แม่ไม่เคยรู้เรื่องของธมกับหล่อน แม่ย่อมไม่รู้ว่าธมซื้อบ้านนี้ไว้
เขาคนนั้น...คนป่วยหรือ...
คนป่วยโรคประสาท
แน่หรือ...แม่ใช่คำว่า “หลุด”
เขาหลุดมา
หลุด...เหมือนสัตว์เลี้ยง...ไม่น่าจะเป็นคนป่วยที่ต้องดูแล
ทำไมไม่ใช้คำว่าหายไป
คนป่วยโรคประสาทหายไป...
แม่น่าจะพูดคำนี้มากกว่า หล่อนเลยลังเลมากขึ้น...
“มีไหม นัน มีผู้ชายแปลกหน้าผ่านมาทางนี้บ้างไหม”
เสียงของนงนุชชัดถ้อยชัดคำ เสียงไม่เบา และดังเข้ามาในบ้าน ภีมได้ยินถนัดเสียด้วย เขาแทบกลั้นลมหายใจรอฟังคำตอบจากนันทาว่าหล่อนจะตอบอย่างไร
แล้วเขาก็ได้ยิน
“ไม่มีใครนี่คะ แถวนี้เงียบจะตายไป วันๆ แทบจะไม่มีใครผ่านไปผ่านมาให้เห็นเลย”
ไม่มีใครรู้นอกจากตัวนันทาเองว่า หล่อนต้องใช้ความพยายามมากมายเพียงไรที่จะทำหน้าตา “ซื่อ” ได้เพียงนี้ แล้วบังคับใจตัวเองไม่ให้เต้นแรงนัก หล่อนนึกถึงชั่วโมงศิลปะการแสดงที่เคยเรียนแล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง
“คนบ้าหรือคะ”
“ก็ไม่ถึงกับบ้า”
“คุณน้ามาบอกให้รู้อย่างนี้ หนูจะได้ระวังตัวเอาไว้”
หล่อนเน้นหนักที่สรรพนาม “คุณน้า”แล้วอมยิ้ม มองดูมารดาอย่างท้าทายอยู่ในที
“น้าห่วงเขา เพราะเขาป่วย”
“ป่วยขนาดไหนคะ”
“คนมีอาการทางประสาทนะ นัน”
“นันไม่เห็นมีใคร...นันมาเฝ้าบ้านให้พี่ธม...”
“บ้านของธมหรือ” นงนุชเอ่ยถาม...“ธมซื้อบ้านนี้หรือ”
“ค่ะ คุณน้า พี่ธมซื้อบ้านนี้ อาจจะแพงไปนิด แต่พี่ธมก็มีปัญญา”
หล่อนเน้น แดกดัน นงนุชหน้าเจื่อนไปบ้างเหมือนกัน แต่พยายามยิ้มกลบเกลื่อนเอาไว้ไม่แสดงออกให้เห็น
“ธมอยู่ไหม”
มีคำถาม นันทารู้ว่าแม่กลัวธม...เขาไม่มีวันยอมเรียก “น้า” หากเขาเจอแม่ และแน่นอนอาจจะเกิดการปะทะกันได้ ธมเกลียดแม่...และหล่อนเข้าใจพี่ชายหากเขาเป็นเช่นนั้น จะตำหนิเขาไม่ได้...
“ไม่อยู่ค่ะ นันอยู่คนเดียว”
“โอ ...ตายจริง ยิ่งรู้ว่าตอนนี้หนูอยู่คนเดียว ยิ่งห่วงนัก”
“ชวนหลานสาวไปพักเสียที่บ้านซิ” ไพฑูรย์พยายามให้คำแนะนำ
“ฉันต้องเฝ้าบ้าน คงจะไปไหนไม่ได้ ขอบคุณมากค่ะ ที่กรุณา คุณน้าก็ทราบว่าหนูอยู่ดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน”
หล่อนเหน็บกลับไปเสียอีก และนั่นทำให้นงนุชชักไม่แน่ใจแล้วว่าหากหล่อนยังนั่งอยู่นานต่อไป นันทาจะพูดอะไรอีกบ้าง หล่อนรีบหันไปเอ่ยชวนสามีคนล่าสุดเสียก่อน
“เรากลับกันเถอะค่ะ แล้วค่อยไปตามหาคุณภีมที่อื่น”
อย่างน้อยตอนนี้นันทาก็รู้อย่างหนึ่งว่า ชายหนุ่มในห้องไม่ได้โกหกหล่อนในเรื่องชื่อของเขา
เรื่องนี้มีลับลมคมนัยหลายซับหลายซ้อน อย่างแน่นอน
นันทารอส่งคนทั้งสองขึ้นรถ ก่อนจะเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วพยายามทำท่าทางให้เป็นปกติที่สุด แต่พอปิดประตู หล่อนก็ล็อกประตูด้วยมือที่สั่นเทา
หล่อนมาเปิดประตูห้องด้านใน เขารออยู่ในนั้น ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังใคร่รู้เต็มที่
เขาเห็นท่าทีตื่นตระหนกของหล่อน
“มันเรื่องอะไรกันคะ” หล่อนสั่นไปทั้งตัว จนต้องทิ้งตัวลงนั่ง “มันมีอะไร”
“ใจเย็นๆ” เขายังปลอบโยนหล่อนเสียอีก
“บอกฉัน...ถ้าคุณยังอยากอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้วล่ะค่ะ นอกเสียจากว่าจะยอมเปิดปาก”
หล่อนเอ่ยเสียงแข็ง
“ถ้าผมเล่าให้ฟัง จะยอมให้ผมอยู่ด้วยใช่ไหม จนกว่าผมจะแข็งแรงดีกว่านี้”
“ฉันจะลองพิจารณาดูอีกที”
“ผมยังไปไม่ไหวจริงๆ” เขาเอ่ยขอความเห็นใจ “พวกนั้นอาจจะกลับมาอีก
แต่นันทาไม่พยายามใส่ใจกับรายละเอียดปลีกย่อยพวกนั้น สีหน้าของหล่อนเคร่งขรึมจริงจังอย่างมาก
“พวกเขาว่าคุณเป็นโรคประสาท”
เรื่องนี้อาจจะมากกว่าหล่อนคิด
“เธอเชื่อไหมละ”
“ฉันไม่รู้จะเชื่อใคร แต่ฉันไม่อยากมีปัญหาเดือดร้อน”
เสียงเขาหัวเราะหึๆ แต่แทรกเอาไว้ด้วยกังวานหนักๆ อย่างแปร่งหูอยู่เหมือนกัน
“สำหรับพวกงกเงินพวกนั้น ผมเป็นได้สารพัดแหละ ขอโทษเถอะนะที่ผมจะต้องพูดถึงแม่เธออย่างนี้...ผมรู้จักนงนุชในแง่เดียว แง่ที่เป็นผู้หญิงโหดร้ายหิวเงิน แล้วบ้ากาม!”
หน้าของนันทาบอกบุญไม่รับทีเดียว แต่ในส่วนลึกๆ ลงไป หล่อนก็พูดไม่ออก เพราะมันเป็นความจริงทุกประการในบางแง่มุม ที่หล่อนเองเคยปฏิเสธไม่ยอมรับตลอดมา
“ถ้าจะพูดก็พูดเอาแต่เนื้อๆ อย่าระบายสีมากนัก อย่างไรเสียผู้หญิงที่คุณว่าเป็นแม่มดร้ายนั่น ก็เป็นแม่ของฉัน”
“เธออยากรู้จักอีกด้านของแม่เธอไหม”
นันทาลังเล
“บางทีความจริงก็โหดร้าย”
หล่อนเงียบ
“เธอเหมือนไม่ได้เจอแม่มานานแล้ว”
หล่อนไม่อาจจะเล่า...เรื่องส่วนตัว...เขาคือคนแปลกหน้า
“ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเป็นลูกสาวของนงนุช หรือเธอเป็นลูกไม้ไกลต้น”
หล่อนยังปิดปากตัวเองเงียบเฉย
“เธออยากรู้เรื่องแม่เธอในส่วนที่ผมได้สัมผัสไหม”
นันทาเริ่มลังเล แต่หล่อนก็ต้องรู้ไม่ใช่หรือ การยอมรับความจริงไม่วันนี้ก็สักวัน ปฏิเสธไม่ได้ หนีไม่ได้
และหลังจากรู้นันทาก็พูดไม่ออก ตัวแข็งทื่อ ใบหน้าขาวซีด จนแทบจะไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่อีกเลย
“ผมเสียใจ ที่ต้องพูดเหมือนให้ร้ายกันแบบนี้ แต่ผมพูดจริง เธอบอกว่าไม่เชื่อเรื่องสาบาน ผมก็เอาเพียงเกียรติที่คิดว่า ตัวเองมีอยู่รับประกันกับเรื่องนี้เท่านั้น”
แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากมองหน้าหล่อนเหมือนจะรอฟังว่านันทาจะพูดอย่างไร แต่สิ่งที่เขาได้เห็นจากหญิงสาวก็ทำให้เขาเวทนาขึ้นมา ทั้งที่เขาคิดว่านันทาน่าจะเป็น “เครื่องมือ” ที่ดี ที่ทำให้เขาสามารถแก้แค้นเอาคืนกับสิ่งที่นงนุชทำได้
ตอนที่ 105.เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการแม่ยายนันทาขำที่เขาทำทำท่าจริงจังมาก และเมื่อหล่อนมาบ้านที่ริมทะเลนี้ หล่อนคิดว่าเรื่องรักของหล่อนก็เหมือนเรื่องคลื่นลมในทะเล พัดปั่นป่วนรุนแรง แล้วก็เงียบ และก็พัดแรงอีกหนมันเป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนไฟที่บางครั้งลุกโชน บางครั้งก็อ่อนแสง เหมือนจะดับ แต่ก็ไม่ได้ติดวันนี้หล่อนออกมาเดินเล่นอยู่ริมทะเลคนเดียว ภีมเข้าไปกรุงเทพฯ เพราะมีเรื่องงาน หล่อนรอเขาที่นี่ หลังจากทำอาหารเย็นแล้ว หล่อนก็ออกมาเดินเล่น ที่ชายหาด แต่ลมพัดเม็ดฝนมาพร้อมกับคลื่นที่ม้วนตัวขึ้นมาหาหล่อนหันหลังกลับจากชายหาดกลับไปที่บ้าน ลมพัดแรงจนหล่อนต้องรีบก้าวเดินให้เร็วขึ้น รู้สึกถึงเม็ดฝนที่ตกเปาะแปะลงโดนผิวกายจนต้องวิ่งเพื่อกลับไปที่บ้านแต่ฝนก็ลงมาอย่างแรงเสียก่อน แล้วอยู่ๆ เงาดำเงาหนึ่งก็แวบผ่านมา จนหญิงสาวผงะออกไปอย่างตกใจเต็มที่“นันทา!”ท่ามกลางสายฝนที่อื้ออึงหวั่นไหว เสียงภีมนั่นเองเขาจับแขนหล่อนเอาไว้ “ผมกลับมาบ้านไม่เห็นเธอ นึกแล้วว่าต้องออกมาเดินเล่น ฝนลงหนักแล้วล่ะ รีบกลับเข้าไปบ้านเถอะ”ทั้งเขาและหล่อนต้องก้มหน้า ไม่ให้สำลักน้ำฝนที่กระหน่ำลงมารอบตัว ผ่านความนุ่มหยุ่นของ
ตอนที่ 104.เขาเบะปาก ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี สู้ไม่พูดน่าจะดีกว่า เขาเลยได้แต่อึดอัดใจ แม้ตอนนี้เขาจะถูกคาดหน้าตราโทษจากป๋าว่าไม่ให้เขาก่อเรื่องร้ายอีก...ป๋าเรียกเขาไปอบรมเรื่องเลือดสายเดียวกัน คนบ้านเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง น้าหลานหรืออะไรก็ตามแต่ นายภูมินทร์ยืนยันเสมอว่าจะต้องรักกัน หรือหากรักกันไม่ได้ก็ต้องไม่คิดฆ่ากัน และเขาก็คิดว่าหากภีมไม่ได้ครอบครองสมบัติคนเดียว เขาจะไม่คิดทำร้ายภีมอีก เขาเสียเงินสิบล้านเป็นค่าไถ่โทษไปแล้ว มันมากพอแล้ว และตอนนี้เขากับภีมก็ต่างมีเส้นทางเดินของตัวเองนงนุชไม่ได้ใช้ความเป็นแม่ไปต่อสานให้ติดกับนันทา และเขาก็ไม่ได้สนับสนุนหล่อนด้วย“ที่จริงเราแยกตัวมาอยู่ข้างนอกก็ดีนะ คุณว่าไหม”เขาถามหล่อน กอดหล่อนไว้ ยอมรับว่าเขารักหล่อนโดยไม่สนใจอายุของหล่อนเลย แม้คุณพิมจะวิงวอนขอให้เขาทิ้งนงนุช แต่เขาก็ทิ้งไม่ลง “ก็ดี ไม่ต้องกดดันกับสายตาคุณพิม อีกอย่างฉันก็ไม่อยากเจอนันทา ละอายใจ”“เราคงจะต้องมีชีวิตต่อไป” ไพฑูรย์เอ่ยออกมาในที่สุด ไม่ใช่ด้วยเพราะสำนึกได้ แต่เพราะเขาคิดว่าเขาอยากจะมุ่งหน้ามีความสุขในชีวิตส่วนตัว...เขาอาจจะหลงทางไปฟาดฟันกับภีม...แ
ตอนที่ 103.“ใช่ครับ พี่พิม มาดูแล...เราอาจจะอยู่กันอย่างผัวเมียไม่ได้ แต่เราอยู่กันอย่างคนที่จะดูแลกันและกันได้จนกว่าเราจะไม่อยากเห็นกันอีกจะดีไหม”เขาพูดอะไร...คุณพิมงงๆ“ผมมีแต่พี่พิมมานาน ไม่เคยมีคนอื่นที่อยู่ในใจผมเท่าพี่พิม แต่เราต้องยอมรับความจริงถึงความแตกต่างกัน ก่อนหน้าที่เผยไม่ได้ ผมปรารถนาพี่พิมมากมาย แต่พอเปิดเผยได้ ผมกลับกลัวที่เราจะแสดงความปรารถนาให้คนอื่นรับรู้”“แล้วตอนนี้...ต้องการอะไรกันแน่”“อย่างที่ผมบอกครับ เราจะดูแลกันและกัน ผมจะไม่ยอมให้พี่พิมทำร้ายตัวเอง แต่นั่นไม่สำคัญครับ ที่สำคัญที่สุด...ผมรู้ตลอดเวลาที่ผ่านมา...พี่พิมต้องการผู้ชายสักคน...ของพี่...ของพี่จริงๆ...ผู้ชายที่จะกอดพี่...รักพี่ แล้วทำให้พี่ไม่เดียวดาย...จริงไหม พี่พิม”คำพูดนั้นทำให้คุณพิมร้องไห้โฮ เหมือนเด็กที่ไม่ได้ระมัดระวัง จะเสียภาพพจน์อีกแล้วเมื่อทุกอย่างลงเอยกันได้อย่างที่เรียกว่ามาพบกันครึ่งทาง คุณพิมผู้ได้พบว่าสุดท้ายที่เธอเพียรตะกายหานั่นคือแค่ใครสักคนที่รับรู้ว่าเธอมีตัวตนใครสักคนของเธอ...แค่ใครคนนั้นจริงๆไม่ใช่ “ป๋า” ที่พรากคนที่เธอรักจากไป เมื่อเธอยังเยาว์วัยไม่ใช่ “ลูกชาย
ตอนที่ 102.“กับเพื่อนของเธอนะ นัน...พี่พุดทำท่าแปลกๆ”“แปลกยังไงคะ”“ผมว่าเราอาจจะเห็นคุณพุดตะครุบไล่ล่าเมธามาไว้จริงๆ”“หากเขายอม...”“ผมว่าเขาต้องยอม เพราะคุณพุดเป็นนักตื๊อ”“แม่นันก็มีความสุขกับคุณไพฑูรย์...และคนต่อไปที่จะมีความสุขคือพี่ธม เพราะแม่ก็อาจจะช่วยตามเมียกลับมาให้พี่ธมได้ และความสุขพวกนี้จะส่งตัวในครอบครัว เมื่อทุกคนมีควมสุขส่วนตัวก่อน จะมาถึงพี่น้องเครือญาติ มันจะเหมือนวงจรของความสุขที่ไหลเคลื่อนได้โดยไม่ติดขัด”“ช่างพูดจริง” เขาประทับจูบหล่อนเสียก่อนให้หล่อนพูดต่อ แต่เขาก็คิดว่าการไปพูดกับจักราอีกหนน่าจะดี...นันทาปลอบโยนเขาในค่ำคืนวันนี้...หล่อนเรียนรู้เรื่องของความรักจากที่เขาสอน...และตั้งแต่เข้าใจว่าความรักเป็นอย่างไร นันทาก็ทำให้ภีมมีความสุขอย่างแท้จริง ยามที่หล่อนเป็นฝ่ายหยิบยื่นความงดงามของความรักให้กับภีมนั้น แม้หล่อนจะยังงุ่มง่ามไปบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ภีมพบว่าไร้มารยาอย่างยิ่งเขาสามารถเสพสมได้อิ่มเอม และละความเศร้าหมองในหัวใจ...รสาตายแล้ว พ่อของหล่อนถูกจับ เป็นเรื่องอื้อฉาวของครอบครัว ลลิลไม่รู้สึกปิติยินดีตามที่เคยคิดเล่นๆ ในใจแม้แต่น้อย หล่อนเคยวา
ตอนที่ 101เขารู้เรื่องนี้เพราะเขาเคยสนิทกับรสาไม่ใช่น้อย สนิทถึงขั้นเกือบจะแต่งงานกับหล่อนครอบครัวเกือบจะ “ดอง” กัน ด้วยความเหมาะสมของผู้คนภายนอกที่มองเข้ามาทุกคน...ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ทุกอย่างเหมาะสมดีงามทั้งสิ้นแต่เขากับรสาก็ “วืด” จากกัน ไม่ต้องโทษหล่อน หากแต่โทษเขาได้เลย เพราะเขาหันไปมองลลิลที่เข้ามา หล่อนอ่อนวัย ร่าเริง และสนุกสนาน พอดีกับเขามองเห็นว่ารสาอยู่ในกรอบที่เข้มงวด ความสวย ความเพียบพร้อมของหล่อนมีผลทำให้เขาขบคิดมากมายว่าเขาจะทนอยู่ในกรอบได้หรือไม่ การเลือกคบหากับลลิลวันนั้นเป็นเพียงการถอยออกจากรสาและได้ผลทีเดียว รสาถือตัวเกินกว่าจะลดตัวมาแย่งชิงกับหลานสาว และเขาก็ไม่ได้สานต่อกับลลิล เพียงถอยจากรสาได้ ลลิลก็หมดประโยชน์เขาได้เห็นเรื่องวุ่นวายในครอบครัวของรสามาก่อน นั่นก่อนจะได้เห็นเรื่องวุ่นในครอบครัวตัวเอง“พี่น้องกัน...ไม่น่าเลย...คุณพรไชยไม่น่าจะทำแบบนั้น”แต่จะต่างอะไรจากไพฑูรย์เคยทำ“เหมือนที่ไพฑูรย์เคยทำกับผม”นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเล่ารายละเอียดกับหล่อน นันทาเคยถาม เขาก็ไม่เล่า เพราะมีนงนุชอยู่ในเรื่องราวนั้นด้วย หล่อนเชื่อว่าเขาห่วงความรู้สึกหล่
ตอนที่ 100.“คุณพิมเธอใส่หน้ากาก เล่นละครมานานมาก ตอนแรกฉันก็โกรธนะ แต่พอรู้เรื่องเบื้องหลังของเธอ ฉันก็โกรธไม่ลง ยิ่งป๋าขอด้วยแล้วฉันก็พร้อมให้อภัยเธอ แต่นายคิดยังไง จะยอมรับคุณพิมไหม”จักราเงยหน้าสบตากับเพื่อน“ฉันเห็นพี่พิมมานาน เธอเป็นผู้หญิงแสนดีทุกอย่าง ที่เราปรารถนาอยากจะได้ แต่พอได้...”เขาเว้นวรรคการพูด ละอายใจที่จะเอ่ยเรื่องนี้“ภีม ฉันไม่อยากพูดมาก จะเหมือนฉันเอาเรื่องลับมาประจาน แต่ฉันต้องพูดเหมือนกัน พี่พิมจะครอบงำฉัน และฉันเพิ่งรู้เรื่องที่เธอเป็นแม่ของไพฑูรย์และเธอคิดไม่ดีกับป๋า ฉันไม่อยากสมรู้ร่วมคิด อีกอย่างความสัมพันธ์ของฉันกับเธอ มันเหมือนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เธอจะครอบงำฉัน และเมื่อความลุ่มหลงจางลง ฉันก็ไม่อยากจะเข้าใกล้เธออีก..”ต้องยอมรับว่าหน่ายแหนงลงไวมาก เพราะที่เกิดไม่ใช่ความรัก“ตอนนี้ฉันไม่ยอมไปเจอเธออีก”“คุณพิมจะยิ่งคลั่งนะ”“ฉัน...อาจจะชั่ว...แต่ฉันไม่อยากเจอเธออีก”จักราบอกออกมาในที่สุด“ทั้งที่...ฉันก็ยังชอบเธอมาก แต่มีอะไรที่ทำให้ฉันอยากถอยห่าง”“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ขอให้นายอยู่ห่างคุณพิมจริงๆ ก็พอ”“ภีม ฉันเสียใจนะ”“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ...นายประ