2 หนี้
การเดินทางข้ามจังหวัดเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย กว่าที่นลินจะกลับถึงบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดก็เล่นเอาอ่อนเพลียแทบไม่เหลือแรงเดิน ตั้งใจเอาไว้ว่าถึงบ้านจะของีบหลับสักตื่น
ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ดวงตาที่ปรือของเธอก็ได้เบิกโพลง อาการง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อพบว่าของภายในบ้านถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย ฝุ่นและหยากไย่หนาบ่งบอกว่าขาดคนทำความสะอาดนานแล้ว
นลินหันซ้ายมองขวา ต้องการมองหาสมาชิกคนอื่น ๆ ในบ้าน แต่กลับไม่พบใครสักคน เธอตื่นตระหนกแต่ก็พยายามตั้งสติ
เดินถอยออกไปอยู่ในจุดที่ปลอดโปร่งนอกตัวบ้าน มือคว้านหาโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งไปไถ่คืนมาจากโรงรับจำนำ เธอยกออกมากดเบอร์ แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อมีชายปริศนาคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ไม่ว่าคุณคิดจะโทร. หาใคร เชื่อเถอะว่าจะไม่มีใครให้คำตอบคุณได้ดีไปกว่าผม”
“คุณเป็นใคร”
“ผมชื่อสิน เป็นคนติดตามหนี้”
“ติดตามหนี้ แล้วมาที่บ้านของฉันทำไม”
“ตามที่ผมได้แนะนำตัวไป ผมเป็นคนติดตามหนี้”
“คุณกำลังจะบอกว่าบ้านฉันติดหนี้ และคุณมาทวงหนี้กับฉันอย่างนั้นเหรอ แต่ฉันไม่เคยก่อหนี้เลยนะ ฉันไม่รู้เรื่อง”
“คุณชื่อนลิน วรภิรมย์ เป็นลูกของนายประเสริฐกับนางวิภาวี อดีตเจ้าของบ้านหลังนี้ถูกต้องไหมครับ”
“อดีตเหรอ?”
สินยิ้มอย่างใจเย็น เขาเข้าใจได้ทันทีว่าการไม่ปฏิเสธนั่นแหละคือการตอบคำถาม จึงเปิดกระเป๋าเอกสารส่งยื่นไปให้เธอดูสัญญากู้ยืม
นลินทำอะไรไม่ได้ดีไปกว่าการรับเอกสารมาตรวจสอบ แล้วเธอก็ต้องตกใจสุดขีดยิ่งกว่าตอนเปิดประตูเข้าไปเห็นสภาพของบ้าน เพราะในสัญญาระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พ่อแม่ของเธอได้กู้ยืมเงินด้วยยอดเงินสูงถึงสามล้านบาท ส่วนที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือ ในสัญญากู้ยืมมีชื่อและลายเซ็นของเธออยู่ในช่องผู้ค้ำประกัน
“ไม่จริง ฉันไม่ได้เป็นคนเซ็น”
“คิดดี ๆ สิครับ”นลินลองคิดตามคำพูดของสิน ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อต้นปีแม่ของเธอได้ขึ้นมาหาเธอที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก บอกว่าพี่ชายจะถูกรับเข้าทำงานในตำแหน่งที่สำคัญในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง แต่เพราะเป็นบริษัทใหญ่จึงต้องการหลักประกันว่าพนักงานจะมีคุณภาพ เป็นไปตามคุณลักษณะที่บริษัทกำหนด ซึ่งผู้จะเข้าทำงานต้องแนบเอกสารยืนยันตัวตน รวมถึงต้องแปะข้อมูลเบื้องต้นของสมาชิกทุกคนในบ้าน สำหรับให้ทางบริษัทตรวจสอบหาความสุจริต
เธอให้ความเห็นว่าเงื่อนไขฟังดูแปลก กลัวว่าพี่ชายจะถูกหลอก เพราะหากพูดถึงความสามารถและวุฒิการศึกษา พี่ชายของเธอไม่น่าจะผ่านเกณฑ์การคัดเลือกด้วยซ้ำ พอพูดแย้งเช่นนั้น แม่ก็ก่นด่าเธอเสียงดังไม่กลัวทะลุออกไปนอกห้อง หาว่าเธออิจฉา กลัวพี่น้องจะได้ดีกว่า
ขณะนั้นเธอกำลังยุ่งกับการแก้ธีสิสที่ถูกอาจารย์ตีกลับ ไม่ได้นอนอย่างเต็มอิ่มมาหลายวัน จึงตัดความรำคาญด้วยการเซ็นเอกสารไป หลังจากได้ลายเซ็นของเธอแล้วแม่ก็กลับบ้านทันทีไม่อยู่ค้างคืน
เพราะความเชื่อใจในวันนั้น ไม่คิดเลยว่าจะทำให้ต้องเป็นคนใช้หนี้โดยไม่รู้ตัว !
“นายหัว เจ้านายของผมต้องการคุยเรื่องหนี้”
“ทำไมถึงไม่ไปตามเอากับพ่อแม่หรือพี่ชายของฉัน ฉันเพิ่ง เรียนจบจะเอาเงินที่ไหนไปใช้หนี้”
“ถ้าทุกคนที่คุณพูดถึงอยู่ที่นี่ผมคงไม่ต้องมาพูดกับคนที่ค้ำประกัน ส่วนเรื่องจะมีเงินใช้หนี้หรือไม่ เรื่องนั้นคุณไปพูดกับนายหัวเองจะดีกว่า”
“คุณทำบ้านฉันเละแล้วยังคิดจะลักพาตัวฉันอีกเหรอ”
“ขอย้ำอีกครั้งว่าบ้านหลังนี้เป็นสิ่งค้ำประกันเช่นกัน การขาดการจ่ายเงินต้นและดอกมาเป็นปี ทำให้บ้านหลังนี้ถูกยึดแล้ว ดังนั้นต่อให้ต้องทุบทิ้งทั้งหลังมันก็สิทธิ์ของเจ้าบ้าน”
สินยังคงอธิบายอย่างใจเย็นก่อนจะกล่าวคำขู่ทิ้งท้าย
“ผมว่าคุณยอมเดินไปขึ้นรถดี ๆ จะดีกว่า ผมไม่อยากทุบอย่างอื่นนอกเหนือจากบ้านของคุณ”
แน่นอนว่านลินย่อมไม่ยินยอม แต่สภาพของเธอตอนนี้หากวิ่งหนีก็คงวิ่งไปได้ไม่ไกล เมื่อถูกจับได้เธอคงไม่พ้นต้องถูกทุบตามคำขู่ จึงใช้มันสมองหลอกล่อว่าจะขอเข้าห้องน้ำในบ้านก่อน
“ผมไม่ได้มาคนเดียว ถึงคุณจะแอบหลบออกหลังบ้าน ลูกน้องของผมก็ตามทันอยู่ดี”
“ฉัน…”
“แค่ไปตกลงเรื่องหนี้เราจะไม่ทำร้ายคุณ แต่ถ้าคุณเล่นตุกติกเราคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้กำลัง”
ด้วยคำขู่อันน่ากลัวโดยน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นนลินจึงต้องจำใจทำตามคำสั่ง
“ต้องขอเตือนก่อนว่า นายหัวไม่ชอบการถูกหักหลัง ครอบครัวของคุณเคยทำงานกับนายหัวมานานจนนายหัวไว้วางใจให้กู้เงินด้วยยอดที่สูง นอกจากจะหนีไปไม่ยอมใช้หนี้แล้วยังปัดความรับผิดชอบให้ไปตามทวงหนี้กับคนค้ำประกันเอาเอง ทางที่ดีคุณควรบอกอย่างนอบน้อมว่ากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำงาน จะดีกว่าการบอกปัดความรับผิดชอบเหมือนกับที่พ่อแม่ของคุณทำ”
สินให้คำแนะนำอย่างยาวเหยียดขณะนั่งรถมาด้วยกัน นลินรับฟังเงียบ ๆ ไม่ได้ตอบว่าอะไร
นลินถูกพามายังบ้านเรือนไทยยกพื้นสูง ด้านหลังเป็นไร่องุ่นสุดลูกหูลูกตา เนื่องจากเป็นเวลากลางวัน ภายในไร่จึงมีคนงานเดินไปมาให้เห็น ความหวาดวิตกเรื่องความปลอดภัยจึงลดลง
สินพาเดินไปยังอาคารชั้นเดียวที่อยู่ถัดจากบ้านเรือนไทย บอกให้เธอเข้าไปรอพบเจ้านายด้านใน นลินชะโงกหัวเข้าไปภายในห้อง จากการสำรวจอย่างรวดเร็วพบว่าภายในดูปกติเหมือนห้องทำงานที่ใช้รับแขกได้ทั่วไป
“เจ้านายคุณไม่อยู่ที่นี่”
“อีกหน่อยก็คงมา” สินเดินนำเข้าไปนั่งบนโซฟา เหมือนจะสาธิตให้ดูว่าการรอพบเจ้าหนี้ต้องทำตัวยังไง
“พ่อแม่ฉันเป็นหนี้ตั้งสามล้านได้ยังไง”
นลินยืนถามอยู่ที่นอกประตูห้อง ไม่ยอมเข้าไปในกับดักง่าย ๆ ระหว่างนี้ได้มีคนงานในไร่สามสี่คนขับรถจักรยานผ่านหลังไป คนเดินเท้าอีกสองกลุ่มกำลังเดินตรงมา
“คนกำลังเลิกงาน เป็นผมคงไม่อยากป่าวประกาศเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นรู้ แม้ว่าเรื่องของพ่อแม่คุณจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับสำหรับคนที่นี่แต่แรกก็ตาม”
นลินยอมเดินเข้าไปในห้อง เลือกนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสิน เห็นสินลุกขึ้นยืนก็สะดุ้งโหยงด้วยท่าทีระแวดระวังอันตราย
“ผมเคยรับรองความปลอดภัยให้คุณ ผมยังยืนยันคำเดิม ผมแค่จะหาน้ำเสิร์ฟ”
“ฉันไม่หิว ฉันอยากรู้แค่เรื่องหนี้”
สินทิ้งก้นลงนั่ง อธิบายต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พ่อแม่ของคุณเคยเป็นลูกจ้างในไร่มาเกือบสิบปี เรื่องนี้คุณคงรู้อยู่แล้ว เดิมทีพ่อของคุณยืมด้วยยอดเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ และใช้คืนโดยการหักเงินจากเงินเดือน พักหลังเริ่มยืมก้อนใหญ่ขึ้น ถี่ขึ้น นายหัวเขาเป็นคนมีน้ำใจกับลูกน้อง พอมีข้ออ้างว่าต้องจ่ายค่าเทอมให้ลูก ๆ ทั้งสามคน ต้องซื้อรถยนต์ให้ขับไปม. ซื้อข้าวของเพื่อใช้ในการเล่าเรียน นายหัวก็ใจอ่อน”
“พี่น้องทั้งสองคนไม่ได้เรียนต่อมหา’ลัย ส่วนฉันก็สอบได้ทุนเรียนฟรี และฉันไม่เคยมีรถขับไปม.”
สินยักไหล่ในลักษณะที่นลินเข้าใจว่า นั่นมันก็เป็นข้อแก้ตัวของเธอ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหนี้จะต้องใส่ใจ
“เงินก้อนสุดท้ายที่พ่อของคุณยืมไปเป็นเงินสองแสนบาท คุณอาจจะไม่อยากให้ผมพูดออกมาว่าพ่อคุณอ้างว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ทำอะไรเกี่ยวกับธุระของคุณ แต่ทันทีที่ได้เงิน สองผัวเมียก็ไม่มาทำงาน ส่งคนไปตามหาที่บ้านก็ไม่พบตัว”
ได้ฟังมาถึงตรงนี้นลินก็ได้แต่อ้าปากค้าง หัวสมองตื้อยิ่งกว่าตอนทำธีสิสเสียอีก
“นั่นยังไม่ใช่หนี้ทั้งหมด” สินให้ข้อมูลเพิ่มเติม
“ยังมีหนี้ประปรายที่สองผัวเมียเทียวยืมเงินคนงานในไร่อีกเป็นสิบเจ้า ถึงจะไม่มีเงินแต่พอทนฟังเรื่องราวเศร้าโศกของพ่อแม่คุณเข้าไป พวกเขาก็ทนเป็นคนที่ถูกเรียกว่าเป็นคนใจดำไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องยอมให้ยืม”
“คนงานในไร่ได้เงินคืนแล้วใช่ไหม” นลินถามอย่างมีความหวัง แม้ว่ารู้คำตอบอยู่แก่ใจ
“ลองเดาดู”
สินไม่ได้ตอบตามตรงเพราะมั่นใจว่าเธอรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว พร้อมกับให้คำแนะนำเพิ่มอีกเล็กน้อย
“ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง คุณรีบจัดการเรื่องนี้ก่อนที่จะโดนผู้เสียหายคิดค้นวิธีพิสดารในการแก้ปัญหาเถอะ ถึงคุณจะไม่ใช่ลูกหนี้โดยตรง แต่ก็เป็นคนเดียวที่พวกเขาจะระบายความโกรธแค้นใส่ได้ในฐานะลูกของลูกหนี้”
“ฉันจะจัดการอะไรได้” ไหล่ของนลินห่อลง ภายในใจมืดมนไร้หนทาง
“ฉันบอกคุณไปแล้วว่าฉันเพิ่งเรียนจบ ฉันยังไม่มีงานประจำทำด้วยซ้ำ”
“ถ้าไม่เลือกงานคุณก็มีงาน”
ดวงตากลมโตวาวเป็นประกายขณะเงยหน้าขึ้นจ้องมองสินอย่างคาดหวัง
“ในไร่องุ่นของเรายังมีที่ว่าง ผมคำนวณดูแล้วว่าระยะเวลายี่สิบเจ็ดปีก็น่าจะหักหนี้คืนได้ทั้งหมด”
“ยี่สิบเจ็ดปี ! คุณล้อเล่นหรือเปล่า”
“งานตัดแต่งและเก็บองุ่น เงินเดือนหมื่นห้า หักประกันสังคมพันนึง หักส่วนที่คุณจะเก็บไว้ใช้เองสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ก็จะเหลือเดือนละเก้าพันห้า คูณสิบสองได้หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสี่พันบาท ยี่สิบเจ็ดปีก็จะตกอยู่ที่สามล้านเศษ ถ้าคุณไม่หักไว้ใช้เองก็จะเหลือยอดปีละแสนหกแปดพัน จำนวนปีที่ต้องอยู่ทำงานชดเชย ก็จะลดลง แต่คุณคงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีเงินไว้ใช้จ่ายเลย”
“อ้อ อันนี้คือแค่ต้นยังไม่รวมดอกนะครับ ส่วนที่บอกว่ายี่สิบเจ็ดปี ผมให้กำลังใจ”
“ฉันจะลองหางานที่อื่นทำ บริษัทที่ฉันฝึกงานมีตำแหน่งว่างอยู่ ถึงฉันจะไม่ได้รับเลือกให้เข้าทำงาน แต่ฉันจะลองยื่นสมัครดู”
“เกรงว่าคุณจะไม่มีทางเลือกมากขนาดนั้น เผื่อว่าคุณลืมไป ตอนนี้คุณเป็นคนเดียวที่เราจะตามหนี้คืนได้ เราคงปล่อยคุณไปไม่ได้”
“งั้นฉันขอทำตำแหน่งอื่น”
“ตำแหน่งอื่น ?”
“ใช่ ฉันจะทำตำแหน่งอื่น ฉันต้องการทำตำแหน่งที่ได้เงินเดือนเยอะกว่าหมื่นห้า ยิ่งเยอะมากเท่าไหร่ฉันก็จะยิ่งใช้หนี้คืนได้เร็วขึ้นเท่านั้น ฉันเรียนรู้งานได้ ฉันทำได้ทุกอย่าง ต่อให้เหนื่อยหรือไร้ศักดิ์ศรีแค่ไหนฉันก็ยินดีทำ ขอแค่ให้ได้เงินเยอะ ๆ”
คำพูดของเธอดังพอให้ อิทธิพัทธ์ นรากุล เจ้าของไร่องุ่นแห่งนี้ได้ยินเต็มสองรูหู จึงได้โพล่งออกไป
“ยอมทำทุกอย่างเพื่อเงินอย่างนั้นเหรอ ดูท่าทางแล้วลูกไม้คงจะหล่นไม่ไกลต้นสินะ
อิทธิพัทธ์อมยิ้มเล็กน้อย โน้มตัวลงบดจูบริมฝีปากบวมแดงอย่างหลงใหลแค่นลินเผยอปากเพียงนิดเดียว ลิ้นอุ่นของอีกฝ่ายก็เข้ามากวาดความหวานอย่างตามใจ ไม่รู้ว่าจูบนั้นเพลิดเพลินและโหยหากันและกันมากแค่ไหน พอรู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของเธอก็นาบลงบนเตียงนุ่ม ส่วนผัวรักของเธอก็ยังคงรักษาคอนเซปต์ของความป่าเถือนอย่างคงเส้นคงวาแคว่ก ! เพนตี้ลูกไม้ขาดถูกโยนออกไปไกล“นี่ ! นายหัว ฉีกมันอีกแล้วนะ ไอ้โรค อื้อ…”คำว่า ‘จิต’ ค้างอยู่ในลำคอเมื่อลิ้นอุ่นเลื่อนลงไปทักทายกลีบกลางอย่างรวดเร็ว“ลิน หวานมาก” เขาหยุดแล้วส่งเสียงอู้ ๆ อี้ ๆ บอกเธอก่อนจะทำการชำแหละหาความหมอหวานต่อนลินดิ้นเร่าอ้าขาออกกว้างอย่างหน้าไม่อาย แน่นอนว่าเธอคิดถึงความสุขสุดยอดนี้แค่ไหน นึกว่าอีตาผัวกระทิงควายจะกลายเป็นโรคประสาท สมองกลับจนไม่ทำแบบนี้ให้เธออีกต่อไปแล้ว โอ้วววแม่เจ้า ขอต้อนรับกลับบ้านค่ะนายหัวผัวกระทิงควาย นลินคิดในใจขณะเคลิบเคลิ้มวิ่งเล่นอยู่บนดวงจันทร์“ฉัน อื้อ เสียว ไม่ไหวแล้วค่ะนายหัว”อิทธิพัทธ์หยุดการเคลื่อนไหว นั่นทำให้นลินยิ่งประหลาดใจ ดวงตาพร่าสวาทกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้นก็กว้างขึ้น นัยน์ตาดำขลับมีรูปเครื่องหมายคำถาม ( ?
พยายามจะสะกดใจ แต่…นลินถือไดร์เป่าผมสะบัดไปมาบนผมเปียกที่พึ่งสระเสร็จอยู่หน้ากระจก ท่าทางของเธอเหมือนตั้งใจจะให้ผมนั้นกลับมาแห้งสสวยโดยเร็ว ๆ ทว่าจริงแล้วดวงตากลมโตไม่ได้สนใจผมของตัวเองสักนิด แต่กำลังมองผ่านกระจก ดูเรือนร่างกำยำที่ใส่ผ้าขนหนูในลักษณะหมิ่นเหม่ กำลังเช็ดผมแบบลวก ๆ ทำท่าเหมือนจะอ่อยเธอ นลินนึกถึงเมื่อตอนบ่ายของวันนี้ที่สินประกาศดังลั่น“เอาล่ะทุกคนตอนนี้นายหญิงของไร่ร่างกายอ่อนเพลียมากต้องการพัก เชิญทุกคนไปสังสรรค์ร้องโฮ่ฮู้กันต่อได้ที่โรงอาหาร”เสียงเฮดังลั่นขณะที่เรือนร่างของเธอถูกว่าที่เจ้าบ่าวอุ้ม ตอนนั้นเธอเข้าใจว่าคงต้องปรนเปรอนายหัวกระทิงควายเป็นแน่ เธอคิดถึงเขา เขาคิดถึงเธอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากการกลับมาเจอกันอีกครั้งจะกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์แบบนันสต็อปทว่ากลับผิดคาดเมื่อเขาวางตัวเธอลงบนโซฟาห้องรับแขก ตรงหน้าคืออาหารชั้นดีบำรุงครรภ์ พยาบาลบอกด้วยหน้าตา ยิ้มแย้มแจ่มใส ตามมาด้วยยาสำหรับคุณแม่ท้องอ่อน แน่นอนว่าตานายหัวอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับเธอ“นายหัวกินข้าวได้เยอะแบบนี้ผมก็เบาใจ”“นายไปร่วมส
“ทำไม คุณเสียใจมากหรือไงที่ฉันท้อง หรือคุณจะหาว่าฉันท้องกับคนอื่น”“ลิน” อิทธิพัทธ์ทำหน้าตกใจ เมื่อหันกลับไปพบนลินยืนเท้าสะเอวอยู่ จึงถามเสียงสั่นว่า“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”“ไม่สำคัญหรอก” เธอบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกตามตรงว่าเธอมาตั้งแต่ตอนที่เขาพูดคุยกับนายหัวหนุ่ยทำให้เธอเพิ่งรู้ถึงเหตุผลอันแท้จริงของการที่เขาไล่เธอออกไปจากไร่ และเขายอมเสี่ยงแค่ไหนเพื่อจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง มันทำให้ความโกรธในใจหายไปราวกับปลิดทิ้ง แทนที่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง เขาเป็นคนเดียวในชีวิตที่ยืนหยัดเพื่อเธอมากขนาดนี้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอยอมกลืนน้ำลายตัวเอง“ฉันไม่เคยคิดว่าเธอท้องกับคนอื่นเลยนะ ฉันมั่นใจว่าลูกเป็นลูกของฉัน ฉันถึงได้ซื้อของใช้เด็กอ่อนเอาไว้มากมายรอลูกของเรา ฉันอยากให้ลูกเกิดมาบนความพร้อม และความรัก ฉันสัญญาว่าจะทำหน้าที่พ่ออย่างดีที่สุด จะไม่ทำให้ลูกขาดความอบอุ่น หรือรู้สึกต่ำต้อยกว่าคนอื่น ลูกอินทร์ชื่อลูกของเรา มาจากลินกับอิทไง ฉันตั้งเอง”นลินขมวดคิ้วให้กับชื่อนั้น“เห็นไหม บอกแล้วว่าฉันตั้งใจกับหน้าที่พ่อมากแค่ไหน และฉันสัญญาว่าจะเป็นสามีที่ดี เราคืนดีกันนะ”“ง่ายไปหรือเปล่า”“อะไรง่าย”
26 เหตุผล“มีอะไร” อิทธิพัทธ์ถามเสียงขุ่น ยกมือออกจากหน้าขาของอีกฝ่ายนลินรู้สึกขัดเขินกับความใกล้ชิดต่อหน้าคนอื่น จึงดึงผ้าห่มขึ้นห่มถึงคาง เบือนหน้าออกไปทางหน้าต่างมองแปลงองุ่นที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา“นายหัวหนุ่ยโทร. มาครับ แจ้งว่าต้องการคุยกับนายหัวด่วน คงจะเป็นเรื่อง…”สินหยุดพูดไปเท่านั้น แต่ทุกคนก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าคงเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้ นอกจากเรื่องที่เขาพานลินเข้าบ้านนี่เป็นการผิดสัญญาที่เขาเคยรับปากกับนายหัวหนุ่ยไว้ ตอนที่ให้นลินย้ายออกไป เขาถูกนายหัวหนุ่ยเรียกพบเพื่อพูดคุยกันเรื่องนี้ ความจริงแล้วนายหัวหนุ่ยไม่ได้สนใจว่าเขาจะนอนกับใครหรือไล่ใครออกจากงาน ที่เขาสนใจเรื่องนี้เพราะมันกระทบกับลูกสาวของเขา นั่นย่อมหมายถึงกระทบกับตัวเขาเช่นเดียวกันการที่อิทธิพัทธ์ยอมหักหน้าภาพิมลเพื่อแม่บ้านคนเดียว เป็นเรื่องที่รู้ถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น ลูกสาวของเขาถึงจะผิดจะถูกอย่างไรก็เป็นคุณหนูชาติตระกูลดี จะปล่อยให้ถูกคนงาน เยาะเย้ยว่าแพ้แม่บ้านก็เหลือทนนายหัวหนุ่ยบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเรื่องนี้ตนรับไม่ได้ ในเมื่ออิท
แน่นอนว่าลูกค้าคนสำคัญทำให้เธอมีเงินเหลือเก็บ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันจะเป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น เด็กสมัยนี้โตไวซื้อของไปก็ใช้ได้แค่แป๊บเดียวเอง เธอจึงอยากหาลูกค้าแบบนี้เพิ่มหลังจากปล่อยให้ความคิดของตัวเองล่องลอยไปได้เพียงไม่นาน นลินก็กลับมาสนใจออเดอร์ของลูกค้าอีกครั้ง จัดแจงกดเบอร์ในมือถือโทรไปยังร้าน ‘โลกของเด็ก’ เป็นร้านขายของใช้เด็กของป้าสวย เพื่อสอบถามสต๊อกและยืมรถสำหรับนำส่งลูกค้าประจำคนนี้เมื่อถึงเวลานัดส่งมอบสินค้า นลินกับเบิ้ม เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี เป็นหลานชายป้าสวย ได้ไปตามสถานที่นัดก่อนเวลานัดหมายสิบนาที และพบว่าพี่ลูกอินทร์ก็มาก่อนเวลาเช่นเดียวกันแต่ผิดคาดเล็กน้อยเมื่อพบว่าลูกค้าดีเด่นคนนี้เป็นผู้ชาย แล้วยังเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่เธอคิดจะขายของใช้เด็กอ่อนให้ !“นายหัว !”“เธอจะตะโกนทำไม” อิทธิพัทธ์สวมแว่นตาดำ ทำให้มองไม่เห็นแววตาของเขา แต่จากสีหน้าสามารถบอกได้ว่าเขารู้สึกพอใจ“ฉันเอาของมาแล้ว ฉันไม่ได้เอามาให้นายหัวเล่นสนุกนะ”“ใครบอกเธอว่าฉันเล่นสนุก ฉันจะซื้อทุกอย่างจริง ๆ”“นี่มันของใช้เด็กอ่อน”“แล้วไง”“ถามมาได้ว่าแล้วไง นายหัวไม่มีลูกจะซื้อของพวกนี้ไปทำไม อ๋อ แล้วที
“ฉันนึกว่าเมื่อรู้แล้วว่าฉันปลดหนี้ได้ แม่จะกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเมื่อก่อนก็ได้น่ะ” ต่อให้รู้สึกห่างเหินกับมารดา ที่ตอนนี้มีศักดิ์เป็นป้า แต่นลินก็คือนลินเด็กกตัญญูอย่างไรเล่า จึงไม่อาจละเลยที่จะไม่เลี้ยงดู“แกปลดหนี้ได้แล้วเหรอ หนี้ที่พวกฉัน…” หญิงวัยกลางคนละอายใจเกินกว่าจะพูดต่อ“ฉันนึกว่าแม่รู้”“ไม่รู้ ดูเหมือนว่านายหัวจะไม่ไว้ใจ กลัวว่าฉันจะมาเกาะแกกินเลยไม่ยอมบอกเรื่องนี้”“ถ้าแม่กับมินตราสัญญาว่าจะปรับตัวใหม่ ตั้งใจทำมาหากิน จะกลับมาอยู่ด้วยกันฉันก็ไม่ว่า”“แกเป็นคนดีจริง ๆ ลิน น่าเสียดายที่แกต้องอยู่ในการเลี้ยงดูของฉัน ถ้าแกได้อยู่กับแม่แท้ ๆ หรือตายายของแก ชีวิตของแกคงจะมีแต่ความสุข”“พวกเขาไม่ได้เป็นคนเลี้ยงฉัน แต่แม่เป็นคนที่เลี้ยงฉันมา ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง และสำหรับกำไลทองนี่ ทั้งที่แม่จะขายทิ้ง เอาเงินมาใช้จ่ายเหมือนสมบัติชิ้นอื่น ๆ ของแม่ฉันก็ได้”วิภาวีพยักหน้าเล็กน้อย แววตายังคงเศร้าปนระอายใจ“ถือว่ามันเป็นสิ่งดีสิ่งเดียวที่ฉันมอบให้ก่อนจากกันก็แล้วกัน เอาล่ะ นี่ก็ดึกแล้ว ฉันจะกลับก่อน”“แม่จะกลับยังไง”“อ๋อ มีพลเมืองดีไปรับไปส่งน่ะ ไม่ต้องงง คนพวกนี้เป็นลูกน้องของ