกับต่างชาติ เพราะรูปลักษณ์ที่สูงโปร่งหุ่นราวกับนายแบบ แถมหน้าตาผิวพรรณก็ไม่ได้มาทางมารดาเลยแม้แต่น้อย
“เกื้อบ่ต้องฮู้ดอก ป่านนี้เพิ่นมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว สิมาอยากฮู้หยังเอาตอนนี้ แค่กกก” (เกื้อไม่ต้องรู้หรอก ป่านนี้เขามีครอบครัวใหม่ไปแล้ว จะมาอยากรู้เอาอะไรตอนนี้ แค่กกก) เสียงแหบของผุ้เป็นมารดาเอ่ยบอก พร้อมกับเสียงไอออกมา
คำหล้า ปัญญากูล หญิงวัยกลางคนในวัย 45 ปี ผู้เป็นมารดาที่ให้กำเนิด และเลี้ยงดูคุณพัฒน์มา เพราะชายอันผู้เป็นที่รักที่ทิ้งไปตั้งแต่เมื่อ 24 ปีก่อน
“เกื้อแค่อยากฮู้ แต่เกื้อกะบ่คิดสิตามหาเพิ่นดอกแม่ แต่แม่บอกเกื้อมาเถาะ” (เกื้อเพียงแค่อยากรู้ แต่เกื้อก็ไม่คิดที่จะตามหาเขาหรอกแม่ แต่แม่บอกเกื้อมาเถอะ) คุณพัฒน์พยายามรบร้าวคนเป็นแม่ ให้ท่านยอมบอก อย่างน้อย ๆ แค่ชื่อก็พอแล้ว
“เพิ่นเป็นคนกรุงเทพ แม่ฮู้แค่นี้แหละ” (เขาเป็นคนกรุงเทพ แม่รู้แค่นี้แหละ) คำหล้าตอบลูกชายออกไปแบบปัด ๆ เพื่อตัดปัญหา
“แม่มีรูปพ่อบ้อ” (แม่มีรูปพ่อไหม) เขาถามหาภาพถ่ายจากมารดาทันที
“มีทอนี่ละ...” (มีแค่นี่แหละ...) คำหล้าพูดพร้อมกับส่งรูปถ่ายใบเล็ก ๆ เก่า ๆ ที่เคยถ่ายไว้กับคนรัก เมื่อ 24 ปีก่อนให้แก่ลูกชายดูเป็นครั้งแต่ เพราะตั้งแต่ที่คุณพัฒน์เกิดมา ก็ไม่เคยให้ลูกชายเห็นเลย
“พงษ์พัฒน์”
“...ฮู้แล้วกะอย่าไปตามหาละ สิรบกวนครอบครัวใหม่เพิ่น” (...รู้แล้วก็อย่าไปตามหาละ จะรบกวนครอบครัวใหม่เขา) คำหล้าสั่งห้ามลูกชายไว้ทันที เพราะไม่อยากให้เขาตามหาพ่อ
“แม่บ่อยากฮู้บ้อ ว่าเป็นหยังเพิ่นคือถิ่มแม่ไปแบบนั้น” (แม่ไม่อยากรู้หรือ ว่าทำไมเขาถึงทิ้งแม่ไปแบบนั้น) คุณพัฒน์ถามเชิงคนเป็นแม่ขึ้นมาทันที
“มันผ่านมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วเกื้อ ขันเพิ่นอยากมาหาแม่ เพิ่งคงสิมาตั้งแต่โดนแล้ว บ่ปล่อยให้แม่เลี้ยงเกื้อผู้เดียวเองแบบนั้นดอก เซาถามเรื่องนี้ แล้วไปตั้งใจเฮ็ดการเฮ็ดงาน ถ้าอยากไปตามหาพ่อ กะต้องถ่าให้แม่ตายก่อน...” (มันผ่านมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วเกื้อ ถ้าเขาอยากมาหาแม่ เขาคงจะมาตั้งนานแล้ว ไม่ปล่อยให้แม่เลี้ยงเกื้อคนเดียวเองแบบนี้หรอก เลิกถามเรื่องนี้ แล้วไปตั้งใจทำการทำงาน ถ้าอยากไปตามหาพ่อ ก็ต้องรอให้แม่ตายก่อน...)
คำหล้าเอ่ยออกมาตามความจริง เพราะหากว่าชายคนที่รัก รักเธอจริง ๆ คงไม่ปล่อยให้เธออุ้มท้องและคลอดลูกมาอย่างเด็ดเดี่ยว โดยถูกชาวบ้านนินทาว่าลูกที่เกิดมา คือลูกไม่มีพ่อหรอก
ความเจ็บปวดที่ตราตึงที่ยังคงฝังอยู่ในใจครานั้นทำให้เธอต้องดั้นด้น หอบท้องย้ายถิ่นฐานมาอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
“แม่คือเว้าจังสี้ล่ะ แม่ต้องอยู่นำเกื้อไปโดน ๆ เกื้อมีแม่แค่ผู้เดียว เกื้อฮักแม่เด้อ” (แม่ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ แม่ต้องอยู่กับเกื้อไปนาน ๆ เกื้อมีแม่คนเดียว เกื้อรักแม่นะ) เขาหน้าถอดสีทันที ที่มารดาเอ่ยคำนี้ออกมา
“ขันเกื้อฮักแม่ เกื้อกะต้องตั้งใจเฮ็ดงาน เปลี่ยนแปลงเจ้าของ เฮ็ดเพื่อแม่เทื่อสุดท้ายได้บ่ลูก...” (ถ้าเกื้อรักแม่ เกื้อก็ต้องตั้งใจทำงาน เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำเพื่อแม่ครั้งสุดท้ายได้ไหมลูก...) คำหล้ายืนคำขาดกับลูกชายออกมา
“...ครับ เกื้อสิปรับปรุงโตเจ้าของให้ดีขึ้นกว่านี้ แต่แม่ต้องสัญญาคือกันเด้อ ว่าแม่จะอยู่นำเกื้อไปโดน ๆ” (...ครับ เกื้อจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้ แต่แม้ต้องสัญญาเหมือนกัน ว่าแม่จะอยู่กับเกื้อไปนาน ๆ) เขานิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะตอบรับคำของมารดา
“ปรับปรุงเจ้าของ เซาเที่ยว เซากินเหล้า แล้วตั้งใจเฮ็ดงาน ถ้าเกื้อยังเป็นอยู่แบบนี้ ผู้ใดเขาสิอยากแต่งงานนำ...” (ปรับปรุงตัวเอง เลิกเที่ยว เลิกดื่มเหล้า แล้วตั้งใจทำงาน ถ้าเกื้อยังเป็นอยู่แบบนี้ ใครเขาจะอยากแต่งงานด้วย)
เพราะคนเป็นแม่ก็อยากเห็นลูกออกเรือนเป็นฝั่ง เป็นฝากันทั้งนั้น
“เกื้อบ่เอาดอกเมีย อยู่กับแม่แค่สองคนกะมีความสุขแล้ว...” (เกื้อไม่เอาหรอกเมีย อยู่กับแม่แค่สองคนก็มีความสุขแล้ว) เขารีบปฏิเสธทันควันเมื่อมารดาเอ่ยถึงการออกเรือน
“เกื้ออายุ 23 แล้วเด้ แม่อยากเห็นเกื้อมีครอบครัว มีลูกคือหมู่คนอื่น ๆ ถ้าเกื้อสัญญาว่าสิบ่กลับไปเฮ็ดโตแบบเก่าอีก แม่สิอนุญาตให้เกื้อไปตามหาพ่อ” (เกื้ออายุ 23 แล้วนะ แม่อยากเห็นเกื้อมีครอบครัว มีลูกดหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ถ้าเกื้อเกื้อสัญญาว่าจะไม่กลับไปทำตัวแบบเดิมอีก แม่จะอนุญาตให้เกื้อไปตามหาพ่อ)
ถึงอย่างไรก็คงจะห้ามลูกตามหาบิดาไม่ได้ แต่คำหล้าก็มักจะหาเหตุผลมาพร่ำบอกอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าลูกชายนั้นจะไม่เชื่อฟังก็ตาม
“เกื้อเซามาหลายปีแล้ว แต่แม่เว้าอีหลีนะว่าสิให้เกื้อไปตามหาพ่อ” (เกื้อหยุดมาหลายปีแล้ว แต่แม่พูดจริง ๆ นะว่าจะให้เกื้อไปตามหาพ่อ)
เพราะตั้งแต่ที่ทราบว่ามารดาป่วย นับแต่นั้นมา เขาก็ปฏิญาณตนกับตัวเองและมารดา ว่าจะเลิกทำนิสัยเกเร และเขาก็ทำมาได้แล้วสามปี
“เป็นหยังจังคืออยากมาฮู้และตามหาเอาตอนนี้ ว่าพ่อเป็นไผ” (ทำไมถึงอยากรู้ อยากตามหาเอาตตอนนี้)
เพราะก่อนหน้านี้ ไม่เคยได้ยินลูกชายพูดถึงบิดมาให้ได้ยินเลยแม้สักครั้ง
“เกื้ออยากฮู้ตั้งแต่โดนแล้ว แต่เกื้อบ่กล้าถามแม่ และตอนนั้นกะยังเด็กน้อยอยู่นำ...” (เกื้ออยากรู้ตั้งนานแล้ว แต่เกื้อไม่กล้าถามแม่ และตอนนั้นก็ยังเด็กด้วย)
“เว้ามาแบบนี้ คงสิอยากตามหาอีหลีแม่นบ่” (พูดแบบนี้ คงจะอยากตามหาจริง ๆ ใช่ไหม) ผู้เป็นมารดาได้แต่เอ่ยถามกลับ
คุณพัฒน์ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรมารดาออกไปแม้แต่คำเดียว แต่กลับเป็นการพยักหน้าให้มารดาแทนคำตอบทุกอย่าง
ฝากเอ็นดูบักหล่าเกื้อกูลของไรท์นำเด้อจ้า...♥️
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท
จับตาดูวันต่อมาเช้านี้ คุณพัฒน์ปลุกมุกดารินทร์ตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อจัดเตรียมของเข้าวัดไปทำบุญให้แก่มารดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเกือบสี่เดือน วันนี้จึงถือโอกาสนี้ทำบุญร้อยวันด้วยเลย...“อยู่ต่ออีกสักสองสามวันไม่ได้หรือค่ะพี่เกื้อ มุกยังไม่อยากกลับกรุงเทพฯเลย” เธอถามเขาขึ้นมา เมื่อกลับจากการทำบุญ เธอรู้สึกชอบบรรยากาศที่นี่มาก“ไม่ได้ครับ เราทุกคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไว้ถึงวันหยุดยาวอีก เราค่อยมากันอีกก็ได้” เขารีบเอ่ยบอก เพราะดูเหมือนเธอจะงอแงให้เขาพาอยู่ต่อไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากอยู่ เพราะอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเราหรอก แต่เขามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอง มีงานที่รออยู่ สำหรับเขางานคือเงิน เวินคือการดำเนินชีวิต“มุกชอบที่นี่มากเลยคะ อากาศสดชื่นกว่ากรุงเทพตั้งเยอะ”“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ พี่จะอาสาเป็นไกด์พามุกเที่ยวรอบหมู่บ้านก่อนกลับละกัน”เขาจึงอาสาพาเธอเที่ยวชมรอบหมู่บ้านแทน เพื่อเป็นการชดเชยแทนและอยากนำเสนอแผ่นดินบ้านเกิดของเขาให้เธอรู้ด้วย แถมเป็นการเปิดตัวเธอไปในตัวด้วยว่าเขานั้น มีแฟนที่น่ารักและสวยมากถึงแม้การกลับมาบ้านเกิดในครั้งนี้ของคุณพัฒน์ บางคนก็ชื่นชมเขา บางคนต่างก็ม
ไม่ได้เล่น ๆ“เกื้อ มาตั้งแต่ตอนใด?” (เกื้อ มาตั้งแต่เมื่อไหร่?) ป้าเจ้าร้านค้าเอ่ยทักทายขึ้นมาทันที เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาภายในร้าน“หวัดดีครับ เมื่อเช้าครับป้า” (สวัสดีครับ ตอนเช้าครับป้า) คุณพัฒน์ยกมือขึ้นไหว้ พร้อมกับเอ่ยตอบออกไป และไม่ลืมที่จะสะกิดคนมาด้วยให้ทำตาม“ผู้สาวผู้งามน้อ” (แฟนสวยจังเลย) ป้าเจ้าของร้านเอ่ยชมขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่เขาพามาด้วยนั้นสวยจนสะดุดตาทุกคนที่กำลังมาซื้อของ“ครับ”คุณพัฒน์เดินเข้าไปเลือกซื้อวัตถุดิบ และรีบพาหญิงสาวกลับมาทำอาหาร เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ๆ สงสารคนกรุงที่ฟังภาษาถิ่นไม่ออกด้วย ตอนนี้ได้แต่ทำหน้างง“มุกต้องทำอะไรบ้างคะ” เธอถามขึ้นมาทันที ที่มาถึงบ้าน และตื่นตาตื่นใจกับสิ่งของตรงหน้าที่เธอและเขาพึ่งไปซื้อมาเพราะนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของการเข้าครัวของเธอเลย หญิงสาวที่โตมาเพียบพร้อมทุกอย่าง ที่ตั้งแต่เล็กยันโตก็มีแม่บ้านคอยรับใช้ ทำทุกอย่างให้หมด“มุกไปนั่งรอดีกว่าครับ เดี๋ยวพี่ทำให้กินเอง” เขารีบดันเธอออกห่างทันที แล้วบอกให้เธอไปนั่งรอส่วนคนที่ถูกปฏิเสธนั้นกลับทำหน้างอใส่เขาขึ้นมาทันที เธอรู้ว่าตัวเองทำไม่เป็น แต่เธอก็ไม่อยากอยู่เฉ
Comments