บดินทร์รีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้เจอกับน้ำมนต์ เขาคิดว่าน้ำมนต์น่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเหมือนกัน เพราะเห็นแม่เขาบอกว่าน้ำมนต์จะมาทำคอนเท้นต์ลงยูทูปด้วย และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ในที่สุดเขาก็เจอกับน้ำมนต์ แต่ที่คิดไม่ถึงคือคนที่อยู่กับน้ำมนต์คือน้องข้าวโพดเด็กไอ้บลูมัน มันจะรู้ไหมว่าข้าวโพดก็อยู่ที่นี่
“ไอ้บลู บลูตื่นก่อนมึง” บดินทร์กลับจากเดินไปสำรวจบรรยากาศรอบรีสอร์ตมาก็รีบกลับมาหาเพื่อน แต่ไอ้คนที่มันนอนอยู่กลับพลิกตัวหนีเหมือนรำคาญเขานักหนา
“ไอ้บลูตื่น กูเจอคู่หมั้นกูแล้ว และมึงรู้ไหมกูเจอใครอีก” กิตติภูมิที่ง่วงนอนมากถึงกับเอาผ้าห่มมาคลุมโปงเพื่อจะหนีความรำคาญจากเพื่อน
“มึงเจอใครก็ช่างเถอะ กูขอนอนแป๊บนึงได้ไหม กูง่วงไอ้ดิน”
“เออ งั้นมึงนอนไปเถอะ เดี๋ยวกูไปหาน้ำมนต์คู่หมั้นกูเอง กูแค่จะมาถามมึงว่ามึงรู้ไหมว่าทำไมน้องข้าวโพดมาอยู่กับน้ำมนต์ได้ เขารู้จักเหรอเท่านั้นแหละ งั้นกูไปล่ะ”
แต่ก่อนที่บดินทร์จะทันได้ลุกออกจากขอบเตียง มือของเขาก็โดนเพื่อนฉุดรั้งเอาไว้พร้อมทั้งใบหน้าหล่อๆ ของเพื่อนโผล่ออกจากผ้าห่มอย่างน่าหมั่นไส้ ความงัวเงียเมื่อกี้ของมันหายไปไหน
“มึงว่ามึงเจอใครนะ มึงเจอข้าวโพดอย่างนั้นเหรอ มึงเจอได้ยังไง” คำถามถูกส่งมารัวๆ จากไอ้คนที่บอกง่วงนอน
“มึงไม่ง่วงแล้วรึไง ไหนบอกจะนอนต่อ” บดินทร์ได้ทีเหน็บเพื่อนบ้าง
“กูนอนเต็มที่แล้ว มึงเจอข้าวโพดที่ไหนมึงบอกมา” กิตติภูมิซักไซ้เพื่อนจนบดินทร์ต้องเล่าให้ฟัง
หลังจากที่ทั้งสองรีบอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พากันเดินออกไปตามหาหนุ่มหน้าสวยทั้งสองคน แต่ภาพที่ไปเจอทำเอาทั้งบดินทร์และกิตติภูมิควันออกหูด้วยความโมโหหึงที่ตอนนี้มีผู้ชายหน้าตาดียืนคุยกับน้ำมนต์และข้าวโพดอยู่
“ดิน มึงไปกับน้องน้ำมนต์คู่หมั้นมึงนะ เดี๋ยวกูยึดห้องที่เรานอนเมื่อคืน ขอกูจัดการเด็กดื้อก่อน” บดินทร์หันมามองหน้าคนพูด เพียงแค่เเว๊บเดียวเขาก็เห็นเพื่อนตัวดีอุ้มน้องข้าวโพดไปที่บ้านหลังที่เขานอนเมื่อคืนแล้ว
ไอ้ห่าบลูเอ๊ยทำท่ามากตอนแรกหึงเขาจนได้ บดินทร์บ่นเพื่อนในใจก่อนที่จะทำตามเพื่อนทันที
“งั้น ผมขอตัวเอาคู่หมั้นผมกลับไปนอนต่อก่อนนะครับ ป่ะที่รัก” น้ำมนต์โดนคนพี่อุ้มออกไปจากแขกหนุ่มสองคนทันที และตรงไปยังบ้านพักที่น้ำมนต์และข้าวโพดพักเมื่อคืนเพราะบดินทร์แอบเห็นสองคนถ่ายรูปกันอยู่ตอนแรก
“น้ำมนต์ หนูมาเที่ยวนี่ ทำไมไม่บอกพี่บ้าง” บดินทร์ถามน้ำมนต์เมื่อเขาวางคนที่อุ้มมาลงพอถึงที่พัก
“ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับคุณนี่ครับ ทำไมผมต้องบอก” น้ำมนต์ตอบกลับอย่างเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีเปิดประตูเข้าห้องไป บดินทร์มองตามอย่างหน้าเหวอ เพราะไม่คิดว่าน้ำมนต์คนที่เดินตามเขาต้อยๆ เมื่อตอนเด็ก ตอนนี้จะตัดสัมพันธ์เขาขนาดนี้ บดินทร์ยิ้มเจื่อนๆ ในใจรู้สึกสะท้อนกับคำพูดนั้น ก่อนที่จะรีบเดินตามอีกคนเข้าไปข้างใน
“น้ำมนต์พี่ขอโทษ หนูงอนอะไรพี่หรือเปล่าเนี่ย”
น้ำมนต์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าบดินทร์เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ในเรื่องการแสดงออก แต่ดูมาตามตอแยกับเขามากขึ้นจังเลย
“ผมเนี่ยนะงอนคุณ ผมจะงอนคุณทำไมล่ะครับ แล้วก็ออกไปจากห้องผมได้แล้วครับ นี่ห้องส่วนตัวของผม ผมก็ไม่ได้เดินตามคุณต้อยๆ เหมือนตอนเด็กให้คุณรำคาญแล้วไง จะเอาอะไรอีก”
ประโยคนี้ของน้ำมนต์ทำให้คนพี่รู้เลยว่าอีกคนคงได้ยินเขาพูดนินทาน้ำมนต์ก่อนหน้านี้เป็นแน่
“น้ำมนต์ไม่ต้องเดินตามพี่แล้วก็ได้ครับ แต่เดี๋ยวพี่ดินก็จะเป็นคนเดินตามน้ำมนต์ไปเอง” บดินทร์ตอบทันที รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตั้งใจปรากฏบนใบหน้า
“พี่รู้แล้วว่าครั้งนี้พี่ไม่ควรเป็นฝ่ายหนี แต่ควรต้องเป็นฝ่ายตามบ้าง ถ้าน้ำมนต์ยังไม่เชื่อ ก็ขอลองพิสูจน์ดูหน่อยไหม”
น้ำมนต์นิ่งคิด เขาต้องการจะเล่นเกมกับบดินทร์ เพราะเขารู้ดีว่าการเอาชนะหัวใจของบดินทร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และเขาก็ไม่ได้ต้องการให้ตัวเองตกหลุมรักง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่คำพูดของบดินทร์ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่น
“ถ้าคุณคิดว่าไหว ก็ลองดูครับ” น้ำมนต์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนความท้าทายไว้
“ผมจะคอยดูว่าคุณจะตามทันไหม จะทนตามได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว ว่าแต่ตอนนี้คุณต้องออกไปจากห้องผมครับ”
น้ำมนต์ออกปากไล่คนหน้ามึนอีกครั้ง ก่อนที่ตัวเองจะใจอ่อนไปมากกว่านี้ แค่เห็นหน้าอีกคนตอนนี้หัวใจเขาก็พลอยจะละลายไปกับความหล่อแล้ว
“พี่ดินออกไปไม่ได้แล้วครับ เพราะพี่บลูเพื่อนพี่มันยึดห้องใช้อยู่กับน้องข้าวโพดแล้ว พี่ไม่มีห้องอยู่ ฉะนั้นขอพี่อยู่ด้วยคนนะครับ หรือว่าน้ำมนต์กลัวอดใจไม่ไหวจะหวั่นไหวกับพี่”
พอโดนคนพี่ว่าน้ำมนต์ถึงกับคอแข็งหน้าตึง เรื่องอะไรจะไปยอมรับง่ายๆ ว่ากลัวการอยู่ร่วมกันกับคนหล่อตรงสเปคอย่างไอ้พี่ดินกัน
“ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณทั้งนั้นแหละครับ ถ้าคุณอยากอยู่ก็อยู่ไปงั้นจ่ายค่าห้องมาด้วย” น้ำมนต์บอกกับคนตัวโต เพื่อที่จะให้อีกคนเปลี่ยนใจ
บดินทร์ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มร่า มองซ้ายมองขวาเพื่อหาที่ที่จะเป็นที่อาศัยของตัวเองทันที เพราะห้องนี้เหมือนกับห้องที่เขาพักกับกิตติภูมิมีเตียงอยู่เตียงเดียวเหมือนกัน
“ถ้าคุณจะอยู่ คุณก็นอนโซฟาเลยครับ ห้ามขึ้นมาบนเตียงเด็ดขาด” น้ำมนต์ที่เห็นใบหน้าหล่อหมุนไปมาเลยพูดดักรอไว้ก่อน
“ได้ครับ ขอแค่พี่มีที่นอนก็พอ น้ำมนต์ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเช้าของรีสอร์ตแล้ว เราไปทานกันเถอะ หนูน่าจะหิวแล้ว” บดินทร์ชวนคนน้องทันที เพราะเห็นว่าเริ่มจะสายแล้ว
“แต่ผมต้องรอเพื่อนก่อนครับ ถ้าคุณหิว คุณไปกินก่อนเลย”
“ถ้าเพื่อนที่น้ำมนต์พูดถึงคือน้องข้าวโพดล่ะก็ ไม่ต้องรอหรอกครับเขาคงกินกับเพื่อนพี่อยู่ คงไม่ได้ออกมาจากห้องง่ายๆ หรอก”
“อะไร ทำไมเพื่อนคุณจะทำอะไรข้าวโพด บอกมานะ” น้ำมนต์ถามอีกคนด้วยความร้อนรนและเป็นห่วงเพื่อนทันที
“ก็ทำอะไรกันตามประสาคนรักกันนั่นแหละครับ เขาคงปรับความเข้าใจกันนิดหน่อยแต่อาจต้องใช้เวลา หรือเราจะทำแบบเค้าบ้างพี่ได้อยู่นะไม่ถือ เพราะยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว อยู่ก่อนแต่งได้เลยพี่พร้อม” บดินทร์บอกคนน้องก่อนที่จะทำท่าทางเดินเข้าไปคุกคามใส่ น้ำมนต์พอได้ฟังที่บดินทร์พูดเขารู้ได้เลยทันทีว่าไอ้ที่ว่าปรับความเข้าใจกัน เขาทำอะไรแบบไหน ก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้เมื่อคิดว่าข้าวโพดเพื่อนรักโดนพ่อเลี้ยงบลูเอาไปปรับความเข้าใจ น้ำมนต์คิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าแปลกๆ
“คุณอย่าเข้ามานะ และก็อย่าทำอะไรบ้าๆ ไม่งั้นผมโกรธจริงๆ ด้วย”
“เอาล่ะพี่ไม่ทำอะไรหรอก แต่มีข้อแม้ให้แทนตัวเองว่าน้ำมนต์เหมือนเดิมได้ไหม และก็เรียกพี่ว่าพี่ดิน ไม่อย่างนั้นพี่จะลงโทษเด็กดื้อนะครับ”
“โอเค ไป ไปทานข้าวกันน้ำมนต์หิวแล้ว” น้ำมนต์รีบตอบตกลงทันที เพราะเริ่มจะไม่ปลอดภัยกับหัวใจตัวเองแล้ว
ทั้งคู่ก็เดินออกไปทานข้าวที่ทางรีสอร์ตจัดไว้ให้สำหรับแขกที่เข้าพักด้วยกัน ขากลับบดินทร์แวะไปเอาของที่หน้าห้องพักของกิตติภูมิเพื่อนรักมาหลังจากที่เขาส่งข้อความไปบอก ไอ้ห่าบลู มึงจะไม่ออกมาดูหมอก ดูตะวันเลยใช่ไหม บดินทร์บ่นเพื่อนไปกับสายลมเพราะมันเอาของของ เขามากองไว้ที่โต๊ะหน้าห้อง ส่วนหน้าเพื่อนเขาไม่ได้เห็นมันอีกเลย
หลังจากที่หมกตัวอยู่รีสอร์ตสองวันบดินทร์ก็ยืนยันที่จะขับรถของน้ำมนต์ไปที่บ้าน เพราะรถของเขาถูกไอ้พ่อเลี้ยงมันยึดไป ตอนนี้บดินทร์ทำหน้าที่ขับรถโดยมีน้ำมนต์นั่งอยู่ในรถที่เงียบๆ มีเพียงเสียงเพลงเบาๆ ที่เปิดคลออยู่ เขาถามอะไรไปน้ำมนต์ก็เหมือนถามคำตอบคำ บดินทร์รู้สึกว่านี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาตั้งใจฟังทุกคำพูดของน้ำมนต์ แม้ในอดีตเขาจะมองว่าความรักของน้ำมนต์เป็นเพียงความเป็นเด็กน่ารำคาญที่ตามเขาไปทั่ว แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันมีความหมายมากกว่าที่เคยคิด
เมื่อขับรถไปจอดที่หน้าบ้านน้ำมนต์ลงจากรถก่อนจะหันกลับมาหาบดินทร์ “ขอบคุณมากครับ พี่จะเอารถน้ำมนต์ไปใช้ก่อนไหมเดี๋ยวค่อยขับมาคืน”
บดินทร์ยิ้มอย่างได้ใจ “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคนที่บ้านมารับ เดี๋ยวพี่ขอเข้าไปรอในบ้านก่อนนะ จะได้ไปสวัสดีว่าที่พ่อตาแม่ยายด้วย”
“พี่ฝันอยู่หรือเปล่าครับ”
น้ำมนต์ว่าให้ก่อนจะหัวเราะเบาๆ และปิดประตูรถ บดินทร์ยังคงมองตามแผ่นหลังของน้ำมนต์ที่เดินนำเข้าบ้านไป หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวังและความท้าทาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการตามหาความรักอาจไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด แต่ยิ่งยากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากลอง
บดินทร์ได้รับข่าวว่าน้ำมนต์กำลังไปถ่ายคอนเทนต์ที่ดอยเชียงดาว สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเชียงใหม่ ซึ่งมีทิวทัศน์งดงามและอากาศเย็นสบาย น้ำมนต์เป็นยูทูปเบอร์ที่มีผู้ติดตามมากมาย ความนิยมของเขาพุ่งทะยานจนมียอดติดตามเกือบหลักล้าน บดินทร์ซึ่งไม่ค่อยเข้าใจโลกออนไลน์เท่าไหร่ กลับเริ่มรู้สึกว่าการที่คนอย่างน้ำมนต์ได้รับความนิยมสูงเช่นนี้เป็นเรื่องที่เกินคาดหมาย เขาจึงตัดสินใจตามไปที่เชียงดาวเพื่อเจอหน้าและทำความรู้จักกับน้ำมนต์ให้มากขึ้น เช้าวันหนึ่ง บดินทร์ขับรถขึ้นมาบนดอยเพื่อตามหาน้ำมนต์ ท่ามกลางหมอกบางๆ ที่ปกคลุมทิวเขา เขาเห็นกลุ่มคนกำลังถ่ายทำคลิปอยู่ใกล้ๆ ซึ่งน้ำมนต์ยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา หน้าตายิ้มแย้มเป็นกันเองกับทีมงาน ผิดกับท่าทีเย็นชาที่บดินทร์เคยเห็นจากการเจอกันครั้งก่อน “น้ำมนต์” บดินทร์เดินเข้าไปใกล้พลางเรียกชื่อคนน้องน่ารักที่ทำให้ตัวเองต้องตามมาถึงนี่ น้ำมนต์หันมามองตามเสียงเรียกก็เห็นว่าเป็นบดินทร์ ใบหน้าของน้ำมนต์เปลี่ยนจากรอยยิ้มสดใสเป็นสีหน้าเรียบนิ่ง “พี่ดินมาทำอะไรที่นี่ครับ” “พี่แค่มาดูน้ำมนต์ทำงาน แค่อยากรู้จักน้ำมนต์ให้มากกว่านี้” บดินทร์พยายามทำเสียงอ่อนโยน แต่ด
บดินทร์รีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้เจอกับน้ำมนต์ เขาคิดว่าน้ำมนต์น่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเหมือนกัน เพราะเห็นแม่เขาบอกว่าน้ำมนต์จะมาทำคอนเท้นต์ลงยูทูปด้วย และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ในที่สุดเขาก็เจอกับน้ำมนต์ แต่ที่คิดไม่ถึงคือคนที่อยู่กับน้ำมนต์คือน้องข้าวโพดเด็กไอ้บลูมัน มันจะรู้ไหมว่าข้าวโพดก็อยู่ที่นี่ “ไอ้บลู บลูตื่นก่อนมึง” บดินทร์กลับจากเดินไปสำรวจบรรยากาศรอบรีสอร์ตมาก็รีบกลับมาหาเพื่อน แต่ไอ้คนที่มันนอนอยู่กลับพลิกตัวหนีเหมือนรำคาญเขานักหนา “ไอ้บลูตื่น กูเจอคู่หมั้นกูแล้ว และมึงรู้ไหมกูเจอใครอีก” กิตติภูมิที่ง่วงนอนมากถึงกับเอาผ้าห่มมาคลุมโปงเพื่อจะหนีความรำคาญจากเพื่อน “มึงเจอใครก็ช่างเถอะ กูขอนอนแป๊บนึงได้ไหม กูง่วงไอ้ดิน” “เออ งั้นมึงนอนไปเถอะ เดี๋ยวกูไปหาน้ำมนต์คู่หมั้นกูเอง กูแค่จะมาถามมึงว่ามึงรู้ไหมว่าทำไมน้องข้าวโพดมาอยู่กับน้ำมนต์ได้ เขารู้จักเหรอเท่านั้นแหละ งั้นกูไปล่ะ” แต่ก่อนที่บดินทร์จะทันได้ลุกออกจากขอบเตียง มือของเขาก็โดนเพื่อนฉุดรั้งเอาไว้พร้อมทั้งใบหน้าหล่อๆ ของเพื่อนโผล่ออกจากผ้าห่มอย่างน่าหมั่นไส้ ความงัวเงียเมื่อกี้ของมันหายไปไหน “มึ
หลังจากวันนี้ที่บดินทร์ได้พบกับน้ำมนต์ครั้งแรก หลังจากโตเป็นหนุ่มเต็มวัย เขากลับต้องตกตะลึงในความงามที่เขาไม่เคยคาดคิดต่างจากภาพจำในอดีต น้ำมนต์ในวันนี้สวยหวานเซ็กซี่ผิดหูผิดตา และดูมีความมั่นใจในตัวเองสูง จนบดินทร์ต้องเปลี่ยนใจจากที่เคยดูถูกมาเป็นการตามจีบแทน ระหว่างทานข้าวเสร็จบดินทร์พยายามที่จะนัดพาน้ำมนต์ไปเที่ยววันหยุด แต่น้ำมนต์ก็พยายามปฏิเสธวันนี้ยังไม่พร้อมจริงๆ เพราะไอ้พี่ดินมันก็สเปคน้ำมนต์ทุกอย่าง ขอกลับไปตั้งหลักปรึกษาข้าวโพดก่อนแล้วกัน น้ำมนต์เลยขอตัวกลับบ้านก่อนเพราะมีนัดกับเพื่อนจะไปเที่ยวรีสอร์ต บดินทร์ได้ยินดังนั้นก็ใจร้อนรุ่มเพราะได้ยินข่าวว่าน้ำมนต์จะไปค้างคืนด้วย เขาเลยตั้งใจที่จะไปขัดขวางและเเสดงตัวว่าเป็นคู่หมั้นของอีกคน แต่เขาไม่รู้นี่ซิว่าน้ำมนต์ไปพักรีสอร์ตที่ไหน จึงต้องรอพ่อกับแม่ก่อนว่าจะได้ข่าวว่าน้ำมนต์ไปพักที่ไหน ถ้าได้เรื่องเเล้วจะโทรบอกบดินทร์อีกที บดินทร์รู้สึกเหมือนน้ำมนต์พยายามหนีเขา หนีให้รอดแล้วกัน เดี๋ยวเขานี่แหละจะตามล่าเอง แต่วันนี้ขอไปตั้งหลักกับไอ้บลูเพื่อนรักก่อนแล้วกัน “อะไรของมึงดิน ไหนบอกว่าจะมาพรุ่งนี้ไง ไอ้ห่า” บดินทร์โดนกิตติภูมิห
วันนี้ครอบครัวของน้ำมนต์ได้รับเชิญให้มาทานอาหารที่บ้านของบดินทร์เพราะคุณเด่นชัยกับคุณนวลพรรณอยากให้คนที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันได้เห็นหน้าค่าตากันเสียทีหลังจากที่คลาดกันไปมาหลายครั้ง ครั้งนี้พวกผู้ใหญ่เลยไม่ยอมต้องลากทั้งคู่ออกมาเจอกันให้ได้ น้ำมนต์จึงจำใจต้องตามพ่อกับแม่มาทานข้าวที่บ้านของบดินทร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ “สวัสดีครับคุณลุงเด่น สวัสดีครับคุณป้านวล” น้ำมนต์กล่าวสวัสดีทักทายพร้อมยกมือไหว้คุณเด่นชัยกับคุณนวลพรรณผู้เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ของตัวเองอย่างนอบน้อม “สวัสดีหนูน้ำมนต์ ไหว้พระเถอะลูก” “สวัสดีจ๊ะหนูน้ำมนต์ลูก น่ารักจังเลยว่าที่ลูกสะใภ้ของแม่ ขอคุณแม่กอดหน่อยม่ะ ฟอดด น่ารักจังเลย” คุณป้านวลพรรณกล่าวชมว่าที่ลูกสะใภ้อย่างน้ำมนต์ นานๆ คุณนวลพรรณเธอจะเจอน้ำมนต์ทีเพราะอีกฝ่ายไปเรียนที่กรุงเทพ แต่เจอทีไรน้ำมนต์ก็ดูน่ารักใบหน้าสวยเหมือนเพื่อนเธอขึ้นทุกวัน เธอจะดีใจมากถ้าบดินทร์ลูกชายแต่งงานกับน้ำมนต์เพราะเธอรักและเอ็นดูน้ำมนต์ตั้งแต่ยังเด็ก “เอ่อ คุณลุง คุณป้าครับ น้ำมนต์ขออนุญาตเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหมครับ” น้ำมนต์ขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อนที่จะถามทางเดินไปห้องน้ำแล้วเดินไปทำธุระส่วนตั
“หนูน้ำมนต์ พอดีพี่ดินเค้าติดธุระด่วนต้องพาเพื่อนเข้าไปดูไม้ที่ปางไม้กะทันหันเลยมารับหนูน้ำมนต์ไปทานข้าวเที่ยงไม่ได้ พี่เค้าเลยให้ป้าโทรมาบอกหนูน้ำมนต์แทน พี่ดินเค้าฝากขอโทษมาด้วยนะลูก ป้าต้องขอโทษแทนลูกชายป้าด้วยนะคะที่ผิดนัด” "ครับ ไม่เป็นไรครับป้านวล น้ำมนต์โอเคครับ ฝากบอกพี่ดินด้วยนะครับจะได้ไม่เป็นกังวล” “น่ารักจังเลยลูก เดี๋ยวครั้งหน้าหนูน้ำมนต์นัดสถานที่ไว้ได้เลยอยากไปที่ไหนเดี๋ยวป้าให้พี่ดินพาไปนะคะรับรองไม่เบี้ยวแน่นอน” “ได้เลยครับคุณป้า ขอบคุณมากนะครับ” “งั้นป้าวางแล้วนะลูก ป้าคิดถึงหนูน้ำมนต์จังเลย เดี๋ยวไว้เจอกันนะคะ” พอคุณนวลพรรณเพื่อนของคุณป๊ากับคุณม๊าหรือมารดาของบดินทร์คู่หมั้นวัยเด็กของน้ำมนต์วางสาย น้ำมนต์ก็ส่งโทรศัพท์คืนคุณม๊าทันทีก่อนที่จะนั่งทำหน้างอลงข้างๆ คุณคำรณผู้เป็นพ่อ “เป็นอะไรไปลูก ดูทำหน้าเข้า หน้าสวยๆ ของลูกป๊าทำไมมันงอยิ่งกว่าตะหลิวอีก” คุณคำรณถามลูกชายคนเดียว ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ก็ จะอะไรอีกล่ะครับ คุณพี่ดินคนดีของป๊ากับม๊านั่นแหละเบี้ยวน้ำมนต์อีกแล้ว ปล่อยให้น้ำมนต์แต่งตัวเก้อ ไม่อยากไปก็ทำไมไม่บอกกันตรงๆ แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ” น้ำมนต์บ่นคู่
“ดิน แม่ว่าลูกควรจะไปหาเวลาเจอหนูน้ำมนต์สักทีนะ ตอนนี้น้องก็เรียนจบกลับมาอยู่ที่เชียงดาวแล้ว อยู่ใกล้กันแค่นี้เองกลับไม่ได้เจอกันเลย ดินอย่าเอาแต่หนีงานดูตัวแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้แต่งงานกันล่ะลูก” คุณนายนวลพรรณมารดาของบดินทร์เตือนลูกชายอย่างใจเย็น ขณะที่บดินทร์นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่บนโซฟาข้างคุณเด่นชัยผู้เป็นพ่อ“แม่ครับ ผมบอกแล้วไงครับว่าผมไม่พร้อมที่แต่งงานกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะกับน้ำมนต์ ผมไม่ได้ชอบน้องแบบคนรักครับ ผมแค่เอ็นดูเหมือนน้องเหมือนนุ่งมากกว่า” (ขี้เหร่อย่างนั้นผมไม่เอาหรอก) บดินทร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความรำคาญ ส่วนประโยคหลังแอบต่อในใจบดินทร์ ศุภมงคลพิพัฒน์ ชายหนุ่มวัย 29 ปี เจ้าของปางไม้ศุภมงคล ปางไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เป็นที่รู้จักในเรื่องความหล่อเหลาผสมกับความเจ้าชู้และความมั่นใจในตัวเองระดับสูง เขามักจะคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามใจเขาเสมอ แต่ในเรื่องของการแต่งงานกลับไม่เป็นเช่นนั้น ครอบครัวกลับเป็นฝ่ายจัดการทั้งหมดโดยไม่ปรึกษาเขาเลย เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขายังเด็ก บิดามารดาของบดินทร์ได้ตกลงหมั้นหมายเขากับเด็กชายอ้วนเตี้ยคนหนึ่งที่ชื่อ “น้ำมนต์” ซึ่ง