LOGIN
“สมน้ำหน้าตระกูลเจ้า!”
“ชื่อเสียงตระกูลล่มสลายไร้ผู้คนนับถือก็เพราะความเชื่อมั่นในพลังของตัวเองมากเกินไป คิดว่าตระกูลตัวเองยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าภพ สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ จนกระทั่งพลาดพลั้งเผลอให้ศัตรู ท้ายสุดมันก็เลือกเอาตัวมันรอดคนเดียวคิดว่าเพื่อรักษาหน้าตระกูล ไม่คิดถึงชีวิตผู้คน ระเบิดเคียวสู่ภพ ศัสตรา,ศาสตราที่ทรงพลังที่สุดในโลก จนการระเบิดครั้งนั้นยิ่งใหญ่กินวงกว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลาย เกิดรอยร้าวระหว่างภพ”
“พูดถึงเหตุการณ์ครานั้นถือเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในทุกภพ การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนั้นทำให้ประตูระหว่างภพที่ถูกผนึกและกั้นระหว่างภพต่างๆ แตกออกทั้งเก้าภพซ้อนทับยากแยกแยะสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว สิ่งใดขาวสิ่งใดดำ การสิงสู่การครอบงำการกลืนกินวิญญาณ การยึดร่าง การแฝงร่าง การแปลงกาย ความดีความชั่วทับซ้อนปนเปื้อนยากที่จะแยกแยะ พื้นที่ที่เคยสงบสุขกลายเป็นดินแดนต้องสาป ไร้เดือนไร้ตะวันมีแต่ความมืดมิดอนธการ
“ใช่สิ! ก็เพราะความอวดดีของ เจ้าวั่งซูในชาติก่อน ทายาทคนเดียวแห่งสกุลเจ้า ที่มีทิฐิถือว่าตนเกิดมาสูงส่งมีความสามารถเก่งกล้าจะเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปทำอะไรนอกลู่นอกทาง ไม่ฟังคำทัดทานจากผู้คน
“คนแบบนั้นอย่าเรียกว่าผู้สูงส่ง มันแค่เกิดมาในตระกูลที่สูงส่ง แต่มันทำลายทุกสิ่งหมดด้วยความเอาแต่ใจของมัน”
“ใช่! คนอย่างมันสมควรตายและวิญญาณโดนกลืนกิน ไร้การเวียนว่าย ชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิด”
“แต่ตอนนั้น เรื่องราวมันเกิดขึ้นไวและจบลงแบบลวกๆ ดั่งไฟไหม้ฟาง เคียวสู่ภพของรุ่นที่1 และ กระจกบานที่สิบในตำนาน ก็ได้ข่าวว่าปรากฏ แต่ หายสาบสูญไป หลังเกิดเรื่อง และก็กลายเป็น เจ้าวั่งซูรุ่นต่อๆ มา ที่ผลัดกันมาทำหน้าที่รักษาความสมดุลแห่งภพ แต่เจ้าวั่งซูแต่ละคนก็ล้วนเก่งไม่ครบในทุกด้าน หมู่บ้านชุนเทียนเอง ก็เป็นสถานที่เดียวที่ตรึงและเป็นทางผ่านระหว่างภพ ซึ่งก็ไม่มีทางเข้าออกที่แน่ชัด และ ที่หมู่บ้านต้องสาปนั่น ก็ไม่สามารถแยกแยะได้อีกแล้วว่าใครคือคนเป็นหรือคนตาย”
เมื่อ ชื่อเจ้าวั่งซู ถูกเอ่ยขึ้น ทุกคนต่างพากันเงียบไปกึ่งหนึ่ง เหลือเพียงเสียงสายลมพัดพริ้วกระทบหน้า กระทบมือ
“เออใช่! ทุกสิ่งทุกอย่างกลับหัวกลับหางกลับตาลปัตร ที่หมู่บ้านชุนเทียน ไร้ซึ่งฤดูกาล มีเพียงใบไม้ล่วงปกคลุม เวลาหยุดเดิน เสมือนทุกอย่างถูกตรึงหยุดเวลาตลอดกาล”
“เออสิ! เพราะความหลงระเริงเถลิงอำนาจของมัน ทำให้คนต้องสละชีวิตมากมาย คนอย่างมันตกนรกหมกไม้ ไปอยู่กับพวกผีปีศาจที่มันปลดปล่อยไปนั่นแหล่ะดี ฮ่าๆๆ!”
เสียงเฮ! อื้ออึงจากคนรอบข้าง ดังขึ้น คล้ายแสดงความเห็นด้วยเต็มเสียเต็มประชด
“คนอย่างมันแม้ตายไปแล้ว ก็ยังทิ้ง ปัญหาให้คนอื่นแก้ไข! ชีวิตบริสุทธิ์มากมายต้องมาตายเพราะมัน และคนใน หมู่บ้านต้องสาปนั้นก็จะไม่มีวันเหมือนเดิม กลายเป็นดินแดนระหว่างภพ คน ปรภพ ปีศาจ อมนุษย์ สิ่งวิปริตอาศัยปนเป เวลาของผู้คนที่หมู่บ้านนั้นถูกขโมย ทุกอย่างมืดมนและหยุดนิ่ง”
“แต่เหมือน ข้าเคยเดินทางไปที่ หมู่บ้านนั้น แม้จะเห็นทางเข้าอยู่ด้านหน้า แต่เมื่อเดินจะถึง ปากทางเข้ากลับไกลขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะถึง บรรยากาศถมึง ข้าเห็นดอกไม้บานเต็มหมู่บ้าน ถ้ามองจากยอดเขา แต่ใบไม้ทั้งหมดกลับร่วงหล่นพื้น คล้ายสองสิ่งที่แยกจากมิอาจร่วมอยู่กันได้”
“จริง! ข้าก็เคยไป ที่หมู่บ้านนั่น ข้าเดินทางค้าขายหวังเพียงหาที่ค้างคืนที่นั่น เพื่อไปต่อ ยามไปถึงเป็นยามค่ำมืดบรรยากาศรอบๆ พร่ามัวเบลอ มีเพียงหมอกควัน และ ใบไม้ร่วงเต็มพื้น เมื่อข้ามองไกลๆ นึกว่าคนจักใคร่ถามทาง แต่พอพ้นม่านหมอกหนาไปได้เปลาะหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับเป็นสิ่งที่มีรูปร่างประหลาด หน้าตาคล้ายมนุษย์แต่ผสมผสานสิ่งประหลาด”
“หือ! แล้วท่านทำอย่างไรต่อ” ชายหนุ่มท่าทางผอมขลาดกลัวขนลุกถามขึ้น
“ข้าก็ ตกใจกลัวทำอะไรไม่ถูก และพูดไปว่าข้าไม่มี ข้ามีแต่เงิน ทันใดที่ร่างนั้นได้ยิน ก็ขยายร่างออกเป็นเงาตะคุ่มขึ้นด้านบนใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นซ้อนทับกันดั่งมีร่างเพิ่มมาเป็นสิบๆ ร่างและพูดซ้ำกันว่าป้ายวิญญาณ! ป้ายวิญาณ! ข้ากลัวมากไร้สิ้นสติถอยหลังกรูรีบออกมาจากตรงนั้น วิ่งทะลุผ่านม่านหมอกมาสักพัก ก็หารู้ตัวไม่ ตื่นมากทีข้าก็มาโผล่นอก หมู่บ้าน”
ถึงแม้การระเบิดในครั้งนั้น สร้างความเสียหายครั้งใหญ่ไปทั่วทุกภพ แต่เหล่าบรรดาเทพเซียนจากสวรรค์ และรวมถึง มนุษย์ที่มีพลังจักราหลงเหลืออยู่ และคนจากสำนักเก้าจักยุตกรา ต่างพากันรวมพลังต้านความมืดและผลักพลังแห่งความชั่วร้ายทั้งหมดที่แตกกระจายออกเป็นวงกว้างความมืดที่แผ่ทั่วกระจายปกคลุมโลกดั่งพลุที่แตกโพล๊ะครอบคลุมทุกอณูมืดมนอนธการดั่งหมอกและราตรีที่คล้ายว่าจะไม่มีวันหายไปตลอดกาล
พลังของเหล่าเทพและเซียนที่รวมพลังเพื่อทำให้อำนาจความชั่วนั้นสาบสูญสูญสลายไปหรือกลับสู่ดินแดที่มืดมิดที่มันจากมา แต่กลับไม่เป็นผล ด้วยเหตุที่พลังอำนาจนั้นมากเกินไป มากเกินกว่าที่จะรวมทุกอย่างและผลักกลับคืน การรวมศูนย์พลังแห่งความชั่วร้ายไว้เพียงจุดเดียว และในวงแคบที่สุด และจำต้องสร้างประตูใหม่เพื่อผนึกทางเข้าออกและกักกันกัลปาวสานความมืดไม่ให้ข้ามมายังแดนมนุษย์อีกนั้น คือทางเดียวและที่ดีที่สุดที่ทุกคนจะทำได้ แต่เหมือนประตูนั่นไม่ได้ถูกสร้างสำเร็จตามนั้นยังมีรอยรั่วอะไรสักอย่าง เห้อ! ก็เป็นเวรกรรมของหมู่บ้านนั่นอีก เพราะมันตั้งอยู่ที่นั่น!”
“นั่นสิข้าถึงว่า คนในหมู่บ้านนั้นดูแปลกๆ คล้ายไม่มีชีวิต เวลาเหมือนหยุดเดิน ทั้งๆ ที่ฤดูกาลที่ไม่ผันแปร ใบไม้ร่วงยืนพื้น”
“เห้ย! แม้มันจะดี แต่ให้ข้าไปอยู่ใน หมู่บ้านแบบนั้น ข้าก็ไม่เอา ผู้คนทั้งภพมนุษย์ เรียกที่นั่นว่า หมู่บ้านต้องสาป ข้าว่ามันต้องมีเหตุผล ถึงแม้ผู้คนบางทีจะดูยิ้มแย้มแต่ปากฉีกถึงหูหรือบางทีกลับนิ่งเฉยสงบไร้ใบหน้า และอีกมากมายที่เป็นเงาตะคุ่มและรุปร่างบิดเบี้ยวผิดแผก คนหรือสัตว์ประหลาดรวมร่าง รูปร่างผิดเพี้ยนแยกแยะไม่ออกว่าคือตัวอะไร หรือที่คนเค้าลือกันว่าปีศาจและวิญญาณจากปรภพ สิงร่าง ที่นั่นคือดินแดนปีศาจ ดินแดนที่คนเป็นคนตายอยู่ร่วมกันมิอาจแบ่งแยก”
“ใช่! เรื่องฉิบหายวายวอดทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นมันเป็นคนแซ่เจ้านั่น! เพราะมัน ถ้าคิดว่าการตายของมันจะไถ่บาปได้หมดก็คิดผิด คนอย่างมันและตระกูลมันต้องตายตกนรกไปตามกันไม่ได้ผุดได้เกิดไปอยู่รวมกับพวก อมนุษย์ หรือ ปีศาจที่มันปล่อยมาทำลายคร่าชีวิตคนในโลกนี้”
“ก็จริง แต่เหมือนข้าได้ยินคนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า วันหนึ่งเคียวสู่ภพนั่นอาจจะหายไปพร้อมกับมันและตระกูลมันเพื่อที่วันหนึ่งมันจะเปิดประตูจากปรภพกลับมาทำลายที่นี่อีก”
“แต่หลายร้อยปีมานี้ ไม่มีข่าวเสียๆ หายๆ ใหญ่หลวงลอยมาตามสายลม เกี่ยวกับเรื่องชั่วร้ายของหมู่บ้านชุนเทียนกลางหุบเขา ถึงแม้เจ้าวั่งซูยังถือกำเนิดแต่ก็ทำหน้าที่ตนปกติ มีบ้างที่พลาด แต่ก็ดูน่าเป็นเรื่องไม่ใหญ่ หรือพวกเรารู้ไม่หมด แต่นั่นอาจเป็นเพราะมีสำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตกรา ที่ควบคุมทางเข้าออกระหว่างสองภพ รักษาสมดุล ทำให้โลกนี้ยังสงบสุขตามวิถีที่มันควรจะเป็นมาได้อย่างยาวนาน”
“นั่นมันก็จริง! แต่ถ้าได้อยู่ในที่ที่มีแต่ไอหมอกพิษ และ คนตายคนเป็นปะปนแบบนั้น ความบ้ามันก็ต้องกลืนกินเข้าสักวันหล่ะวะ ข้าว่า!”
“เฮ้ย! ท่านจะพูดอะไรทางร้ายขนาดนั้น ถ้าหมู่บ้านนั้นแตก ทุกอย่างจะไหลทะลักออกมา และภพมนุษย์และพวกเราทุกคนจะถูกกลืนหาไปในแดนคนตายอย่างไม่ต้องสงสัย และครานี้จะไม่มีใครมาอยู่ช่วยกำจัดพลังความชั่วนั้นออกไป เพราะเหล่าบรรพาจารย์ของแต่ละสำนักเซียน สำนักฝึกตน สำนักคุ้มภัย ก็ล้วนล้มตาย และ สิ้นพลังจักราตั้งแต่ศึกที่จัตุรัสเฟิงสุ่ยครานั้นทั้งหมด”
“งั้น ที่เดียวที่พึ่งพาได้ในโลกยุทธภพตอนนี้ก็คือสำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตกรา ที่หลบเร้นอยู่ในหุบเขาเก้ากระจก (จินลู่ซี) “
“เออ! ก็ดี ก็อย่างที่ท่านพูดไป ขอให้เป็นสำนักคุณธรรมที่เป็นที่พึ่งพาให้แก่เราๆ สืบไป ไม่ใช่ดีแตก บ้าอำนาจ และกลืนกินทุกอย่าง เพราะถ้ากาลนั้นมีจริง โลกนี้คงดับสูญ สิ้นหวังกันทุกหย่อมหญ้า ไม่มีเรา ไม่มีโลก ในวันพรุ่งนี้ อย่างแน่นอน”
ทุกคนชลมุนวุ่นวายวิ่งกันไปมาทะลุผ่านตัวเจ้าวั่งซูไป องค์จักรพรรดิและองค์จักรพรรดินีแห่งสวรรค์ เรียกประชุมรวม เหล่าทวยเทพเทวดา และบรรดาเซียนเพื่อแก้วิกฤตที่เกิดขึ้น เรื่องราวความวิปริตของธรรมชาติไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ภพภูมิมนุษย์ แต่เป็นอีกสองภพต้นกำเนิดขององค์ชายและเผ่าพันธุ์มังกร ภพสวรรค์ และ ภพเดรัจฉาน ทั้งสองภพต่างได้รับแรงกระเพื่อมจากการแตกสลายขององค์ชายแห่งมังกรผู้ควบคุมกระแสน้ำทั้งสามภพ เจ้าวั่งซูรีบเดินตามเหล่าทวยเทพเซียนไปที่โถงศักดิ์สิทธิ์ประชุม เหล่าเทพเซียนมากมายเข้าแถวยืนเป็นระเบียบ สักพักองค์จักรพรรดิและองค์จักรพรรดินีแห่งสวรรค์ก็เสด็จออกมา“ตัวจริงก็ยังหนุ่มสาวนะเนี๊ยะ ทำไมพวกเทพเซียนนี่ไม่รู้จักแก่ คงกินท้อพันปีกัน จนต้นนั้นโตออกลูกออกผลไม่ทัน” เจ้าวั่งซูคิด“องค์จักรพรรดิและองค์จักรพรรดินีขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี” เหล่าทวยเทพเซียนประสานเสียงกล่าวสรรเสริญ“วันนี้ มีผู้ให้เกียรติเข้าร่วมประชุมกับพวกเรา ท่านผู้ปกปักภพเดรัจฉานและผู้นำจิตวิญญาณแห่งเหล่าสรรพสัต
น่าจะเป็นยามดึก ในสวนดอกไม้ภายในบริเวณคฤหาสน์แห่งนี้ เก๋งจีนตรงเรือนริมน้ำตกมีเพียงเสียงน้ำไหล และ แสงจันทร์ส่องสว่างกลางท้องฟ้า นั่น “เฟยเฟย” ทำไมเค้าดูแปลกไป สีเสื้อหม่น ใบหน้าหมองเศร้า เหมือนมีน้ำตาเอ่อตรงดวงตาคู่งาม ในตากลวงว่างเปล่า เหมือนคนใจสลาย ในมือถือสุราดอกมฤตยูดำ (ดอกมฤตยูดำคือดอกไม้ที่ผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง ดอกมฤตยูดำที่ปลูกแค่บริเวณคฤหาสน์ตระกูลเจ้า และ พลังจักราของคนสกุลเจ้า) มีต้นกำเนิดและมีที่เดียวคือสกุลเจ้าคนที่คิดค้นคือ เจ้าวั่งซูรุ่นที่1และถูกนำมาหมักเป็นเหล้ารสเริด เมาแต่ไม่หนักหัวและสามารถช่วยสร้างความคิดและจินตนาการของผู้ดื่มให้สมจริง ดื่มเพื่อลืมความทุกข์จากโลกแห่งความเป็นจริงไป่ชิงหลงขดนอนอยู่บนโขดหินหน้าน้ำตก เกล็ดของชิงหลงจากสีขาวสว่างเปลี่ยนเป็นสีหม่นเหมือนขี้เถ้าและนอนหมดแรงอยู่ตรงนั้น “นั่นเจ้าเป็นอะไรเฟยเฟย” เจ้าวั่งซูเดินเข้าไปใกล้เพื่อฟังสิ่งที่ฮวาเฟยฟาพึมพำ “ทำไมท่านถึงทิ้งข้าไป ไหนว่าเราจะอยู่และร่วมกันต่อสู้เคียงข้างกันไปตลอด ทำไมทำไม” และเสียงก็เงียบหายไ
ทั้งสี่ได้สติอีกที คือฟื้นขึ้นมาบริเวณ คือหน้ากระจกพืชพันธุ์ ทั้งสี่ลุกขึ้น“มึนเลย เหมือนพวกเราเดินทางกันมาไกลมาก ข้าเหนื่อย! ข้าเมื่อย! ข้าจะกิน! ข้าจะอาบน้ำ! ข้าจะนอนให้เต็มอิ่ม! เนอะ! หลิ่งกวาง” เจ้าวั่งซูพูดพร้อมบิดขี้เกียจไปทางหลิ่งกวาง “แง๊วๆ”“เป็นการเดินทางที่ยาวนาน เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปอดีต และพบเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อและยิ่งใหญ่มากมาย ช่างเป็นการเดินทางที่วิเศษจริงๆ” ฮวาเฟยฟากล่าวใบหน้าพอใจ“เฟยเฟย เจ้าไปอยู่เรือนข้านะ ที่เรือนข้าไม่มีใครนอกจากบ่าวรับใช้ เพียงแต่ว่ามันโบราณ และวังเวงหน่อย เจ้าอาจจะไม่ชอบบรรยากาศ” เจ้าวั่งซูเอ่ยชวน ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะอยากไปไม๊“ได้สิ! งั้นข้าไม่เกรงใจ! ถ้าข้าอยู่ยาวก็อย่าว่ากัน! ส่วนเรื่องวังเวงไม่ต้องกังวลมันไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ข้าเคยไปที่นั่น” ฮวาเฟยฟาเอ่ยมองขึ้นฟ้าอมยิ้ม“เอ๊ะ! ในอดีตเจ้าเคยมาคฤหาสน์ตระกูลข้าแล้วหรอ เจ้ามาทำอะไร แล้วอยู่นานไม๊ แล้วเจ้ารู้จักกับใครในตระกูลข้า ท่านปู่ท่านปู่ทวด หรือ ใคร!?” เจ้าวั่งซูเดินต
สิ้นเสียงผู้เฒ่า ทุกคนก็หันหน้าพร้อมกันไปทางต้นไม้แห่งชีวิต โคนต้นที่มีรากมากมาย มีร่างหนึ่งโปร่งแสงผุดขึ้น พระแม่แห่งชีวิตปรากฏตัวขึ้น จากร่างครึ่งกาย ดวงหน้าใจดีมีเมตตา ดั่งในนิมิตที่หลานหลี่เซ่อ สร้างให้ดูก่อนหน้า พระแม่สร้างดวงจิตจากฝ่ามือและปลดปล่อยสู่ผีเสื้อราตรี ดวงแล้วดวงเล่า ตัวแล้วตัวเล่า“ไปเราไปเฝ้าพระแม่แห่งจิตวิญญาณกัน” หลานหลี่เซ่อ และ เหล่าหมู่ซู่บรรพกาลพากันเดินเท้าเข้าไป ทุกคนสามารถเหยียบลงบนทะเลเมฆนั่น และ สารเมือกขาวมุกระยิบระยับนั่นก็ทำให้พวกเค้าลอยตัวอยู่ได้ เจ้าวั่งซูมีหลิ่งกวางนั่งบนบ่า ฮวาเฟยฟามีไป่ชิงหลงอยู่บนบ่า เดินนำหน้า และขึ้นบันไดไปสู่ด้านบนหน้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และพระแม่แห่งจิตวิญญาณ“เฟยเฟยดูสิ ยิ่งเข้าใกล้ต้นไม้แห่งชีวิต ก็ยิ่งขาวสว่างไสวและยิ่งใหญ่มาก ดอกใบกิ่งก้านลำต้นล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ และ ใกล้ขนาดนี้ พระแม่แห่งจิตวิญญาณก็ใหญ่และงดงามมาก ผมยาวสยายดวงตาคู่งามที่ปิดลงเหมือนเทพธิดาเม่งเซี๊ยะ” เจ้าวั่งซูพูดกับฮวาเฟยฟา ฮวาเฟยฟาพยักหน้าเห็นด้วย “ช่างยิ่งใหญ่ สว่าง และงดงามบริสุทธิ์”&l
“แล้วต้นไม้แห่งชีวิตหล่ะ มีอยู่มาก่อนหรือหลังพวกท่าน” ฮวาเฟยฟาเอ่ยถาม“พวกเจ้าคงหมายถึง “พระมารดาแห่งหมู่ซู่ (พระมารดาแห่งจิตวิญญาณทั้งปวง) ” ท่านคือต้นกำเนิดดวงจิต ถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีพวกเราสักดวงวิญญาณ แน่นอน พระนางคือผู้ให้กำเนิดให้ชีวิตให้จิตวิญาณกับพวกเราทั้งหมด” ผู้เฒ่าหมู่ซู่ตอบ“พวกเราทั้งหมด ท่านหมายความว่าอย่างไร พวกเราจากทุกที่หรอ” ฮวาเฟยฟาถามต่อ“พวกเราหมายถึง ต้นไม้ มนุษย์ อมนุษย์ วิญญาณ ภูติผี ปีศาจ เทพเซียนเทวดา ภูติ เดรัจฉาน ทั้งหมดล้วนกำเนิดมาจาก ต้นไม้แห่งชีวิต” หลานหลี่เซ่อกล่าว ทุกคนที่ได้ยินอ้าปากค้างตะลึงทึ่ง และสงสัยคืออะไรกัน“พระมารดาแห่งชีวิต หรือชื่อที่ผู้คนเรียกและถูกบันทึกไว้ “ต้นไม้แห่งชีวิต” คือสิ่งมีชีวิตแรกเริ่มของทุกสิ่ง ถัดจาก ผู้สร้าง ผู้ปกปักษ์ ผู้ทำลาย ผู้พิทักษ์” หลานหลี่เซ่อเริ่มเล่าพร้อมใช้พลังเวทย์สร้างภาพนิมิตรไปพร้อมเรื่องราว ในภาพเป็นยุคอดีตตั้งแต่ก่อนดาวจะสร้างตัวมีเพียงต้นไม้แห่งชีวิตสีขาวยืนต้นลำต้นกิ่งก้านสาขาใบเถาวัลย์ล้
“ว่าแต่ พวกข้ามีเรื่องสงสัยจะถามท่าน ตอนที่พวกข้าลงไปหาสุราดอกซ่างฮัวหลัวข้างใต้ม่านน้ำตกนั่น พวกข้าพบ......” เจ้าวั่งซูยังพูดไม่จบหลานหลี่เซ่อก็แทรกขึ้นมาว่า “พวกท่านพบข้าใช่ไม๊ ไม่สิเศษเสี้ยวแห่งต้นไม้แห่งชีวิต”“ใช่! พวกข้าสงสัย ทำไมเศษเสี้ยวแห่งต้นไม้แห่งชีวิต ต้องใช้มนต์จำแลงเป็นปรมาจารย์กระจกมากมาย และ ทำไมภายใต้กระจกภพพืชพันธุ์ถึงกลายเป็นภพพืชพันธุ์ที่ไม่เคยมีใครเคยไปเยือนอย่างแท้จริง ท่านหลานหลี่เซ่อโปรดชี้แนะ” ฮวาเฟยฟาถามด้วยความสงสัย“ได้สิ ตั้งแต่อดีตกาลมาจนปัจจุบันไม่เคยมีผู้ใดสามารถเข้าสู่ภพพืชพันธุ์ได้ ไม่ว่าจะเปนดวงจิตจากภพภูมิไหน ยกเว้นผู้มาเยือนเพียงหนึ่งเดียวจากภพเดรัจฉาน “ผีเสื้อแห่งความตาย” แต่พวกท่าน ด้วยอาศัยการมีกายทิพย์จากท่านฮวาเฟยฟาผู้สืบทอดเผ่ามังกรเพียงหนึ่งเดียว และท่านคุณชายแห่งสกุลเจ้าผู้สืบทอดเคียวสู่ภพอาวุธที่แกร่งที่สุดในทุกภพ จึงสามารถผ่านทะลุมาถึงนี่ได้ สำหรับข้าคิดว่าเป็นวาสนาที่เราได้พบกัน ข้ายินดีจะเล่าประวัติความเป็นมาและความลับของตัวข้าในฐานะตัวแทนภพพืชพันธุ์ และพระมาดา







