รถม้าค่อยๆ แล่นผ่านถนนหินเรียบของเมืองซูไห่ บรรยากาศโดยรอบยังคงอบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรและไออุ่นของแสงแดดยามเที่ยง ใต้หลังคาโค้งของเรือนร้านค้า ผู้คนยังเดินขวักไขว่ด้วยจังหวะเร่งรีบที่แฝงด้วยจุดมุ่งหมาย เด็กเร่ขายข่าววิ่งสวนทางกับแม่ค้าขายโอสถ เงาของรถม้าคันหนึ่งทอดยาวลงบนพื้นหินราวกับบันทึกเส้นทางแห่งวาสนา ภายในรถ อวี้หลานยกม่านผ้าเปิดออกเล็กน้อย มองผ่านความพลุกพล่านไปยังตรอกซอยเบื้องหน้า ดวงตาเขาฉายแววเงียบขรึมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปกล่าวกับชายชราที่ยังกุมบังเหียนอยู่ “ผู้อาวุโสหลี่ ที่ตรงนั้นคงจะพอแล้ว... พวกข้าสองพ่อลูกจะขอลงตรงนี้เถิด มิเหมาะนักที่จะรบกวนพวกท่านไปมากกว่านี้” ชายชราหันขวับกลับมา คิ้วขมวดเล็กน้อย “เหตุใดต้องรีบร้อนนัก น้องอวี้ เราเองก็เหมือนญาติมิตรกันแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่ารบกวนได้?” อวี้หลานยิ้มบาง สีหน้าสงบ “ท่านผู้อาวุโสเป็นผู้มีคุณ ข้ากับบุตรชายเพียงได้รับเมตตา ชายชาติบัณฑิตควรรู้จักถนอมวาสนาให้เหมาะสม นับจากนี้เส้นทางของพวกข้าคงแตกต่างจากท่านแล้ว... ที่ตรงนี้เพียงพอ ขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง” ชายชราเงียบงันไปครู่ ก่อนถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นก็แล้วแต่...
สายลมยามบ่ายแห่งเมืองซูไห่พัดโบกเอื่อยเบา หอบเอากลิ่นคาวของทะเลสาบ ผสมกับกลิ่นหอมจางๆ ของโอสถสมุนไพรที่ลอยอวลอยู่ทั่วไปในตลาดกลางเมือง ผู้คนหลากชนชั้นเดินขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ขาย ผู้ฝึกยุทธ์ในชุดยาวแสดงยศสำนัก หรือแม้แต่ผู้คนธรรมดาที่ถือถุงห่อข้าวปลาเดินสัญจรไปมา บางคนกำลังต่อรองราคาสินค้าอย่างออกรส บ้างนั่งพักหลบร้อนใต้ร่มผ้าปูตลาดแห่งนี้อึกทึกทว่าไม่ไร้ระเบียบ บรรยากาศกลับแฝงไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากหมู่บ้านเล็กอย่างเทียนฟู… อวี้เหวินเดินทอดสายตาไปรอบด้าน ความรู้สึกคล้ายอยู่ในโลกอีกใบที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด“นี่แหละเมืองซูไห่ของแท้…” อู๋ซวนยิ้มพลางกวักมือเรียก “ทางนั้นคือร้านขายอาวุธ ส่วนฝั่งโน้นมีโรงน้ำชาใหญ่ ท่านรู้ไหมว่าชั้นบนมีนักเล่านิทานระดับตำนานประจำทุกค่ำคืนเลย!”อวี้เหวินพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้กล่าวอันใด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสนใจสายตาทั้งสองพลันสะดุดเข้ากับร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางถนนรอง มุงด้วยหลังคาผ้าสีซีดดูธรรมดายิ่งนัก หากแต่ตั้งเรียงรายไว้ด้วย “ก้อนหิน” หลากขนาด สีสันไม่งดงาม ไม่อร่ามเรือง หากแต่แฝงกลิ่นอายเร้นลับ
ในยามที่มิติภายในสร้อยคอผสานรวมกับผลึกทมิฬชิ้นใหม่ ความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างแผ่วเบา หากแต่ลึกซึ้งจนสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของพลัง เสี้ยวหนึ่งของมิตินั้นเริ่มสั่นสะเทือนอย่างเงียบงัน ราวกับม่านหมอกอันดำสนิทที่เคยปกคลุมทั่วทุกทิศ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังทมิฬอันหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้า ซ่งเหยียนเฟย เหินร่างจิ๋วอันงดงามประหนึ่งตุ๊กตาเทพหยก ก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอันไร้จุดจบในมิติแห่งนี้ด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง ร่างของเขาแม้จะเล็กจ้อยดั่งนกน้อยในเงามังกร แต่ความเย่อหยิ่งสง่าของเผ่าทมิฬหาได้พร่ามัวลงไม่ ผ้าคลุมสีชาดโบกสะบัดพลิ้ว ท่ามกลางพลังปราณสีดำที่วนเวียนดั่งพายุใต้บาดาล “ความมืด… หนาขึ้นกว่าคราแรกเสียอีก” เสียงนุ่มลึกของเขาเอื้อนเอ่ยในความเงียบ เขายื่นฝ่ามือเรียวเล็กออกไป พลังทมิฬที่ปะทุอยู่อย่างแผ่วเบารอบตัวไหลซึมเข้าสู่ผิวเนื้อ ก่อเกิดประกายเรืองรองสีดำวาววับที่ชั้นผิว พลังอันน่าพิศวงนี้ไม่เพียงโอบอุ้มจิตใจ หากยังปลุกเร้ากายเนื้อให้เร่งฟื้นฟูราวปาฏิหาริย์ “เพียงแค่ชิ้นเดียว… มิติแห่งนี้กลับมีการตอบสนองถึงเพียงนี้?” ดวงเนตรเขม็งมองไปยังความเวิ้งว้างเบื้องหน้
อวี้เหวิน... เสื้อผ้าบนกายเรียบง่าย ท่าทางไม่สะดุดตาเมื่อเทียบกับอัจฉริยะอื่น ๆ ที่สวมอาภรณ์หรูหรา หากดวงตาของเขา กลับเปล่งแสงเฉียบคมเยี่ยงดาบลับที่ซุกซ่อนในฝัก ใบหน้าสงบเฉย นิ่งราวแผ่นน้ำในยามราตรี แต่ในความนิ่งนั้นกลับมีบางสิ่งซ่อนอยู่... ร้อนแรงและหนักหน่วงดุจอัสนีสายลับที่รอวันฟาดฟันเขาก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นศิลาสายวัดพลังสายลมเย็นโชยเอื่อยพัดชายเสื้อของเขาเบา ๆ คล้ายจะรับรู้ถึงแรงอารมณ์อันแน่นขนัดของเขาในยามนี้...ไม่มีเสียง ไม่มีคำพูด ไม่มีท่าทีแสดงความฮึกเหิมมีเพียงความสงบก่อนพายุอวี้เหวินสูดลมหายใจเข้าช้า ๆในใจกลับดังก้องด้วยเสียงของซ่งเหยียนเฟยจากมิติสร้อยคอ“เจ้าจะเปิดเผยพลังจริงหรือไม่?”เด็กหนุ่มหลับตาลงครู่หนึ่ง ดวงจิตสงบนิ่ง ก่อนพึมพำในใจ...“ไม่จำเป็น...ในยามนี้”“เพียงพอแค่ให้โลกรู้ว่า ข้า มิใช่คนที่ควรดูแคลน”ฝ่ามือของเขากำแน่น พลังหมุนเวียนจากส่วนลึกในกาย ปะทุแผ่วเบาแต่ทรงอานุภาพ เคล็ดวิชา หมัดอัคนีสังหาร เริ่มไหลเวียนผ่านเส้นเอ็นเส้นเลือดอย่างกลมกลืน ราวกับเพลิงที่ถูกกรั่นกลั่นจากขุมนรกแม้เป็นเพียง ขั้นกลาง หากภายใต้ร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนด้วย เตาอ
เบื้องหน้าค่ายกลจิตอสูร สถานที่ทดสอบด่านที่สองอันลือเลื่องของตำหนักมังกรเมฆา ผู้คนมากมายต่างจับจ้องอยู่ด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น เวลาค่อย ๆ ล่วงผ่านไปทีละน้อย ท่ามกลางม่านหมอกจิตวิญญาณที่ห่อหุ้มค่ายกลอันแสนลี้ลับนั้น ร่างของผู้ทดสอบบางคนพลันถูกขับไล่ออกมาทีละคน…เสียงถอนหายใจดังระงมปะปนกับเสียงฮือฮา"อีกคนแล้ว!""ดูเหมือนว่าจะทนแรงกดดันของภาพลวงในค่ายกลไม่ไหว...""มันช่างโหดเหี้ยมเกินไปจริง ๆ!"บรรยากาศคล้ายมีแรงกดดันแผ่ซ่านอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่รอดออกมาล้วนอยู่ในสภาพอิดโรย สีหน้าซีดเซียวไม่ต่างจากผู้ที่เพิ่งเดินพ้นนรกบนดินท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความวุ่นวายโดยรอบอวี้เหวิน กลับยืนอยู่กลางใจของค่ายกลด้วยจิตใจที่มั่นคงดั่งหินผา แม้รอบข้างจะเต็มไปด้วยภาพลวงตาอันบิดเบือนความจริง ทั้งเสียงคร่ำครวญอันแสนเศร้าสร้อย ภาพความเจ็บปวดในอดีต และคำลวงที่เจาะแทงหัวใจ เขากลับไม่ไหวเอนแม้แต่น้อย"เจ้าคิดว่าแค่เพียงภาพลวง จะทำให้ข้าสั่นคลอนได้กระนั้นหรือ..." เขาพึมพำกับตนเอง ดวงตาคมกล้ากวาดมองเบื้องหน้าที่เป็นเพียงมายาภาพ แล้วเร่งฝีเท้าเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วยิ่งเขาก้าวไป จิตใจก็ยิ่งสงบนิ่งด
ณ ลานประลองที่สิบเจ็ด แดดยามสายสาดต้องผ่านม่านเมฆเบาบาง เหนือพื้นกระเบื้องศิลาบนลานประลองที่ถูกตีกรอบด้วยเสาหินอักขระสูงตระหง่าน ราวกับสังเวียนศักดิ์สิทธิ์แห่งชะตากรรมที่ถูกสวรรค์ลิขิตไว้เสียงผู้คุมประลองเอ่ยออกอย่างหนักแน่น“อวี้เหวิน ผู้บ่มเพาะอิสระ หวังไป๋ แห่งสำนักเขามรกต ประลอง ณ ลานที่สิบเจ็ด เริ่มได้!”ผู้คนโดยรอบเบียดเสียดกันแน่นขนัด แม้จะเป็นเพียงลานที่สิบเจ็ด มิใช่สนามหลัก หากแต่ในหมู่ผู้ชมกลับบังเกิดคลื่นกระแสคาดหวังขึ้นมาทีละน้อย สายตาจำนวนไม่น้อยจับจ้องยังร่างหนึ่งซึ่งยืนอยู่เงียบงันกลางลานเด็กหนุ่มชุดดำเร้นเงา ใบหน้าสงบ นัยน์ตาเรียบเฉย แต่มองลึกลงไปแล้วกลับดุจเปลวเพลิงที่เผาไหม้ใต้พื้นพิภพ ร่างนั้นคือ "อวี้เหวิน" ผู้ถูกพูดถึงมากในช่วงเช้า ไม่ใช่เพราะฐานะหรือสำนัก หากแต่เพราะเขาคือผู้ที่ฝากผลงานอันน่าตกตะลึงเอาไว้ผ่านการทดสอบสองด่านที่ผ่านมาอีกฟากหนึ่งของลาน หวังไป๋ในชุดเขียวเข้มของสำนักเขามรกต ยืดอกเชิดหน้า ใบหน้าคมคายฉายความมั่นใจ ชื่อของเขาแม้ไม่ถึงขั้น “ห้าจอมอัจฉริยะ” หากแต่ในแวดวงฝึกกายเมืองซูไห่ ก็ใช่ว่าจะไร้ชื่อเสียง“ข้าได้ยินว่าเด็กนั่นเพิ่งอยู่ขั้นต้นของกำเน
ในสนามที่สี่ ยามเท้าของอวี้เหวินเหยียบลงบนเวทีหิน เงาของเขาเหยียดยาวเคียงข้างอีกผู้หนึ่งเจียนอู่ แห่งหมู่บ้านเขากระดูกเหล็ก บุรุษร่างสูงใหญ่กล้ามเนื้อแน่นหนา ไหล่กว้างราวหินผา แววตาเฉียบคมประหนึ่งอินทรีย์กวาดมองเขาเป็นหนึ่งในผู้เข้าทดสอบซึ่งฝึกฝนร่างกายมานับสิบปี ก้าวสู่ระดับ “กำเนิดกายขั้นกลาง” อย่างมั่นคง ชื่อเสียงในหมู่ผู้ฝึกกายขจรไกลตรงข้ามคืออวี้เหวิน บุรุษหนุ่มผู้ไม่มีชื่อเสียง ไร้ฉากหลัง มิอาจตรวจสอบได้แม้แต่สำนักเดิม หากแต่ยืนอย่างมั่นคง สีหน้าเรียบนิ่ง ร่างกายหาได้ใหญ่โต ทว่ากล้ามเนื้อแน่นตึงประดุจเหล็กกล้าแฝงพลังลึกซึ้งเสียงประกาศของผู้คุมเวทีดังขึ้น “การประลองเริ่มได้!”เจียนอู่หัวเราะหยัน มิแม้จะเตรียมท่าใด ดั่งเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงเบี้ยไม้“เด็กหนุ่ม…เจ้าควรยอมแพ้แต่โดยดี”เขาพลันพุ่งเข้าหา ราวพยัคฆ์พุ่งตะปบ น้ำหนักตัวและพลังจากขาทั้งสองถีบพื้นส่งแรงทะลวงอากาศจนเสียง ฝ่าฝืน ดังสะท้อนทั่วลานอวี้เหวินไม่ถอยแม้ครึ่งก้าวเขาย่อตัวลงเล็กน้อย ปล่อยให้หมัดแรกพุ่งเข้ามา เสี้ยวลมหายใจก่อนกระทบ ร่างของเขากลับเบี่ยงเฉียงเฉียดผิวผ้าเพียงปลายเส้นเสียงหมัดเจียนอู่ วืด เฉียดผ่าน
ลานประลองที่หนึ่ง หลี่หมิง แห่งสำนักบูรพาวายุ ปะทะ ไป๋หยุนเซิง แห่งดาราม่วงส่องฟ้า!สองเงาร่างยืนประจัญหน้ากันกลางลาน ลมรุนแรงพัดกรูราวหมื่นพายุคลุ้มคลั่งหนึ่งคือบุรุษชุดฟ้าเงินเย็นชาแฝงพลังอหังการอีกหนึ่งคือชายหนุ่มในชุดม่วงเข้ม ดวงตาแหลมคมดั่งเหยี่ยว ถุงมือคริสตัลข้างขวากำลังสั่นเบาๆ“ข้ารอศึกนี้มานาน…เทพกระบี่อัสนี!” ไป๋หยุนเซิงเอ่ย ดวงตาฉายแววร้อนแรงหลี่หมิงเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“ข้าไม่สนใจชื่อเสียง…เพียงต้องการข้ามเจ้าไปพบผู้ที่ควรประมือจริงๆ”สองเงาร่างพุ่งเข้าปะทะในพริบตา!หมัดฟ้าคราม!กระบี่วายุคราม!แสงสีฟ้าสลับม่วงระเบิดกลางลานประลอง พื้นลานแตกร้าวด้วยแรงปะทะ ทุกกระบวนท่าคมเฉียบไร้ความลังเลเสียงกระบี่ผสานเสียงหมัดดังสนั่น ทั้งสองรุกและรับอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างหนึ่งเคลื่อนไหวราวลมกรด อีกคนพุ่งทะยานดั่งพายุโหมหลายสิบกระบวนท่าผ่านไป ทั้งสนามยังไร้ผู้ได้เปรียบ…แต่หลี่หมิงยังคงไม่เร่งฝีมือ ใบหน้าของเขายังสงบนิ่ง“พอเพียงแล้ว...ข้าต้องเก็บแรงไว้ให้เขา” เขาพึมพำเบาในชั่วพริบตานั้นเอง เขาวาดกระบี่หนึ่งจังหวะเล็กเงากระบี่ปลิววูบ…ไม่ได้โจมตีตรงตัวไป๋หยุนเซิง
ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกับกลัวเพียงแรงสะเทือนเพียงน้อยจะทำให้นางแตกสลายยามเมื่อร่างบอบบางถูกวางลงบนฟูกฟางเก่าเนื้อดี มือแกร่งค่อยประคองจัดท่าให้สตรีผู้นั้นนั่งลงอย่างนุ่มนวล แม้ใบหน้างามล่มเมืองจะถูกผืนแพรบางสีขาวปิดบังไว้ ทว่ารัศมีแห่งความงามราวเทพธิดาจำแลงก็มิอาจซ่อนเร้นได้ นางนั่งสงบนิ่งราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรสวรรค์ แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาเป็นลำ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดั่งน้ำตกจากผา สูบประกายจากผิวขาวผ่องราวหิมะแรกต้องแสง จนบุรุษผู้พบเห็นมิกล้าแม้แต่จะสัมผัสอวี้เหวินสูดลมหายใจลึก มือหนึ่งค่อยเอื้อมไปปลดปมเสื้อคลุมเนื้อละเอียดทางด้านหลัง นิ้วมือที่เคยชาชินกับการจับดาบในสนามรบ กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผืนผ้าบางเบาดุจกลีบเมฆ เสื้อคลุมสีขาวนวลค่อยๆ ร่วงหล่นจากบ่า เผยแผ่นหลังขาวเนียนราวมรกตไร้ตำหนิ นุ่มละ
ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่งเสาหลักบ้านทรุดโทรมแววตาของอวี้เหวินเรืองแสงสีทองอ่อน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยรังสีแห่งเพลิงอัคคีและประกายแห่งอัสนีบาต มือขวาของเขาแน่นราวคีมเหล็ก ทั่วกายแผ่ไอร้อนระอุ สะท้อนกับเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับถูกเพลิงล้อมรอบ...กายาเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังสีน้ำเงินเข้มปนประกายทองแดง เสมือนชุดเกราะเงาไร้รูปลักษณ์ ขณะที่กล้ามเนื้อภายใต้ชุดคลุมสีทมิฬที่ขาดวิ่นเต้นระริกด้วยพลังดั่งภูตอัสนีแฝงสิง"เตาอัสนีวิบัติ" ขั้นที่สองระดับกลางยามเลื่อนถึงขั้นนี้ กายาของอวี้เหวินแปรเปลี่ยนเสมือนร่างเทพอัสนี ทุกฝีก้าวหนักแน่นปานทุ่มแผ่นดินทุกหมัดเปี่ยมด้วยพลังกระชากวิญญาณพลันเขากระโจนพุ่งเข้าหาร่างหลิวหงอีกครา มือซ้ายสะบัดเป็นวิถีกงล้อแห่งสายฟ้า มือขวากำรอบเป็นหมัดเพลิงคำราม“หมัดอัคนีสังหาร!”เสียงหมัดซัดผ่านอากาศรา
อวี้เหวินในยามนี้ ทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหาดคลื่นซัด... ดวงตาเคยคมดุจมีดกระบี่ บัดนี้พร่าเลือนราวหมอกเช้า เสียงฟ้าครวญลมร้องกลับกลายเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในโสตประสาทของเขา จิตใจของเขาถูกกัดกร่อนราวเหล็กที่แช่กรด คลื่นความมืดมนปะทะซัดเข้าราวพายุพัดจิต “เฮ้! เจ้าหนู อวี้เหวิน... เจ้าไหวรึไม่!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในมโนสำนึก..แหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน ห้วงเสียงนั้นคือซ่งเหยียนเฟย... สหายจากมิติสร้อยคอ ผู้เคยปากกล้าท้าโลกหล้า ซ่งเหยียนเฟยกำลังจะก้าวออกจากมิติมา เเต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงปลายนิ้ว เขายังเพียรเรียกหาเสียงแล้วเสียงเล่า “บัดซบ... ไออสูรหน้าคน!” ซ่งเหยียนเฟยสบถพลางตวัดฝ่ามือไปมาในมิติจำกัด “หากข้าก้าวออกไปได้ละก็..ท่านปู่ผู้นี้จะฉีกกระชากร่างมันจนกระดูกแหลก!” แต่เสียงของเขา กลับสะท้อนอยู่เพียงในเงาจิต ไม่อาจเข้าถึงจิตอวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงว่างอันไร้ปลาย..เข่าทั้งสองแนบทราย ดวงหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ผมยาวหลุดรุ่ยคลอเคลียหน้าผาก ดั่งรัตติกาลที่คลุมร่างเทวะให้กลายเป็นมนุษย์ผู้ตกสู่ขุมนรก เสียงของซ่งเหยียนเฟยยัง
ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเหนือชายฝั่งอันวิเวก เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังเป็นจังหวะอ้อยอิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนั้น คือบรรยากาศที่ตึงเครียดประหนึ่งสายฟ้าเงื้อมคมรอจู่โจม ร่างในชุดดำของอวี้เหวินยืนนิ่งประหนึ่งเงาสลัวในม่านรัตติกาล สองตาจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้า ผู้ซึ่งบัดนี้หาใช่เพียงชายวัยกลางคน หากแต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้ากลับกลายเป็นอสูรอันน่าสะพรึง ร่างกายแปรเปลี่ยน กล้ามเนื้อปูดโปน เกล็ดสีดำสนิทผุดขึ้นราวอสรพิษจำแลง เงาของง้าวดำในมือขยับไหวเพียงนิด กลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาราวกับทะลวงอากาศ อวี้เหวินไม่กล่าววาจาใดให้เปลืองถ้อยคำ ขณะที่จันทราเบื้องบนยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยจากยอดฟ้า เขาก็พุ่งออกประหนึ่งอัสนีสาดฟาด! หมัดแรกพุ่งทะลวงอากาศเป็นประกายเพลิง ปะทะตรงกับเคียวมารของหลิวหง เสียงดังสนั่นดั่งเหล็กกล้ากระทบหินผา แรงสั่นสะเทือนสะท้านไปทั่วร่างของหลิวหงจนเขาต้องถอยหลังพลางยกเคียวขึ้นยันตัวไว้ กลับถูกแรงมหาศาลผลักให้ลอยขึ้นจากพื้นไปเล็กน้อย “โอ้…” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแผ่ว ราวเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “…เจ้ามีเรี่ยวแรงเหนือกว่าเด็กหญิงผู้นั้นเสียอีก เช่นนี้...การสังหารเจ้าจึงนับว่าคุ้มค่าม
ใต้เงาราตรีแห่งฟากฟ้าปราศจากจันทร์ ดวงดาวพลันหลบเร้นอยู่หลังม่านเมฆทะมึน เสียงลมหอบหวิวผสานกับเสียงคลื่นที่ซัดกระแทกชายฝั่งมิได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางกลิ่นเค็มของไอทะเลและกลิ่นคาวโลหิตที่ฟุ้งกระจาย ฉากการประมือของสองสายเลือดมนุษย์กับสัตว์อสูรและมารชั่วคลุ้งไปทั่วชายหาดอันเคยสงบงาม กลับกลายเป็นแดนประหัตประหารที่เต็มไปด้วยหลุมลึก โขดหินที่ถูกแรงกระแทกจนแหลกละเอียด ต้นไม้ชายฝั่งก็ถูกถอนราก เศษกิ่งใบปลิวว่อนราวใบไม้ร่วงในวสันต์ “โฮกกกก!!!” เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของ หลงหมิ่น แผดก้องดั่งเสียงมังกรโกรธเกรี้ยว มันมีบาดแผลลึกหลายแห่ง โลหิตสีครามสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นทราย แต่แทนที่จะอ่อนแรงลง พลังของมันกลับพวยพุ่งขึ้น ร่างมหึมาพุ่งทะยานดั่งเงาวารีใต้สมุทรอันเชี่ยวกราก ลำคอและเขี้ยวยาวเปล่งประกายด้วยพลังอาภรณ์วารีอันเข้มข้น มุ่งสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไร้ความปรานี! อวี้เหวิน ไม่คิดหลบ ร่างของเขาสวมเสื้อคลุมดำแนบลู่กับลม เส้นผมยาวสะบัดอย่างองอาจ สองดวงตาคมกล้าฉายแววสงบ เย็นเยียบยิ่งน้ำแข็งแต่เร่าร้อนด้วยเพลิงภายใน “มาเถิด! ข้ากำลังร้อนมืออยู่พอดี!” ทันใดนั้น! กำปั้นข้างขวาของเ
ภายใต้เงาจันทราซีดเซียวที่ทอดแสงนวลลงบนผืนน้ำทะเลอันมืดมิด กลิ่นไอเค็มยังคงล่องลอยเคล้าคลอกับลมราตรี อวี้เหวินยืนหยัดดุจขุนเขาที่มิหวั่นไหวเบื้องหน้าบุรุษวัยกลางคน ดวงตากลับฉายแววกระวนกระวายราวถูกเพลิงแผดเผา แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าคมคายราวสลักเสลา เงาร่างในอาภรณ์ดำสนิทดุจเงามัจจุราชขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยร่องรอยแห่งความระแวงแคลงใจ “เหตุใดข้าจึงมิได้ยินเสียงของมัน…?” น้ำเสียงของเขานั้นเยือกเย็น ทว่าในแววตาแฝงความเคร่งเครียดและจับสังเกตอย่างลึกซึ้ง เป็นคำถามที่ราวกับเขาโยนหินลงสระ เพื่อรอดูคลื่นสะท้อนกลับมาจากคำพูดของชายผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้มีผิวคล้ำจากแสงแดด มองสบตาอวี้เหวินพลางขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนรนแฝงความกลัว “ท่านจอมยุทธ์!” เขากล่าวเสียงสั่น “ท่านอย่ารอช้าเถิด วันนี้มันมิได้ส่งเสียงคำรามก้องเช่นทุกครา แต่กลับคลานขึ้นฝั่งโดยไร้สุ้มเสียง…ข้าหวั่นว่า มันตั้งใจจะลิ้มลองเลือดเนื้อมนุษย์แล้ว!” เขากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “และ...จุดที่มันขึ้นมานั้น มีเด็กคนหนึ่งอยู่พอดี!” คำพูดสุดท้ายดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางอ
เบื้องหน้าแมกไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมบึงใสกลางป่า เงาสะท้อนของเมฆสีเทารางเลือนวาดทับผิวน้ำดั่งม่านหมอกชะล้างใจ เมื่อเสียงสายลมโอบพัดใบไม้ให้ไหวเอน เด็กน้อยเบื้องข้างขอนไม้ก็ก้มหน้าลงแผ่วเบา คล้ายกำลังรวบรวมใจเพื่อกล่าวต่อ “เมื่อเดือนก่อน…” เสียงของเขาแผ่วพร่า ราวกลัวว่าหากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาแล้ว ความเศร้าที่ซุกซ่อนจะพรั่งพรูไม่อาจห้าม “มีคนจากภายนอกกลุ่มหนึ่งมาถึงหมู่บ้าน…” ดวงตาเล็กจ้องมองบึงอย่างเหม่อลอย สะท้อนแววอ้างว้างเจือปนระลึกถึง “พวกเขาสวมอาภรณ์ดูสง่า บางคนมีกระบี่แนบกาย บางคนมีกระบี่หลังสะพาย บางคนมีดวงตาที่เปล่งแสงราวจิตวิญญาณไม่ธรรมดา… ข้าคิดว่าพวกเขาคงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีฝีมือ” เขาสูดหายใจเข้าแผ่วเบาก่อนหลุบตามองดินร่วนใต้เท้า “แต่ไม่กี่วันให้หลัง พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาไปทางใด ไม่มีแม้เสียงร่ำลา… แม้แต่ร่างก็ไม่ปรากฏให้เห็น” เสียงแผ่วพร่าของเด็กน้อยพลันสั่นไหว น้ำใสคลอหน่วยดวงตากลมโตก่อนหยาดหยดลงบนหลังมืออันสั่นเครือ เขาปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน ก่อนพึมพำด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา “หนึ่งในนั้น… คือคนที่ข้ารู้จัก” ดวงตาน้อยคู่นั้นค่
อวี้เหวินยังคงจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ราวกับต้องการอ่านความจริงจากลึกในดวงจิตของอีกฝ่าย เฒ่าเจียนสูดลมหายใจลึก ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “ราวหนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเรือไปยังทะเลทางทิศตะวันตก จุดนั้นห่างจากชายฝั่งไกลพอควร ตั้งใจเพียงจะหาปูหาหอยไปขายแลกเบี้ย… แต่สิ่งที่ข้าเจอนั้น…” เขาหยุดนิ่ง ขยับถ้วยชามาแนบอก มือทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย “มัน… มันใหญ่โตราวกับเนินเขาเคลื่อนที่ได้ ลำตัวเรียวยาว ราวงูทะเลที่คลานบนผืนน้ำ… แววตามันวาววับ เยียบเย็นดั่งคมดาบในหิมะขาว ข้าแน่ใจว่า มันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนเล่าขาน… ‘เงามังกรใต้สมุทร’…” อวี้เหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสบตากับเซี่ยชิงหลัวซึ่งนิ่งฟังอยู่ข้างกาย แม้นใบหน้านางจะถูกผ้าขาวบางปิดบัง แต่เพียงแค่ดวงตางามที่ทอแววบางอย่างเจือแสงครุ่นคิด เขาก็รู้ได้ในบัดดลว่านางเองก็เข้าใจในสิ่งเดียวกัน “ท่านเคยได้ยินชื่อมันหรือไม่?” อวี้เหวินเอ่ยเสียงต่ำ เฒ่าเจียนพยักหน้าเบา ๆ “เคย… เคยได้ยินจากพวกชาวเรือเฒ่าในอดีต พวกเขาเรียกมันว่า ‘หลงหมิ่น’ …อสูรโบราณที่สืบสายโลหิตแห่งอสรพิษทะเลจากยุคดึกดำบรรพ์ มันไม่ค่อยปรากฏตัวบนผิวน้ำ และไม
ยามอรุณรุ่งแผ่แสงอ่อนบางลงแตะต้องริมขอบฟ้า เฉกเช่นม่านทองที่คลี่คลุมผืนนภา สีฟ้าเรื่อแซมประกายสีส้มจางไล้ผ่านยอดไม้ และแนบอิงผิวคลื่นเบื้องล่าง จนผืนน้ำคล้ายพลิ้วไหวไปด้วยแสงทองนั้น สายลมยามเช้าพัดเอื่อยพาไอเค็มของทะเลโชยมาแตะปลายจมูก อ่อนโยนและเย็นสบายนัก ใต้เงาไม้ริมชายฝั่ง ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวนวลนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างขอนไม้ ดวงหน้างดงามราวภาพวาดยังคงเคลิ้มในห้วงนิทราอย่างสงบเสงี่ยม แสงแดดเบาบางส่องต้องผ่านซอกกิ่งไม้ แผ่วพาดลงบนเรียวแก้มนวลเนียนประหนึ่งหยาดหิมะแรกของฤดูหนาว ดวงตางามล้ำคู่นั้นพลันขยับกระพริบไหว ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกลีบบุปผาที่แย้มรับแสงแรกของวัน เมื่อสติกลับคืน คิ้วเรียวเล็กพลันขมวดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา ราวกับผืนน้ำต้องลมแผ่ว รำลึกขึ้นได้ว่าตนเอ่ยปากจะร่วมเฝ้ายามเคียงข้างบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับเผลอหลับใหลไปโดยมิรู้ตัว ความรู้สึกผิดพลันแผ่ซ่านไปทั่วอุรา ใบหน้านวลผ่องราวหยกขาวพลันแต้มสีชมพูระเรื่อ ดุจกลีบเหมยแรกแย้มต้องหิมะยามอรุณรุ่ง งดงามจับตา ราวกับภาพวาดสวรรค์ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน นางขยับกายเล็กน้อย พลิกตัวไปมองหาร่างของบุรุษผู้เป็นสหายร่วม