LOGIN"ชะตาชีวิต และเส้นทางความฝันที่ต่างกัน เมื่ออีกคนดันวาดใจของใครคนหนึ่งด้วยรักที่มิอาจลืมเลือน แม้กาลเวลาได้พรากเขาทั้งคู่จากกัน" เมื่อท้องฟ้าคือ คุณหมอผู้งดงามราวกับเทพบุตร ขวัญใจผู้ป่วย ต้องเผชิญกับซองอึนผู้หล่อเหลา สง่าผ่าเผยแต่แสนจะเย็นชา คนรักเก่าทายาทพิพิธภัณฑ์งานศิลปะของเกาหลี ผู้สง่าผ่าเผย เย็นชา และบรรดาผองเพื่อนที่มาสร้างสีสัน ทว่าจุดเริ่มต้นของความรักนั้นได้เกิดขึ้นในรั้วมัธยมศึกษา และสิ้นสุดเช่นเดียวกัน การจากลากันโดยไม่มีคำร่ำลา และเจอกันอีกครั้งโดยไม่ทันได้เตรียมใจ ทุกอย่างล้วนเป็นแผนที่มาพร้อมกับการแก้ปริศนาการตายที่มีเงื่อนงำ! พู่กันได้เริ่มตวัดวาดมันอีกครั้งเมื่อใจทั้งคู่ยังคงโหยหาซึ่งกันและกัน...
View More~ท้องฟ้า~
เปิดโลกเช้าวันใหม่ด้วยรอยยิ้มของชายหนุ่ม ช่วงปิดเทอมที่แสนจะเบื่อหน่ายกำลังจะผ่านพ้นไป ชายหนุ่มในชุดนักเรียนสีขาว กางเกงยาวสีดำที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมสัมภาระลงในกระเป๋าสะพายสีเหลืองอร่าม "ท้องฟ้า เสร็จหรือยังลูก เปิดเทอมวันแรกเดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก!" เสียงผู้หญิงวัยสี่สิบต้นๆ ตะโกนร้องเรียกชายหนุ่ม ทั้งที่เธอกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดข้าวของขึ้นชั้นวาง "ไม่สายหรอกแม่ ตั้งแต่เรียนมาเคยเห็นฟ้าไปเรียนสายเหรอ" ผมที่ยุ่งอยู่กับการแต่งตัว แววตาจ้องมองตัวเองผ่านกระจก ฉีกยิ้มที่เห็นเขี้ยวเล็กๆอย่างมั่นใจ ก่อนเดินลงมาชั้นล่างของบ้าน ที่เปิดเป็นร้านขายของชำมานานนับสิบปีของที่ขาย ก็หนีไม้พ้นพวกขนมขบเคี้ยว ของใช้ส่วนตัว อาหารสำเร็จรูป แม่บอกผมว่าความฝันของพ่อคือการเปิดร้านเป็นของตัวเอง และแม่เองก็ไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านให้เหนื่อย พ่อผมทำงานอยู่ต่างประเทศ เราแทบไม่ได้เจอกันเลย แม่บอกว่าพ่อยุ่งมาก เพราะเป็นแค่แรงงานอุตสาหกรรม พ่อตัดสินใจไปทำงานที่นั่นส่วนหนึ่งก็เพราะแม่ ก็เพื่อหาเงินให้มากพอที่ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้แม่ได้ ถึงแม้ว่าพ่อจะอยู่ไกล แต่ผมก็มีความสุข เหมือนว่าพ่ออยู่ใกล้เรา "เอาของพวกนี้ไปด้วย!" ผมมองผู้เป็นแม่ที่ส่งยิ้มให้ผม อย่างมีเลคนัย ก่อนยื่นถุงใส่ข้าวของเต็มไปหมด "อะไร! ให้ผมเอาไปแจกเพื่อนเหรอไง ใจปล้ำนะเนี่ย"เขาหยอกล้อผู้เป็นแม่ "ใช่ที่ไหน! เอาไปส่งลูกค้าให้หน่อย" เธอพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "นะ แม่ขอช่วยหน่อยนะ เห็นไหมงานยังอีกเยอะ" เธอผุดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ "ที่ไหน ไหนว่าไม่อยากให้ไปเรียนสายไง" ชายหนุ่มย้อนถามกลับไป ผู้เป็นแม่เปลี่ยนสีเหยียดยิ้มกว้างชั่วร้ายทันที "เรียนสายสักวันจะเป็นอะไรไป นะ" เธอพูดขึ้นอย่างมั่นใจ ทำเอาผมแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม แต่ช่างเถอะ! ถามมากเดียวคุยกันขขยาวพอดี "ที่ไหนล่ะครับ คุณนาย" ผมย้อนถามย้ำขึ้นอีกครั้ง "บ้านท้ายซอยนู้น!" "ฮ่ะ! แม่พูดผิดใช่ไหมเนี่ย" ผมถามย้ำอีกครั้ง เพราะที่นั่นไม่มีใครอยู่มานานมากแล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ยิงกันตายในครั้งนั้น "เมื่อคืนมีสองยายหลานย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านท้ายซอย และเมื่อตะกี้เขาก็มาสั่งของกับแม่ แต่งตัวดูดี มีฐานะ ผิวขาวผ่อง แม่ว่าต้องเป็นคนรวยมากๆ " "ไม่เอาฮะ! ใครๆ เขาก็รู้ว่าที่นั่นมีผี แถมเฮี้ยนมากด้วย ให้ตายผมก็ไม่ไปที่นั่นเด็ดขาด โนเวร์ โอเค " ผมวางถุงสินค้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบใส่รองเท้านักเรียน เพื่อจะวิ่งออกไป แต่ทว่า... "เงินสนับสนุนกิจกรรมเข้าค่ายหมออาสาคงไม่ต้องแล้วซิน่ะ! เสียดายจัง ว่าจะให้มากกว่าปีที่แล้ว อืม สักสองเท่า!" "สองเท่า!! ได้ครับแม่คนสวย แถมใจบุญอีก จะรีบไปรีบมานะครับ รักน่ะ จุ๊บๆ" เขารับถุงสินค้าจากแม่ ก่อนจะวิ่งไป โดยลืมเรื่องที่ตนกลัว ปล่อยให้คนเป็นยืนยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหันกลับมองฝั่งตรงข้าม แล้วพยักหน้าตอบรับ กับใครคนหนึ่ง "สองเท่าโห่ ซื้ออุปกรณ์ และยาได้เยอะเลย" ชายหนุ่ม คิดไปเดินไป พร้อมมองบรรยากาศรอบๆ ที่ดูวังเวงยิ่งนัก ก้อนเมฆที่ปิดบังแสงดวงอาทิตย์เอาไว้ ทำให้ตลอดเส้นทางดูมืดมน อีกทั้งสองข้างทางต่างปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้ ต้นไม้ และเถาวัลย์ เขาหยุดเดินเมื่อถึงที่หมาย มองไปยังตัวบ้าน มีเสียงจิ้งหรีดดังขึ้นเป็นระยะๆ ตัวบ้านที่เคยสกปรก บัดนี้มันกลับดูสะอาดตาอย่างกับบ้านที่เพิ่งสร้างใหม่ ใบไม้ขยะมากมายที่ส่งกลิ่นเหม็นเต็มหน้าบ้าน ตอนนี้มันถูกกวาดออกจนหมด เผยให้เห็นพื้นดินที่ขาวสะอาดตา บริเวณถูกตกแต่งไปด้วยดอกไม้ กล้วยไม้นานาพรรณ แทบไม่มีเค้าโครงบ้านผีสิงที่ใครๆ ต่างพูดถึงอีกต่อไป "สวัสดีครับ มีใครอยู่ไหมเอ่ย ผมเอาของมาส่งครับ" ".........." ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เขาจึงตัดสินใจว่าจะเอาของไปวางไว้ บนม้านั่ง แต่แปลกมาก! ยิ่งเดินไปใกล้บ้าน ยิ่งรู้สึกขนลุกซู่ เสียวสันหลังวาบขึ้นมา สายตามองไปยังต้นไทรขนาดใหญ่ที่ลำต้นถูกไว้ด้วยผ้าพื้นหลากสีสัน พร้อมกลิ่นธูปลอยมาแตะจมูก น้ำแดงที่ตั้งเรียงรายไว้เพื่อเซ่นไหว้พวกสิ่งที่มองไม่เห็น ทำให้เขาหวาดกลัวกว่าเดิม "ใครมันช่างกล้า มาอยู่ที่นี่กันนะ! บ้าไปแล้ว" เขาพูดขึ้นในขณะที่สายตาไปสะดุดกับเงาตะคลุ่มๆ หลังต้นไทร เหมือนกำลังนั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น เงานั้นหันหลังมามองผม คงเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนยืนดูอยู่ เขาได้แต่ยืนนิ่งตัวสั่นเทาเหมือนลูกนก เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนใบหน้า เงานั้นค่อยๆ ลุกขึ้นเดินมายังเขา ขาของเขานิ่งค้างราวกับหินขยับหนีไม่ออก พลันก้อนเมฆที่ได้ปกปิดแสงอาทิตย์ได้ลอยออกไป เผยให้แสงสว่างสาดส่องมายังเงา เห็นใบหน้าที่ดูดีซีดแต่หล่อตี๋ จมูกที่โด่ง คิ้วหนา ปากอมชมพู น ปรากฏรอยยิ้มจางๆจนแทบมองไม่ทัน ชายหนุ่มตรงหน้า สวมใส่เสื้อสีขาวทำให้เขาโคตรหล่อ เหมือนพระเจ้าสรรค์สร้างเอกลักษณ์ของร่างกายมาให้เขาโดยเฉพาะ ยกเว้นแววตาเย็นชา และรอยยิ้มจืดจางนั่น "ไอเจ้านี่! มันคือตัวอะไร" เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เย็นชา เหมือนไม่ขยะแขยงกับสิ่งที่จับมันด้วยมือเปล่า " เฮ้ย!! ตะ ตะ ตุ๊กแก นายเอามันไปไกลๆ เลย หรือไม่ก็ทิ้งมันซ่ะ" พระเจ้าเขามาพร้อมกับความแปลกประหลาดเหรอ หรือพระเจ้าให้ความหล่อเขาแต่ลืมสอนวิธีการใช้กันแน่ "ชื่อ รูปร่างมันน่ารักดี มาดูใกล้ๆ ซิ! "เขาพูด และยื่นมันเข้ามาใกล้ผมโดยไม่กลัวมันเลยสักนิด "โอ่! ไม่น่ะ นายมองมันว่าน่ารักเหรอ เอามันไปห่างๆ จากตัวฉันเลย" ผมพูดขึ้นด้วยความขยะแขยง สายตาผมที่มองเขาอย่างพิจารณาแล้วว่า เขาไม่ปกติ ในชีวิตของมนุษย์ส่วนมากจะเกลียดและกลัวเจ้านี่ แต่เขากลับมองมันว่า "น่ารัก" ยังไม่พอ เขาเอามันใส่ขวดแก้วที่ปิดฝาสนิท ก่อนจะใส่มันลงกระเป๋าใบหนึ่ง ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที หากมีเพื่อนแบบนี้ ต่อให้หน้าตาดีระดับเทพขนาดไหน ก็อย่ามารู้จักกันยังเสียดีกว่า "นายมาทำอะไรที่นี่" เขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาที่เย็นชานั่นทำเอาผมขนลุกเข้าไปอีก " มาส่งของ นี่เอาไปซิ! " ผมยื่นของออกไป เขารับมันไว้ "เดียวซิ!" มือนั่นจับมือผมไว้ เราทั้งคู่สบตากัน ผมรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด แววตาคู่นั้นถึงจะเย็นชา แต่ดูมีเสนห์ หรือเขาไม่ใช่คน ก็คงไม่ใช่ เพราะผมสัมผัสได้ถึงมืออุ่นๆ ของเขา "มือ!!" ที่จับตุ๊กแก "เฮ้ย! ยึ๋ย!!สกปรก นายควรล้างมือให้สะอาด มันอาจมีเชื้อโรคติดมาที่มือด้วย เข้าใจไหม" ผมพูดขึ้น "อืม..เข้าใจแล้ว" เขาเดินกลับเข้าบ้านไป ผมไม่รอช้ารีบชิ่งออกไปด้วยความเร็วแสง "คนอะไร แปลกชะมัด หน้าตาก็ดี ทำไมชอบอะไรแบบนี้ เล่นเอาขนลุกเลย เฮ้ย! จะสายแล้ว" ผมพึมพำกับตัวเองก่อนมองเข็มนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาใกล้เข้าแถวแล้ว เป็นการพบเจอกันครั้งแรกที่น่าขนลุกระหว่างผมกับเขา แต่ที่แปลกมากที่สุด คือผมยังคงจดจำรายละเอียดบนใบหน้าของเขาได้ชัดเจนมาก แม้กระทั่งไฝที่อยู่ใกล้ติ่งหูของเขา เขาเป็นใคร? กันนะ! คือคำถามที่อยู่ในใจผมตลอดทั้งวัน วันนี้ผมน่าจะถามชื่อของเขาเอาไว้ในห้องชมรมศิลปะอันกว้างใหญ่ ภาพวาดงดงามที่ถูกตวัดลวดลายหลากหลายสีสันด้วยแปรงพู่กันผ่านสีโปสเตอร์ ถูกตั้งสง่าเรียงรายอย่างโดดเด่นเพื่อผลการแข่งขัน ขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานศิลปะที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากจินตนาการของนักวาดก็ยากจะตัดสินได้ว่า ผลงานชิ้นไหนดีที่สุด ยกเว้นองค์ประกอบรวมที่ผู้วาดได้ถ่ายทอดลงไปเพื่อสื่อความหมายของภาพนั้น ๆ คณะกรรมตรวจสอบผลงานได้เดินดูภาพวาดแต่ละภาพอย่างภาคภูมิใจในผลงานทุกชิ้น แต่พวกเขาต้องมาสะดุดตากับภาพวาดแผ่นหนึ่ง ยืนมองวิเคราะห์ภาพวาดนั้นนานสองนาน"ภาพนี้ถึงแม้จะดูธรรมดา ใช้เฉดสีน้อยนิดแต่มีการใช้ส่วนประกอบมูลฐาน! ทำให้ผลงานโดดเด่นและแตกต่างกว่าของนักเรียนคนอื่นๆ พวกคุณดูซิ!"คณะกรรมการผู้อาวุโสชายท่านหนึ่งพูดขึ้น ก่อนที่คุณครูท่านอื่นๆจะมองสังเกตภาพนั้นใกล้ๆ"จริงด้วยค่ะอาจารย์ เส้น รูปร่าง น้ำหนัก สี ผิวเผินอาจดูธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อรวมองค์ประกอบรวมดันมีความสมดุลกัน" คณะกรรมการผู้หญิงพูดขึ้น"แบบด้านสองด้านไม่เท่ากัน"คณะกรรมการผู้ชายเสริมขึ้นเมื่อสังเกตเห็นจุดเด่นของภาพวาดใบนี้"ใช่ค่ะ แบบด้านสองด้านไม่เท่ากัน แต่ยังมีความเคลื่อนไหวที่สั่นพลิ้วสลวยอย่างละเอีย
~ห้องศิลปะ~วันแข่งขันมาเยือนเหล่าเพื่อน ๆ ต่างสถาบันต่างหลั่งไหลกันเข้ามาร่วมกิจกรรมวิชาการและงานบันเทิงอย่างครบเครื่องมีหรือจะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปได้ เสียงหัวเราะเขาเหล่านักเรียนต่างส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วอาคารเรียน"สวัสดีครับครูเบนนะยินดีที่ได้รู้จักนักเรียนทุกคนในห้องนี้ ครูดีใจมากที่วันนี้มีนักเรียนหลากหลายโรงเรียนเข้าร่วมประกวดวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ในหัวข้อ ซากุระ อาร์ต คันเทสทฺ "วาดภาพทิวทัศน์" เพื่อไม่ให้เสียเวลาอีกต่อไป ทุกคนมาเริ่มกันเลย ไฟติ้ง!"ครูเบนเดินไปนั่งตรงโต๊ะประจำของตนก่อนมองไปยังซองอึนด้วยความภาคภูมิใจไม่คิดเลยว่าเขาจะร่วมกิจกรรมด้วย"ซองอึน เขาเปิดใจให้ท้องฟ้าคนเดียวซินะ" เผยรอยยิ้มตรงมุมปาก ไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะมาถึงจุดนี้ได้พู่กันและสีน้ำต่างถูกบรรเลงลงบนกระดาษขนาดใหญ่ สไตล์การวาด ความคิดสร้างสรรค์แตกต่างกันออกไป ผู้เข้าแข่งขันทุกคนดูมุ่งมั่น ตั้งใจหมายจะคว้าความภาคภูมิใจกลับบ้านไปให้ได้ มีเพียงซองอึนที่ยังคงหลับตาด้วยความผ่อนคลาย "ให้ตายซิ นอนได้ทุกเวลาจริงๆ" ท้องฟ้าที่กำลังแอบมองอยู่ผ่านกระจกเล็ก ๆ ด้วยความหงุดหงิดแต่ทว่ามือเรียวของซองอึนกำล
เปิดเรียนวันแรกหลังจากการพักผ่อนของพวกเขา อากาศยามเช้าที่เย็นสบาย ไร้มลพิษ ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติที่เขียวชอุ่ม สองข้างทางรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณสีสันสดใสช่างงดงามตายิ่งนัก ไร่องุ่น ไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเป็นเมืองที่เหมาะกับคนที่รักความสงบ รักความเรียบง่าย รักชีวิตที่อิสระ และรักธรรมชาติถึงจะอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ได้ ซองอึนยืนมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสุกใสในวิธีการชีวิตของชาวไร่ช่างเหน็ดเหนื่อยทั้งเก็บเกี่ยว พรวนดิน ดูแลรักษาพืชผลด้วยความใส่ใจทะนุถนอมดังลูกในไส้ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข ดั่งคำกล่าวที่ว่า"สุขแท้จริง คือสุขที่ใจ" เขาไม่เคยคิดเลยว่าการได้มาใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้จะทำให้พบเจอสิ่งมหัศจรรย์มากมาย ความพอเพียง ความจริงใจ และมิตรภาพที่ดี ไม่แปลกใจที่คนที่นี่ล้วนดูมีรอยยิ้มบนใบหน้าทำให้เข้าสัมผัสได้ถึงความสุขที่หาซื้อจากที่ไหนไม่ได้ และตัวเขาล่ะพอใจกับสิ่งที่มี อยู่ ณ ตอนนี้แล้วหรือยัง หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงถือกระดานวาดภาพ พู่กัน และสีติดตัวมาด้วย และคงยากที่จะห้ามใจไม่ให้วาดความสุขเหล่านี้เพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดได้หรอก อารมณ์ศิลปินของเขากำลังพุ่งก
~ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง~เสียงร้องห่มร้องไห้ดังทั่วห้องผู้ป่วยรวม ผู้ป่วยเตียงข้าง ๆ ต่างลุกขึ้นมามองคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนมองคนไข้อย่างหมดอาลัยตายอยาก เหมือนกับคนบนเตียงนั้นสิ้นลมหายใจไปแล้ว "ไม่น่าเลยลูกชายสุดที่รักของพ่อ" กระดาษเช็ดชู้ที่ถูกดึงจากกล่องชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ใช้แล้วตกลงสู้พื้นมากมายรวมทั้งในถังขยะ ชายวัยกลางคนนี้คงร้องไห้มานานมากแล้ว"ถ้าแม่ไปด้วยคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอกพ่อ อึก! ""โธ่ อาชิลูกพ่อ เกิดมาพ่อแม่ดูแลอย่างดี ยุ่งไม่ให้กัดแมลงวันก็ไม่ให้ตอม ทำไมถึงรนหาที่นัก ฮึฮื้อฮื้อ" หัวอกคนเป็นพ่อแทบใจสลายเมื่อมองลูกชายที่บัดนี้ถึงแม้จะพ้นขีดอันตรายแล้วก็ตาม"ยังไม่ตายครับพ่อ แม่บอกพ่อด้วยซิครับ ที่นี่โรงพยาบาลช่วยเบา ๆ หน่อย ผมอายเขา" ร้องซะทำเอาผมแทบไม่กล้ามองหน้าใครเลย โดยเฉพาะ ครอบครัวผู้หญิงที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามที่กำลังยืนมองด้วยแววตาซาบซึ้งใจ แต่ก็นะปากคนเราย่อมไม่ตรงกับใจเอาเสียเลย"เฮ้ย! น่าส่งสารบ้านนู้นนะร้องไห้เพราะสงสารลูกชาวบ้าน กลัวคนอื่นจะคิดว่าเป็นพ่อขี้แย" พ่อของใบชายิ้มเย้ยหยัน พร้อมแววตาดูถูก "เพราะช่วยลูกมึงนั้นแระ! ลูกกูถึงเป็นแบบนี้ขอบคุณสักคำมีไหม
reviews